- คำนำ
- บทนำเรื่อง
- ที่มาของอนิรุทธคำฉันท์และบทละคอนเรื่องอุณรุท ของ ธนิต อยู่โพธิ์
- ตอนที่ ๑
- ตอนที่ ๒
- ตอนที่ ๓
- ตอนที่ ๔
- ตอนที่ ๕
- ตอนที่ ๖
- ตอนที่ ๗
- ตอนที่ ๘
- ตอนที่ ๙
- ตอนที่ ๑๐
- ตอนที่ ๑๑
- ตอนที่ ๑๒
- ตอนที่ ๑๓
- ตอนที่ ๑๔
- ตอนที่ ๑๕
- ตอนที่ ๑๖
- ตอนที่ ๑๗
- ตอนที่ ๑๘
- ตอนที่ ๑๙
- ตอนที่ ๒๐
- ตอนที่ ๒๑
- ตอนที่ ๒๒
- ตอนที่ ๒๓ ทศมุขพบพระอุณรุท
- ตอนที่ ๒๔
- ตอนที่ ๒๕
- ตอนที่ ๒๖
- ตอนที่ ๒๗
- ตอนที่ ๒๘
- ตอนที่ ๒๙
- ตอนที่ ๓๐
- ตอนที่ ๓๑
- ตอนที่ ๓๒
- ตอนที่ ๓๓
- ตอนที่ ๓๔
- ตอนที่ ๓๕
- ตอนที่ ๓๖
- ตอนที่ ๓๗
- ตอนที่ ๓๘
- ตอนที่ ๓๙
- ตอนที่ ๔๐
- ตอนที่ ๔๑
- ตอนที่ ๔๒
ตอนที่ ๓๐ ถวายเพลิงพระศพท้าวกรุงพาณ
๏ เมื่อนั้น | ฝ่ายนางศุภลักษณ์โฉมศรี |
หนีไปซุ่มซ่อนอินทรีย์ | อยู่คีรีจักรวาลบรรพต |
ได้ยินฝูงเทพเทวัญ | บอกกันเอิกเกริกทั่วหมด |
ว่ากรุงพาณผู้ใจทรยศ | บัดนี้ยกทศโยธา |
มาณรงค์ด้วยองค์พระอุณรุท | แพ้ฤทธิ์สิ้นสุดสังขาร์ |
มีความยินดีปรีดา | ก็ขึ้นมาเยี่ยมยอดจักรวาล |
ฯ ๖ คำ ฯ คุกพาทย์
๏ ชะเง้อเล็งเพ่งดูเพียงเนตร | คิดแคลงเทเวศซึ่งว่าขาน |
หลบลงนิ่งคิดอยู่ช้านาน | แล้วรื้อกลับทะยานขึ้นไป |
ฯ ๒ คำ ฯ พิราบร้อน
๏ ต่อเห็นเทวาสำรวลกัน | ก็สำคัญมั่นคงไม่สงสัย |
จึ่งเหาะขึ้นยังพื้นนภาลัย | ตรงไปอังชันคีรี |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึ่งเห็นพระสุริย์วงศ์ | กับองค์อัคเรศโฉมศรี |
สำราญรมย์ชมทิพมาลี | อยู่เหนือแท่นที่ศีลา |
งามทรงดั่งองค์พระหริรักษ์ | กับพระลักษมีเสน่หา |
ทั้งเห็นกรุงพาณอสุรา | สุดสิ้นชีวาวายปราณ |
กลิ้งอยู่เหนือพื้นปฐพี | กลางศุภโยธีทวยหาญ |
ความแสนโสมนัสในวิญญาณ | ปานดั่งได้อำมฤตรส |
จึ่งเข้าไปถวายอภิวาท | กราบลงแทบบาทบงกช |
สองกษัตริย์สุริย์วงศ์ทรงยศ | ซบพักตร์กำสรดโศกา |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ โอ้ว่าพระหน่อสุริย์วงศ์ | ผู้พงศ์จักรพรรดินาถา |
ข้าบาทสำคัญสัญญา | ว่าผ่านฟ้าสุดสิ้นชีวาลัย |
จวนตัวกลัวเดชอสุรินทร์ | ดั่งจะลอดแผ่นดินไปได้ |
ไม่ทันทูลลาภูวไนย | หนีไปแต่ราษราตรี |
หวังพอให้พ้นชีวาตม์ | พ้นภัยพาณราชยักษี |
ดั่งไม่จงรักภักดี | โทษนี้ใหญ่หลวงมหิมา |
แสนทุกข์สุดทุกข์ถึงพระองค์ | กับโฉมยงนงลักษณ์นี้หนักหนา |
ต่อเทเวศบอกกันเป็นโกลา | ว่าผ่านฟ้ามีชัยแก่ภัยพาล |
ดีใจจึ่งได้มากราบบาท | พระเยาวราชผู้ปรีชาหาญ |
