- คำนำ
- บทนำเรื่อง
- ที่มาของอนิรุทธคำฉันท์และบทละคอนเรื่องอุณรุท ของ ธนิต อยู่โพธิ์
- ตอนที่ ๑
- ตอนที่ ๒
- ตอนที่ ๓
- ตอนที่ ๔
- ตอนที่ ๕
- ตอนที่ ๖
- ตอนที่ ๗
- ตอนที่ ๘
- ตอนที่ ๙
- ตอนที่ ๑๐
- ตอนที่ ๑๑
- ตอนที่ ๑๒
- ตอนที่ ๑๓
- ตอนที่ ๑๔
- ตอนที่ ๑๕
- ตอนที่ ๑๖
- ตอนที่ ๑๗
- ตอนที่ ๑๘
- ตอนที่ ๑๙
- ตอนที่ ๒๐
- ตอนที่ ๒๑
- ตอนที่ ๒๒
- ตอนที่ ๒๓ ทศมุขพบพระอุณรุท
- ตอนที่ ๒๔
- ตอนที่ ๒๕
- ตอนที่ ๒๖
- ตอนที่ ๒๗
- ตอนที่ ๒๘
- ตอนที่ ๒๙
- ตอนที่ ๓๐
- ตอนที่ ๓๑
- ตอนที่ ๓๒
- ตอนที่ ๓๓
- ตอนที่ ๓๔
- ตอนที่ ๓๕
- ตอนที่ ๓๖
- ตอนที่ ๓๗
- ตอนที่ ๓๘
- ตอนที่ ๓๙
- ตอนที่ ๔๐
- ตอนที่ ๔๑
- ตอนที่ ๔๒
ตอนที่ ๑๗ พระอุณรุทคลั่งไคล้ถึงนางอุษา
ลมพัดชายเขา
๏ เมื่อนั้น[๑] | ฝ่ายพระไทรเทเวศเรืองศรี |
เห็นล่วงปัจจุสมัยราตรี | รวีวรจวนแจ้งรุโณไทย |
ดาวเดือนเคลื่อนฟ้าดาดาษ | เลี้ยวลับเมรุมาศเหลี่ยมไศล |
สะดุ้งจิตคิดเกรงจะมีภัย | ก็ออกจากพระไทรเหาะมา |
ฯ ๔ คำ ฯ โคมเวียน
ร่าย
๏ ครั้นถึงรัตนานคเรศ | ลงยังนิเวศนางอุษา |
แล้วร่ายพระมนต์อันศักดา | สะกดสองกษัตราด้วยฤทธี |
ฯ ๒ คำ ฯ ชำนัน
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | สองราชสุริยวงศ์เรืองศรี |
สู่สมชมรสฤๅดี | ในที่แท่นทิพอลงกรณ์ |
ครั้นต้องพระเวทวิทยา | แห่งสุรารักษ์ฤทธิ์อดิศร |
ก็คล้ายเคลิ้มนิ่งนิทร์สนิทนอน | เหนือแท่นบรรจถรณ์อันโอฬาร |
ฯ ๔ คำ ฯ ตระ
๏ เมื่อนั้น | เทวัญผู้ปรีชาหาญ |
เห็นสองกษัตรายุพาพาล | บันดาลหลับสนิทนิทรา |
จึ่งลอดองค์ลงโดยพรหมพักตร์ | ด้วยฤทธิ์สิทธิศักดิ์แกล้วกล้า |
ประเวศห้องทองทิพไสยา | แห่งองค์วนิดาวิลาวัณย์ |
ฯ ๔ คำ ฯ รัว
เก็บหัวแหวน
๏ ยืนอยู่ดูสองสุริย์วงศ์ | เห็นแอบองค์เกลียวกรองประคองขวัญ |
สองกายสองกรตระกองกัน | ดังเครือวัลย์ทองทิพอรชร |
เกี่ยวกระหวัดรัดรอบพฤกษาศรี | อันทรงสร้อยมาลีเกสร |
งามสมงามสองสถาวร | งามนอนแนบสนิทชิดเชย |
พิศพิศพลางสะท้อนถอนใจ | จะปลิดไปฉันใดนะอกเอ๋ย |
เมื่อสองราชพึ่งร่วมภิรมย์เสบย | ไม่ควรเลยจะพรากไปจากกัน |
เป็นน่าสงสารสองกษัตริย์ | จะวิบัติพลัดสุขเกษมสันต์ |
ละไว้ก็จะเกิดไภยัน | เหมือนกันกับกูไม่ปรานี |
คิดแล้วเปลื้องกรพระสุริย์วงศ์ | จากองค์อุษามารศรี |
โอบอุ้มเหาะมาด้วยฤทธี | ยังที่สำนักนิโครธา |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึ่งวางพระหน่อนาถ | บนบัลลังก์ราชรถา |