โทษข้าถึงสิ้นชนมาน | ขอประทานจงโปรดปรานี |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระอุณรุททรงสวัสดิ์รัศมี |
กับโฉมยงองค์อัครเทวี | ฟังศรีศุภลักษณ์ผู้ร่วมใจ |
เห็นประจักษ์แจ้งความตามจริง | จะมีสิ่งแสร้งว่านั้นหาไม่ |
จึ่งกล่าวมธุรสตอบไป | พี่นางอย่าได้อาวรณ์ |
อันธรรมดาเกิดมาเป็นรูปกาย | กลัวตายจำแก้ตัวก่อน |
เราไม่ถือโกรธโรธกรณ์ | สิ้นทุกข์สิ้นร้อนในวันนี้ |
อันตัวของข้าทั้งสอง | ก็จะทดแทนสนองคุณพี่ |
ซึ่งการุณจงรักภักดี | ให้มีความสุขสำราญ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ฝ่ายหมู่โยธาทวยหาญ |
ที่เหลือตายแอบชายดงดาน | เห็นท้าวกรุงพาณมรณา |
ตกใจหน้าซีดตัวสั่น | พากันวิ่งซ่อนเข้าป่า |
ดั้นไพรไม่เข้ามรคา | ลัดมายังราชธานี |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงนิเวศน์วังสถาน | พอองค์เยาวมาลย์มเหสี |
เสด็จหน้าบัญชรรูจี | อสุรีก็คลานเข้าไป |
หมอบลงตรงพักตร์อัคเรศ | ยอกรเหนือเกศบังคมไหว้ |
ทูลว่าพระผู้ทรงฤทธิไกร | ยกไปตามองค์พระอุณรุท |
ทันเข้าที่เขาอังชัน | ได้โรมรันเคี่ยวขับสัประยุทธ์ |
บัดนี้พ่ายแพ้ฤทธิ์มนุษย์ | สิ้นสุดชีวันบรรลัยลาญ |
ทั้งพญามหาเมฆกุญชร | พลากรโยธาทวยหาญ |
ตายกลาดดาษพื้นสุธาธาร | ไพรีเชี่ยวชาญฤทธิ์นัก |
เมื่อพระองค์จะปลงชีวาตม์ | มนุษย์ในประหลาดเห็นประจักษ์ |
เพศกลายคล้ายองค์พระหริรักษ์ | พญายักษ์น้อมเกล้าประนมกร |
ทั้งเทเวศก็มาพร้อมกัน | ยังยอดอังชันสิงขร |
เอิกเกริกแซ่ซ้องถวายพร | โปรยบุษบากรเกลื่อนฟ้า |
พระองค์ทรงอานุภาพนัก | ถึงจะปราบไตรจักรก็ปราบได้ |
ขอเชิญเสด็จอรไท | ออกไปบังคมพระภูมี |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมนางไวยกามเหสี |
ได้แจ้งแห่งคำอสุรี | ว่าพระสามีบรรลัยลาญ |
ตกใจดั่งใครมาฟันฟาด | ให้เศียรขาดสิ้นชีพสังขาร |
อุราเร่าร้อนดั่งเพลิงกาฬ | เยาวมาลย์ข้อนทรวงเข้าโศกา |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๏ โอ้ว่าพระมิ่งมงกุฎภพ | ทรงเดชเสิศลบทุกทิศา |
ทั้งหกห้องสวรรค์ชั้นฟ้า | ก็กลัวเกรงศักดาพระองค์นัก |
แต่เพียงพระทิ้งธรรมทศมิตร | ประพฤติพาลทุจริตอัปลักษณ์ |
เที่ยวสมปลอมชมรสรัก | ให้ร้อนนักทุกเทพอมรินทร์ |
เมียห้ามเท่าไรก็ไม่ฟัง | ตั้งแต่ถือผิดไปสิ้น |
เทพบุตรครุฑานาคิน | จึ่งดูหมิ่นได้แต่นั้นมา |
พระเกียรติขจรก็หย่อนยศ | เสื่อมหมดทั้งเวทคาถา |
เสียฤทธิ์พิธีศักดา | ผ่านฟ้าจึ่งแพ้แก่ไพรี |
โอ้ว่าครั้งนี้แลเมืองมาร | จะสาธารณ์เสื่อมสุขเกษมศรี |
ทั้งวงศาเสนาประชาชี | จะมีแต่โศกาอาลัย |
สงสารทศมุขลูกรัก | เจ้าหาญหักหาเกรงพระเดชไม่ |
จะผินพักตร์ไปพึ่งผู้ใด | จึ่งจะได้รอดชีพชนมา |
น่าที่ชีวีจะวายวาง | จะเห็นแต่พี่นางอุษา |
เกลือกจะเสื่อมอาลัยไม่เมตตา | กัลยาร่ำพลางทางโศกี |
ฯ ๑๔ คำ ฯ โอด
๏ ครั้นคลายโศกาจาบัลย์ | จึ่งสั่งกำนัลสาวศรี |
จงไปหาโอรสร่วมชีวี | เข้ามายังที่ข้างใน |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นางกำนัลผู้มีอัชฌาสัย |
รับพระเสาวนีย์อรไท | บังคมไหว้แล้วพากันรีบมา |
ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ
๏ นั่งลงนบนิ้วอภิวาท | เบื้องบาทพระโอรสา |
ทูลว่าพระราชมารดา | ให้มาเชิญเสด็จไปบัดนี้ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ทศมุขสุริย์วงศ์ยักษี |
ฟังนางกำนัลพาที | อสุรีก็รีบจรจรัล |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ มาถึงจึ่งเห็นพระมารดร | ทุกข์ร้อนทรงโศกกันแสงศัลย์ |
ตกใจดั่งใครมาฟาดฟัน | กุมภัณฑ์กราบลงกับบาทา |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระชนนีนาฏเสน่หา |
สวมสอดกอดองค์พระลูกยา | โศกาตรัสเล่าความไป |
เจ้าดวงนัยน์เนตรของแม่ | แต่นี้เราหามีที่พึ่งไม่ |
พระบิดาเจ้ายกพลไกร | ไปชิงชัยด้วยองค์พระอุณรุท |
กลับแพ้ไพรินสิ้นชีวาตม์ | ทั้งพวกพลพินาศนับสมุทร |
ทีนี้จะเป็นข้ามนุษย์ | เล่าพลางโศกสุดโศกา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ทศมุขกุมารยักษา |
ฟังชนนีแจ้งกิจจา | ว่าพระบิดาบรรลัยลาญ |
พิษโศกซ่านซาบวาบกาย | ดั่งฟ้าฟาดสายสังหาร |
เร่าร้อนไปสิ้นจนวิญญาณ | พระกุมารก็ร่ำโศกี |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
โอ้
๏ โอ้ว่าสมเด็จพระบิตุเรศ | เรืองเดชเฟื่องฟ้าราศี |
ควรฤๅมาแพ้แก่ไพรี | จนถึงที่สวรรคาลัย |
ตัวลูกยังเด็กเล็กนัก | จะผินพักตร์ไปพึ่งใครได้ |
ไม่มีที่เห็นผู้ใด | จะตามใจเหมือนองค์พระบิดร |
สารพัดจะให้เล่นทุกสิ่ง | ม้ามิ่งโคลากาสร |
แพะแกะตรุณกุญชร | หงส์ห่านมังกรมฤคิน |
ครั้นลูกจำเริญวัยมา | ให้เรียนรู้วิชาศรศิลป์ |
คลีม้ารถรัตน์หัสดิน | เจนจบครบสิ้นทุกประการ |
บอกกลรณรงค์ยงยุทธ์ | สำหรับราชบุตรมหาศาล |
จะให้สืบสุริย์วงศ์พรหมาน | เป็นประธานโลกาธาตรี |
เมื่อพระมาหนีลูกไปแล้ว | ใครจะเป็นฉัตรแก้วเฉลิมศรี |
กั้นเกศร่มเกล้าเมาลี | รํ่าพลางอสุรีก็โศกา |
ฯ ๑๒ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้น | องค์พระชนนีเสน่หา |