แล้วคืนขึ้นวิมานอันโอฬาร์ | ยังพฤกษาพระไทรพรายพรรณ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ช้าปี่
๏ เมื่อนั้น | พระอุณรุทสุริย์วงศ์รังสรรค์ |
ครั้นดาวเดือนเลื่อนลับสัตภัณฑ์ | แสงสุวรรณไขศรีพระสุริยง |
ฝูงสกุณโกญจาโมราร้อง | เสนาะก้องเพรียกในไพรระหง |
อรุณรุ่งเรื่อรางสว่างดง | พระฟื้นองค์พลางพลิกพระกายมา |
สำคัญว่ายังแนบอนงค์นอน | พระกรกระหวัดคว้าหา |
ปะเขนยข้างที่ไสยา | ผ่านฟ้าลืมเนตรขึ้นแลดู |
ไม่เห็นยุพเรศโฉมยง | ครวญคิดพิศวงอยู่เป็นครู่ |
เอะไฉนฉะนี้นะอกกู | นวลนางไปอยู่แห่งใด |
ฯ ๘ คำ ฯ แมลงภู่ทอง
ร่าย
๏ พระผุดลุกแลหาปราสาท | ฝูงกำนัลนาฏน้อยใหญ่[๒] |
ทั้งแท่นทิพมาศก็หายไป | เห็นแต่พิชัยราชรถ |
กับหมู่แสนยาพลากร | ยังนอนเดียรดาษหลับหมด |
ก็แจ้งว่าเทวาวรายศ | พาไปสมรสฤๅดี |
อนิจจามาปลิดให้แรมรัก | เหมือนผินพักตร์หักหายหน่ายหนี |
พระวิโยคโศกศัลย์พันทวี | ถึงโฉมศรีวนิดายาใจ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ จึ่งตรัสเรียกสี่พระพี่เลี้ยง | อันร่วมเรียงสุริย์วงศ์ผู้ใหญ่ |
มาแจ้งเหตุผลแต่ต้นไป | โดยได้สู่สมภิรมยา |
พี่จงกรุณาน้องด้วย | ไปช่วยขวายขวนค้นหา |
ให้พบดวงแก้วแววตา | ของข้าในเวลาวันนี้ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ฝ่ายพระพี่เลี้ยงทั้งสี่ |
ได้ฟังรสพจนารถวาที | ต่างชุลีประนมบังคมคัล |
ให้ฉงนสนเท่ห์ในวิญญาณ์ | ไฉนพระยอดฟ้านราสรรค์ |
จึ่งมาตรัสร่ำรำพัน | ประหลาดใจอัศจรรย์เป็นสุดคิด |
ต่างคนพิศดูภูวเรศ | พระอาการพักตร์เพศก็เห็นผิด |
ชะรอยพระสุริย์วงศ์ทรงฤทธิ์ | ประหวัดจิตในรสกรีฑา |
ด้วยกำดัดสุขเสวยสวาท | นิราราศแรมสมรมานอนป่า |
จึ่งฝันใฝ่ใหลหลงภิรมยา | แล้วบัญชาวิปริตผิดไป |
ต่างประมาณการเหมือนกันทั้งสี่ | จึ่งยอกรชุลีบังคมไหว้ |
ทูลว่าพระองค์ทรงฤทธิไกร | อย่าเร่าร้อนฤๅทัยจาบัลย์ |
เป็นด้วยของเคยที่เชยชิด | จึ่งบันดาลดลจิตนิมิตฝัน |
ซึ่งเชยชมสมสมรเหมือนดั่งนั้น | จะสำคัญว่าจริงก็ผิดที |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระอุณรุทสุริย์วงศ์เรืองศรี |
ได้ฟังพี่เลี้ยงร่วมชีวี | จึ่งมีพจนารถตอบไป |
อันตัวน้องนี้มิใช่เด็ก | เล็กอยู่หารู้อะไรไม่ |
เมื่อว่ารสรักประจักษ์ใจ | จำได้จริงจริงทุกสิ่งอัน |
กรน้องต้องเล็บยังเจ็บอยู่ | พี่พิศดูนี้ฤๅว่าความฝัน |
ทั้งกลิ่นแก้วกัลยาวิลาวัณย์ | เพียงสุคนธาทิพอันโอฬาร |
ซึ่งกลั้วเกลาเคล้าชิดสนิทนวล | ชื่นซาบอาบหวนหอมหวาน |
ติดมาปรากฏทุกประการ | วานพี่อย่าเแหนงแคลงใจ |