รับขวัญแล้วปลอบพระลูกยา | แก้วตาจงระงับดับใจ |
เจ้าแม่เอ๋ยอันเราทั้งสองศรี | จะนิ่งอยู่ฉะนี้ก็มิได้ |
จำจะพากันรีบออกไป | เฝ้าภูวไนยนรินทร |
ทั้งจะพบโฉมยงองค์อุษา | ดูทีกิริยาสายสมร |
จะได้ไหว้ศพพระบิดร | บูชาลาธิกรณ์ทรงธรรม์ |
แล้วจะเชิญเสด็จภูวเรศ | ให้ประเวศเวียงชัยไอศวรรย์ |
ถวายแสนศฤงคารกำนัล | ฝากชีวันไว้ในบาทา |
ตรัสแล้วมีราชเสาวนีย์ | ตรัสสั่งมนตรียักษา |
จงเตรียมพหลโยธา | จะไปเฝ้านัดดาพระสี่กร |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | จึ่งเสนามารชาญสมร |
รับพระเสาวนีย์บังอร | ชุลีลาบทจรออกไป |
ฯ ๒ คำ ฯ ประถม
ยานี
๏ จัดเป็นพยุหบาตรกระบวนแห่ | อัดแอตั้งตามถนนใหญ่ |
กองหน้านั้นถือธงชัย | สอดใส่เสื้อครุยขาวกรอง |
เหล่าเสื้อชมพูเป็นคู่เคียง | เดินเรียงเรียบคั่นไว้ชั้นสอง |
ถัดมาเสื้อม่วงขลิบทอง | เสื้อตองเครือสุวรรณพรรณราย |
ล้วนถือจามรมยุรฉัตร | กรรชิงรัตน์อภิรุมชุมสาย |
เทียมทั้งรถแก้วแพร้วพราย | รถประเทียบเรียบท้ายเป็นหลั่นมา |
ขอเฝ้านั้นไว้กระบวนหลัง | คับคั่งโดยซ้ายฝ่ายขวา |
ทุกหมวดตรวจกันเป็นโกลา | คอยท่าเสด็จจรลี |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางไวยกามารศรี |
กับโอรสร่วมชีวี | มีแต่โศกาจาบัลย์ |
แข็งขืนพระทัยระงับ | ดับความวิโยคโศกศัลย์ |
พร้อมฝูงอนงค์กำนัล | เสด็จมาเกยสุวรรณโอฬาร |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ขึ้นนั่งยังอาสน์รถทอง | ถัดรองรถแก้วฉายฉาน |
ประดับด้วยรถสนมนงคราญ | พระกุมารนั้นทรงพาชี |
ให้เคลื่อนพหลโยธา | ออกจากทวาราบุรีศรี |
รีบเร่งแสนสุรเสนี | ไปโดยวิถีพนาดร |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงซึ่งเขตหิมวันต์ | ใกล้เชิงอังชันสิงขร |
ให้ขับรถรีบบทจร | บังอรทอดทัศนาไป |
เห็นศพอสุรีล้มตาย | เกลื่อนกลาดกองก่ายไม่นับได้ |
ยิ่งสังเวชสลดรันทดใจ | ชลนัยน์นองเนตรเทวี |
ให้ประทับแทบเชิงบรรพต | เสด็จลงจากรถมณีศรี |
กับโอรสฝูงสนมนารี | จรลีขึ้นยังบรรพตา |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เดินพลางทางทอดพระเนตรไป | เห็นศพภูวไนยนาถา |
กรขาดกลิ้งกลางพสุธา | ยังยอดภูผาอังชัน |
ให้หวาดหวั่นฤทัยใจหาย | ดั่งหนึ่งจะวายชีวาสัญ |
สองกษัตริย์วิ่งเข้าไปพร้อมกัน | กอดบาทรำพันโศกี |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๏ พระชนนีว่าโอ้ทูลกระหม่อม | จอมเกศข้าบาทบทศรี |
พระเกียรติเฟื่องฟ้าธาตรี | ฤๅมาม้วยชีวีอยู่กลางดิน |