น้องได้ร่วมรสสังวาส | ด้วยนุชนาฏจนจวนปัจจุสมัย |
ครั้นจะถามนามวงศ์อรไท | พูดออกมิได้ดั่งจินดา |
กระนี้ฤๅพี่ว่านิมิต | น้อยจิตเจ็บอกนี่หนักหนา |
ตรัสพลางทอดถอนวิญญาณ์ | ครวญคร่ำโศการะลุงลาน |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
โอ้
๏ โอ้ว่าเจ้าดวงนัยน์เนตร | ยุพเรศผู้ยอดสงสาร |
คืนนี้พี่แนบนงคราญ | ชวนสมานร่วมรสฤๅดี |
ภิรมย์เรียงเคียงเขนยเชยชิด | กลิ่นแก้วยังติดทรวงพี่ |
ควรหรือสร้อยฟ้าสุมาลี | หน่ายหนีแรมร้างห่างไป |
เจ้าเป็นธิดาดวงสวาท | กษัตราธิราชบุรีไหน |
จะติดตามสายสมรอรไท | ไปให้พบแก้วกัลยา |
ร่ำพลางพลางแว่วสำเนียงนก | วิหคโหยโดยเพศภาษา |
สำคัญคิดว่าเสียงวนิดา | พระหวาดหลงเหลียวหายุพาพาล |
เจ้ามาหรือมิ่งวิมลสมร | อย่าซ่อนองค์เลยยอดสงสาร |
ฟังไปใช่เสียงเยาวมาลย์ | อุราร้อนปิ้มปานเพลิงกัลป์ |
นิ่งขึงตะลึงลานเทวษ | พระพักตร์เพศคล้ำเศร้าโศกศัลย์ |
แสนทุกข์ทุกข์แทบถึงชีวัน | กันแสงเพียงสิ้นสมประดี |
ฯ ๑๒ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | ฝ่ายพระพี่เลี้ยงทั้งสี่ |
เห็นพระองค์ทรงโศกโศกี | แสนทวีเทวษหนักไป |
ต่างตนสงสารเป็นสุดคิด | สะท้อนจิตโศกาน้ำตาไหล |
อกเอ๋ยจะทำประการใด | พระก่นกันแสงไห้อาลัยลาญ |
ตรัสรํ่ารำพันไปทุกสิ่ง | จะว่าจริงโดยดังบรรหาร |
ก็มิเคยพบเห็นแต่ก่อนกาล | ดูดาลวิปริตผิดที |
แม้นพระใฝ่ฝันด้วยรัญจวน | จะเป็นริ้วรอยข่วนก็ใช่ที่ |
จะค้นคว้าหาไปแห่งใดดี | จึ่งจะพบโฉมศรีสุดาจันทร์ |
ฤๅจะว่านางเทพธิดา | พาไปเชยชมภิรมย์ขวัญ |
ไฉนเป็นแผลข่วนสำคัญ | สารพันน่าฉงนจนใจ |
ต่างคนนิ่งขึงตะลึงพิศ | ใคร่คิดทอดถอนใจใหญ่ |
แสนทุกข์แสนเทวษอาลัย | โหยไห้รักหลานพระจักรี |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
ร่าย
๏ ครั้นค่อยคลายโศกาลง | พระพี่เลี้ยงสุริย์วงศ์ทั้งสี่ |
กับหมู่มหาเสนี | บรรดาที่เป็นผู้ใหญ่มา |
ต่างตนรำพึงคำนึงนึก | แล้วปรึกษากันพร้อมหน้า |
ดีร้ายสุวรรณมฤคา | แกล้งล่อลวงมาถึงร่มไทร |
จึ่งเป็นวิปริตไปทั้งนี้ | น่าที่จะเกิดเหตุใหญ่ |
แม้นอุบัติวิบัติประการใด | จะมีภัยแก่เราถึงวายปราณ |
จำจะเชิญเสด็จพระหน่อนาถ | คืนเข้านิวาสราชฐาน |
ว่าแล้วประณตบทมาลย์ | ทูลพระผู้ผ่านโมลี |
พระองค์ผู้ทรงศักดาเดช | จงโปรดเกศเกล้าเกศี |
ซึ่งจะมาโศกศัลย์อยู่ฉันนี้ | ใช่ที่จะพบพนิดา |
อนึ่งพระชนนีบิตุราช | มเหสีสายสวาทจะคอยหา |
จะแสนทุกข์ทุกข์ถึงเวลา | โศกาซูบตรอมผอมกาย |