โอรสว่าพระบิตุรงค์ | พระองค์เสื่อมเดชครั้งนี้สิ้น |
ดั่งใช่สุริย์วงศ์พรหมิน | เป็นที่ดูหมิ่นทั้งโลกา |
นางว่าเพราะพระกำเริบฤทธิ์ | ถือผิดพงศ์พรหมนาถา |
ทั้งอวดหาญต่อหลานพระจักรา | ผ่านฟ้าจึ่งสวรรคาลัย |
ทศมุขว่าโอ้นิจจาเอ๋ย | ไม่ควรเลยจะถึงเพียงนี้ได้ |
เสียแรงเรืองเดชลบภพไตร | มาบรรลัยอนาถดั่งสาธารณ์ |
ชนนีว่าทีนี้จะลับแล้ว | ประทีปแก้วอันส่องแสงฉาน |
จะมืดมนทนทุกข์ทั้งเมืองมาร | อาลัยลานวิโยคโศกี |
โอรสว่าโอ้ทีนี้เรา | จะแสนเศร้าวายสุขเกษมศรี |
จะอยู่ไปไยเล่าพระชนนี | มาม้วยชีวีเสียด้วยกัน |
มารดาว่าโอ้พระลูกแก้ว | พ่อว่าชอบแล้วนะจอมขวัญ |
เราจะตายตามองค์พระทรงธรรม์ | สองกษัตริย์อัดอั้นสลบไป |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ฝูงนางกำนัลน้อยใหญ่ |
ทั้งเสนีรี้พลสกลไกร | บรรดาไปตามเสด็จพระเทวี |
เห็นสองกษัตริย์กันแสงโศก | ด้วยวิโยคพญายักษี |
พิไรร่ำจนสิ้นสมประดี | สลบลงกับที่สุธาธาร |
ต่างตนสลดระทดใจ | ก็โหยไห้กำสรดด้วยสงสาร |
คร่ำครวญหวนหาพญามาร | บ้างรํ่ารักลูกหลานแลบิดา |
บ้างพี่รักน้องน้องรักพี่ | เสียงมี่แซ่เขาลำเนาป่า |
นางในข้อนทรวงเข้าโศกา | อสุรากลิ้งเกลือกเสือกไป |
อุปมาดั่งป่าไม้รัง | วินาศด้วยกำลังพยุใหญ่ |
เพียงสิ้นชีวิตชีวาลัย | ไม่เป็นอารมณ์สมประดี |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นวลนางอุษามารศรี |
เห็นองค์สมเด็จพระชนนี | กับทศมุขอสุรีออกมา |
กอดศพร่ำรักพระบิตุเรศ | พูนเทวษเศร้าโทมนัสสา |
สลบไปทั้งสองกษัตรา | กัลยาสำคัญว่าบรรลัย |
ให้หวาดวาบซาบไปด้วยโศกศัลย์ | ดั่งใครบั่นเศียรเกล้าไปได้ |
กับนางศุภลักษณ์ผู้ร่วมใจ | พากันรีบไปด้วยอาวรณ์ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ หัตถ์ซ้ายประคองอนุชา | กรขวาเยาวเรศสายสมร |
กอดบาทสมเด็จพระมารดร | บังอรครวญคร่ำรำพัน |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ โอ้พระชนนีของลูกเอ๋ย | ไฉนเลยมาม้วยอาสัญ |
ทั้งน้องรักผู้ร่วมชีวัน | ก็พากันหนีไปยังเมืองฟ้า |
นิจจาเอ๋ยบิดาดับสูญ | ยังไม่วายอาดูรโหยหา |
หรือมาซํ้าจำจากพระมารดา | ทั้งน้องยาผู้ยอดชีวาลัย |
แต่ทุกข์เดียวเพียงนี้แล้วมิหนำ | ยังซ้ำทับอกอีกก็เป็นได้ |
ทีนี้ลูกจะเห็นหน้าใคร | สว่างใจเหมือนกับมารดร |
โอ้แม่ทูนเกล้าเยาวลักษณ์ | จงผินพักตร์มาดูลูกก่อน |
เจ้าพี่เอ๋ยไฉนไม่อาวรณ์ | เจ้าตัดรอนพี่แล้วฤๅแก้วตา |
ถึงแม้นมาตรจะม้วยชีวัง | แต่จะสั่งสักคำก็ไม่ว่า |
อยู่หลังก็จะตั้งแต่โศกา | พร่ำกินน้ำตาไม่วายวัน |
เมื่อดับสูญเสียสิ้นทั้งสามองค์ | ใครจะสืบสุริย์วงศ์รังสรรค์ |
ร่ำพลางข้อนทรวงเข้าจาบัลย์ | กัลยาสลบไม่สมประดี |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระอุณรุทสุริย์วงศ์เรืองศรี |
เห็นสามกษัตริย์โศกี | สิ้นสมประดีสลบไป |
ทั้งสนมเสนีรี้พล | จะเหลือแต่สักคนก็หาไม่ |
แจ้งด้วยปรีชาปัญญาไว | ว่ามิได้สิ้นชีพชีวา |
จึ่งชักพระขรรค์โมลิศ | ขึ้นอุทิศจบเหนือเกศา |
เสด็จยืนเหนือพื้นศิลา | ผ่านฟ้ากวัดแกว่งด้วยฤทธี |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดเดี๋ยวบันดาลเป็นฝอยฝน | ปานทิพสุคนธ์วารีศรี |
ตกต้องสามกษัตริย์กับเสนี | ก็ได้สมประดีขึ้นพร้อมกัน |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นวลนางไวยกาสาวสวรรค์[๑] |
ครั้นฟื้นคืนได้ชีวัน | เห็นจอมขวัญอุษายุพาพาล |
กับพี่เลี้ยงผู้ชื่อศุภลักษณ์ | ร่ำรักด้วยความสงสาร |
ทั้งนัดดาสมเด็จพระอวตาร | มาโปรดปรานช่วยชีพชีวา |
นางแสนโสมนัสชื่นชม | นบนิ้วประนมเหนือเกศา |
ทูลว่าซึ่งทรงพระเมตตา | พระคุณล้ำฟ้าธาตรี |
อันแสนสมบัติพัสถาน | ในเมืองมารรัตนาบุรีศรี |
โอฬารปานชั้นดุษฎี | เป็นที่สถิตสถาวร |
ถวายไว้ใต้เบื้องบทรัช | พระจอมจักรพรรดิชาญสมร |
ขอเอาพระเดชภูธร | ปกเกล้าร่มร้อนสืบไป[๒] |
อันทศมุขลูกรัก | เยาว์นักผิดชอบหารู้ไม่ |
ฮึกหาญสัประยุทธ์ชิงชัย | ให้เคืองใต้เบื้องบทมาลย์ |
ซึ่งหยาบช้าสาหัสนั้นโทษผิด | ถึงสิ้นชีวิตสังขาร |
จงเคลื่อนคลายวายเวรในสันดาน | ขอประทานได้โปรดปรานี |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระอุณรุทผู้รุ่งรัศมี |
ฟังนางไวยกาพาที | จึ่งมีพจนารถตอบไป |
ซึ่งลูกท่านผิดพลั้งแต่หลังมา | เราหาถือโกรธเอาโทษไม่ |
ถึงท้าวกรุงพาณที่บรรลัย | ก็ได้ว่ากล่าวแต่โดยธรรม์ |
ไม่เชื่อมธุรสพจมาน | กริ้วโกรธฮึกหาญด้วยโมหัน |
ก็จำเป็นสัประยุทธ์โรมรัน | จนถึงชีวันมรณา |
ทั้งนี้เพราะกรรมได้ทำไว้ | จึ่งดลให้สิ้นชีพสังขาร์ |
อันศพพญาอสุรา | ตามแต่ปัญญาของเทวี |
ท่านกับโอรสทศมุข | จะเลี้ยงให้เป็นสุขเกษมศรี |
คงยศปรากฏในธาตรี | ยังที่รัตนาเมืองมาร |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นางไวยกาผู้ยอดสงสาร |
ได้ฟังมธุรสพจมาน | เย็นซ่านซาบสิ้นในวิญญาณ์ |
จึ่งน้อมเศียรเกล้าบังคมบาท | กราบทูลภูวนาถนาถา |
ซึ่งพระองค์ทรงพระกรุณา | พระคุณล้นฟ้าแดนไตร |
อันตัวของข้าเป็นสตรี | หามีที่พึ่งพาไม่ |