เชิญเสด็จคืนเข้าบุรีก่อน | ดับร้อนสามกษัตริย์ให้เหือดหาย |
แล้วจึ่งค่อยคิดค่อยอุบาย | เสาะหาโฉมฉายให้พบพาน |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | พระอุณรุทผู้ปรีชาหาญ |
ได้ฟังมธุรสพจมาน | ผ่านฟ้าค่อยสร่างสว่างใจ |
จึ่งให้เลิกพหลพลโยธี | แสนสุรเสนีน้อยใหญ่ |
ออกจากร่มรุกข์พระไทร | ไปโดยมรคาอารัญ |
ฯ ๔ คำ ฯ
โอ้ครวญ
๏ เดินทางมาหว่างพนาเวศ | ภูวเรศวิโยคโศกศัลย์ |
พิศหมู่สกุณาอเนกนันต์ | ให้หวาดหวั่นคำนึงถึงเทวี |
เบญจวรรณไต่วัลย์ลดาทอง | เหมือนวันเราร่วมห้องกันสองศรี |
นางนวลเคล้านางสกุณี | เหมือนเจ้าเคล้าพี่ที่ไสยา |
ดอกบัวเหมือนบัวทิพมาศ | นุชนาฏพี่แนบนาสา |
วายุภักษ์เหมือนพักตร์พนิดา | แนบพักตร์พี่ยาสนิทนอน |
นกแก้วเคียงนางนกพลอด | เหมือนพี่เคียงแก้วกอดบนบรรจถรณ์ |
นกหว้าเหมือนคิดจะว่าวอน | ดวงสมรมาด้วยก็ยากใจ |
กระเวนเหมือนเวรเราหนหลัง | มากำบังมิให้เจรจาได้ |
จากพรากเหมือนจากเจ้ามาไกล | โหยไห้ไม่วายเวลา |
คับแคเหมือนคับแค้นอก | โอ้นกยังรู้ร่วมเสน่หา |
แต่พี่เที่ยวเปลี่ยวเอ้อาทวา | พระโศกามาโดยพนาลี |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
บ้าบ่น
๏ เมื่อนั้น | ฝ่ายพระพี่เลี้ยงทั้งสี่ |
กับหมู่อำมาตย์เสนี | โยธีรี้พลทั้งนั้น |
เห็นองค์สมเด็จพระลูกเจ้า | แสนวิโยคโศกเศร้ากันแสงศัลย์ |
โหยหวนครวญคร่ำรำพัน | จาบัลย์วิปริตผิดไป |
ให้คิดสงสารเป็นพ้นนัก | ด้วยความรักไม่กลั้นน้ำตาได้ |
ต่างตนสลดระทดใจ | เงียบเหงาเศร้าไปไม่สมประดี |
รีบเร่งโยธาพลากร | อัสดรรถรัตน์หัตถี |
ล่วงด่านผ่านพนมพนาลี | ไปยังบุรีณรงกา |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระอุณรุทสุริย์วงศ์นาถา |
ครั้นถึงนคเรศอันโอฬาร์ | ประทับเกยรัตนาอำไพ |
จึ่งเสด็จย่างเยื้องยูรยาตร | จากพิชัยรถราชยานใหญ่ |
ขึ้นยังปราสาทแก้วแววไว | ไปเฝ้าพระชนกชนนี |
ฯ ๔ คำ ฯ
การเวก
๏ น้อมเศียรประณตบทเรศ | พระมิ่งมงกุฎเกศทั้งสองศรี |
ท่ามกลางพระสนมนารี | ในปราสาทมณีพรายพรรณ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้า
๏ เมื่อนั้น | สองกษัตริย์สุริย์วงศ์รังสรรค์ |
เห็นพระโอรสร่วมชีวัน | รับขวัญแล้วมีบัญชา |
พ่อไปประพาสพนาลี | ครั้งนี้อยู่ช้าหนักหนา |
ไหนว่าเจ้าไล่มฤคา | ได้มาหรือไม่ประการใด |
เห็นฉวีสีพักตร์สร้อยเศร้า | อาวรณ์ร้อนเร่าเป็นไฉน |
ทั้งจริตก็ผิดประหลาดไป | ฤๅโรคาสิ่งใดบังเกิดมี |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | พระอุณรุททรงสวัสดิ์รัศมี |