พระองค์ผู้ทรงฤทธิไกร | จงได้โปรดเกล้ากุมภัณฑ์ |
ขอเอาพระเดชปกเกศด้วย | ช่วยส่งให้สู่สรวงสวรรค์ |
จะได้ปรากฏเกียรติทรงธรรม์ | ไปทั่วเขตขัณฑ์จักรวาล |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระอุณรุทผู้ปรีชาหาญ |
ฟังรสพจนานงคราญ | ผ่านฟ้าจึ่งตรัสตอบไป |
ท่านอย่าอาวรณ์ร้อนเร่า | ไว้ธุระเราจะทำให้ |
ตรัสพลางฉวยชักพระขรรค์ชัย | ภูวไนยเสด็จขึ้นยืนยัน |
ประนมหัตถ์สัตย์อธิษฐาน | ขอเดชพระอวตารรังสรรค์ |
ให้ปรากฏมหัศจรรย์ | แก่หมู่กุมภัณฑ์ในครั้งนี้ |
จงบังเกิดเป็นเมรุมาศ | โอภาสด้วยดวงมณีศรี |
แล้วหลานสมเด็จพระจักรี | ภูมีกวัดแกว่งไปมา |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดเดี๋ยวเกิดเป็นพระเมรุแก้ว | อลงกตพรายแพรวเวหา |
สวมศพพญาอสุรา | รจนาลวดลายหลายพรรณ |
มีทั้งเมรุแทรกเมรุทิศ | ชวลิตพรรณรายฉายฉัน |
เสาสาบกาบบังกระจังบัน | ชั้นเหมช่อฟ้าบราลี |
สี่มุขยอดเยี่ยมโพยมมาศ | ดั่งวิมานเทวราชในราศี |
มีรูปครุฑาวาสุกรี | ฉัตรธงมณีเรียงราย |
ภายในนั้นมีเมรุทอง | เรืองรองเนาวรัตน์จำรัสฉาย |
ด้วยเดชะบุญญาอันเพริศพราย | หลานพระนารายณ์สี่กร[๓] |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | นวลนางไวยกาดวงสมร |
ทั้งราชโอรสฤทธิรอน | ฝูงสนมนิกรเสนี |
เห็นพระเดชาอานุภาพ | ให้หวั่นวาบสยองพองเกศี |
ประนมกรเหนือเกล้าเมาลี | ชมบุญบารมีเป็นโกลา |
ต่างคนต่างอำนวยอวยพร | จงถาวรจำเริญชันษา |
เป็นฉัตรแก้วกั้นโลกา | จะได้พึ่งบาทาพระทรงธรรม์ |
ครั้นแล้วอัครราชเทวี | กับโฉมศรีอุษาสาวสวรรค์ |
ทศมุขหมู่สนมกำนัล | สุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์เสนามาร |
บ้างถือธูปเทียนบุปผา | จุณจันทน์สุคันธาหอมหวาน |
พร้อมพรูหมู่ราชบริวาร | ไปสถานพระเมรุรูจี |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ ต่างจุดธูปเทียนเคารพ | ษมาศพพญายักษี |
ทักษิณพลางแสนโศกี | เสียงมี่วังเวงวิญญาณ์ |
แล้วให้เอาจุณจันทน์สุคันธ์ธาร | เทียนทองกุสุมาลย์กฤษณา |
ใส่เข้าในศพอสุรา | จุดเพลิงบูชาพร้อมกัน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระอุณรุทสุริย์วงศ์รังสรรค์ |
สถิตเหนืออาสน์แก้วแพรวพรรณ | กวัดแกว่งพระขรรค์ฤทธิรอน |
แสงวาบปลาบเปล่งเปลวพราย | ฉานฉายจำรัสประภัสสร |
เป็นเพลิงเริงรุ่งอัมพร | ติดเชิงตะกอนเข้าทันที |
เรืองโรจน์โชติไปดั่งไฟกาฬ | สังหารผลาญศพยักษี |
สูญสิ้นเป็นภัสม์ธุลี | ด้วยอำนาจฤทธีมหิมา |
ฯ ๖ คำ ฯ