ได้ฟังพระชนกชนนี | ชุลีกรสนองพระบัญชา |
ลูกไปถึงในแดนดง | หยุดพวกพลลงกลางป่า |
มีกวางสุวรรณรจนา | ผ่านมายังหน้าพลับพลาชัย |
นางศรีสุดายุพาพักตร์ | เห็นงามความรักจะใคร่ได้ |
โศการ่ำว่าวอนไป | จึ่งให้ล้อมจับมฤคี |
กวางนั้นหนีได้ด้วยสามารถ | โดยด้านข้าบาทบทศรี |
ให้โทมนัสขัดแค้นแสนทวี | วางพาชีตามมฤคา |
ไปในอรัญกันดาร | ข้ามห้วยละหานเหวผา |
ไม่ทันต้องแรมโยธา | แล้วกลับคืนมายังกรุงไกร |
ลูกต้องแดดลมระบมทน | จะวิกลโรคานั้นหาไม่ |
ทูลแล้วลาองค์ภูวไนย | เสด็จไปปราสาทอลงกรณ์ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ เพลง
ช้าโอ้
๏ ครั้นถึงเอนองค์ลงไสยาสน์ | เหนือแท่นนพมาศบรรจถรณ์ |
แสนโศกโศกาอาวรณ์ | ถึงองค์บังอรไม่วางวาย |
ให้คลั่งคลุ้มกลุ้มไปในวิญญาณ์ | เร่าร้อนอุราไม่เหือดหาย |
ดั่งปืนพิษปักตลอดกาย | เพียงทำลายลาญชีพชีวาลัย |
แต่พลิกกลับสับสนทุรนองค์ | จะบรรทมหลับลงก็หาไม่ |
คล้ายเห็นเป็นโฉมอรไท | แววไวข้างที่ไสยา |
พระร้องทักกวักเรียกด้วยยินดี | มาเถิดโฉมศรีพี่คอยหา |
หยุดยั้งอยู่ไยวนิดา | แก้วตาของพี่อย่าอายองค์ |
แต่ตั้งครวญคร่ำกำสรดถึง | แสนคำนึงแน่งน้อยนวลหง |
ดูไปไม่เห็นโฉมยง | ตะลึงหลงทอดถอนฤทัย |
ฯ ๑๐ คำ ฯ ช้า
ร่าย
๏ นอนนิ่งอยู่ในที่ไสยา | จะสรงเสวยโภชนาก็หาไม่ |
มิได้พจมานประการใด | ด้วยฝูงกำนัลในนารี |
ฯ ๒ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | นวลนางสุดามเหสี |
ตั้งแต่คอยหาพระสามี | เทวีทนทุกข์ทุกเวลา |
ครั้นพระกลับมายังนิเวศน์ | เยาวเรศแสนโสมนัสสา |
คอยรับเสด็จพระภัสดา | เห็นตรงมาเข้าที่บรรทมใน |
ก็คิดเกรงเบื้องบงกชบาท | มิอาจจะเข้าไปเฝ้าได้ |
นึกว่าเหนื่อยมาแต่โพนไพร | หวังจะให้บรรทมสำราญ |
แต่คอยคอยก็จนเวลาค่ำ | ยามย่ำสิ้นแสงสุริย์ฉาน |
วิปริตผิดกว่าแต่ก่อนกาล | เยาวมาลย์ก็เสด็จเข้าไป |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ เห็นองค์สมเด็จพระภัสดา | นิทราจะหลับก็หาไม่ |
จึ่งนบนิ้วกราบทูลทันใด | ซึ่งพระองค์ล่าไล่มฤคี |
ผู้เดียวไปในพนาเวศ | แสนทุเรศลำบากบทศรี |
ได้มาหรือไม่พระภูมี | น้องนี้ทุกข์ถึงเป็นพ้นนัก |
หนึ่งเสด็จกลับมาราชฐาน | พระอาการดั่งประชวรหนัก |
วิปริตผิดศรีสิริลักษณ์ | ทั้งผิวพรรณพระพักตร์ก็เศร้าไป |
ไม่เสด็จสรงเสวยโภชนา | จะตรัสจำนรรจาก็หาไม่ |
โรคายายีประการใด | เหตุไรมาเป็นดั่งนี้ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระอุณรุทผู้รุ่งรัศมี |
ฟังพระชายาพาที | ดั่งตรีเพชรแทงกรรณแทงกาย |
ด้วยคลั่งคลุ้มรุ่มร้อนเกรียมกรม | พระอารมณ์สมประดีนั้นเสื่อมหาย |
ไม่รู้สึกชอบผิดคิดละอาย | พิโรธร้ายตวาดประกาศไป |
เหม่เหม่นางศรีสุดา | เจ้าเย้ยเยาะข้าฤๅไฉน |
ว่าพลางฉวยชักพระขรรค์ชัย | ลุกไล่จะฆ่าเยาวมาลย์ |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | พระชายาผู้ยอดสงสาร |
ทั้งฝูงกำนัลนงคราญ | เห็นผ่านฟ้าไล่มาจะฆ่าตี |
ตกใจตัวสั่นขวัญหาย | วิ่งร้องวุ่นวายอึงมี่ |
บ้างล้มลุกคลุกคลานไม่สมประดี | อุตลุดทั้งที่ข้างใน |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ จึ่งพระชายาวิลาวัณย์ | ก็ปรึกษานางกำนัลน้อยใหญ่ |
ซึ่งพระองค์วิปริตผิดไป | ประหลาดใจเป็นพ้นคณนา |
จำจะทูลให้ทราบบาทบงสุ์ | พระชนนีบิตุรงค์นาถา |
ว่าแล้วก็พากันลีลา | มายังที่เฝ้าทันที |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึ่งกราบบังคมทูล | นเรนทร์สูรธิราชทั้งสองศรี |
บัดนี้พระโอรสร่วมชีวี | เสด็จมาเข้าที่บรรทมใน |
มิได้ออกโสรจสรงเสวย | จะเริงรื่นชื่นเชยก็หาไม่ |
ข้าบาทพากันเข้าไป | เฝ้าในแท่นที่ไสยา |
ไม่ตรัสปราศรัยสิ่งใดด้วย | ฉวยชักพระขรรค์คมกล้า |
ลุกไล่อุตลุดโกลา | จะฆ่าให้ม้วยชีวัน |
เห็นพระจริตผิดประหลาด | ร้ายกาจคลั่งคลุ้มหุนหัน |
อย่างนี้ไม่มีแต่ปางบรรพ์ | กัลยาทูลพลางทางโศกี |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้น | พระทรงภพลบโลกทั้งสองศรี |
ฟังพระสุณิสาพาที | ดั่งอัคคีเผาอกตกใจ |
นิ่งขึงตะลึงไปทั้งองค์ | ปิ้มจะทรงสมประดีไว้มิได้ |
เออเห็นผิวพักตร์เศร้าไป | ก็หลากใจอยู่แล้วแต่แรกมา |
เหตุไฉนเป็นได้ถึงเพียงนี้ | ผิดทีอัศจรรย์นี่หนักหนา |
ตรัสพลางรับเสด็จลีลา | ไปปราสาทลูกยาวิลาวัณย์ |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึ่งสองพระทรงยศ | กอดองค์โอรสแล้วรับขวัญ |
แสนโศกโศกาจาบัลย์ | กันแสงเพียงสิ้นสมประดี |
ลูบหลังปลอบถามด้วยวาจา | แก้วตาพ่อผู้เฉลิมศรี |
ไฉนมาโศกศัลย์เแสนทวี | เป็นถึงเพียงนี้นะลูกรัก |
จงบอกพ่อเถิดทูนเกล้า | เล่าให้แม่ฟังจงตระหนัก |
เหตุผลกลใดหลากนัก | จึ่งละล่ำละลักผิดไป |
พ่อเป็นหน่อนาถสุริย์วงศ์ | ทรงเดชปัญญาอัชฌาสัย |
จงอุตส่าห์ระงับดับใจ | จะได้เป็นที่พึ่งแก่ธาตรี |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระอุณรุททรงสวัสดิ์รัศมี |
เหลือบดูพระชนกชนนี | สมประดีเสื่อมสิ้นในวิญญาณ์ |
มิได้ถวายอภิวาท | สองกษัตริย์ธิราชนาถา |
ผินผันพักตร์เสียไม่เจรจา | กันแสงโศกาหนักไป |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้น | สองพระองค์ผู้ทรงอัชฌาสัย |
เห็นพระโอรสยศไกร | มิได้เจรจาพาที |
จะปลอบถามเท่าไรไม่ออกปาก | แต่เบือนบากผินผันพักตร์หนี |
ครวญคร่ำกำสรดแสนทวี | พระโมลีโลกยิ่งอัศจรรย์ |
ความทุกข์แสนทุกข์ทับจิต | พ่างเพียงชีวิตจะอาสัญ |
แสนโศกโศกาจาบัลย์ | ทรงธรรม์รํ่ารักพระลูกยา |
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
โอ้
๏ โอ้ว่าพ่อผู้ดวงเนตร | มารดรบิตุเรศซ้ายขวา |
ทรงสิริฤทธิ์เดชศักดา | ปรีชาชาญเลิศประเสริฐนัก |
แต่คลอดมาแม่มั่นสำคัญใจ | ว่าได้ดวงแก้วพญาจักร |
สมคิดบิดาผดุงรัก | จะให้เป็นปิ่นปักธาตรี |
สารพันพร้อมสรรพดับโศก | เฉลิมโลกรูปทรงส่งศรี |
ไฉนพ่อผู้ดวงชีวี | มาเป็นดั่งนี้ประหลาดใจ |
แม้นเจ้าไม่หายคลายคลุ้ม | จะเรื้อรุมทุกข์ทนหม่นไหม้ |
เสียจริตผิดเพศกษัตริย์ไป | มิได้สมประดีคืนมา |
บิตุเรศมารดาทั้งสองนี้ | น่าที่จะดับสังขาร์ |
ร่ำพลางกันแสงโศกา | ดั่งว่าจะสิ้นชีวัน |
ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ ครั้นคลายอาดูรพูนเทวษ | องค์พระบิตุเรศรังสรรค์ |
ก็เสด็จย่างเยื้องจรจรัล | ออกพระโรงสุวรรณรูจี |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ จึ่งมีบรรหารสิงหนาท | ถามพี่เลี้ยงราชทั้งสี่ |
ลูกเราไปประพาสพนาลี | มีเหตุเภทพาลประการใด |
กลับมานิเวศน์แสนสวัสดิ์ | จึ่งวิบัติเป็นถึงเพียงนี้ได้ |
คลุ้มคลั่งวิปริตผิดไป | ความจริงอย่างไรจงบอกมา |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระพี่เลี้ยงผู้มียศถา |
นบนิ้วสนองพระบัญชา | เดิมพระยอดฟ้าสุริย์วงศ์ |
องค์เดียวขึ้นทรงมโนมัย | ตามกวางไปในไพรระหง |
จนชายบ่ายแสงสุริยง | รี้พลจัตุรงค์จึ่งไปทัน |
เข้าอาศัยนิโครธฉายา | จนเวลาสิ้นแสงสุริย์ฉัน |
ให้ปลูกศาลแต่งการพลีกรรม | อภิวันท์สังเวยดุษฎี |
แก่พระไทรไพรพฤกษ์เทเวศ | ให้คุ้มเภทภัยในพนาศรี |
แล้วบรรทมแท่นรถรูจี | จนรวีไขแสงรุโณทัย |
ตื่นขึ้นตรัสเล่าแก่ข้าบาท | ว่าได้ไปสมพาสพิสมัย |
ด้วยอนงค์วนิดายาใจ | ทรงโฉมวิไลลาวัณย์ |
ในปราสาทแก้วแววฟ้า | เพียงมหาวิมานดุสิตสวรรค์ |
ประดับด้วยสาวสนมอเนกนันต์ | พรายพรรณยศยิ่งล้วนศฤงคาร |
ข้าทูลว่าเห็นจะเป็นจิต | เคยสนิทในรสสงสาร |
ให้เคลิ้มไคล้ใฝ่ฝันบันดาล | ในการยินดีกรีฑา |
พระองค์กริ้วโกรธพิโรธร่ำ | ครวญคร่ำคลั่งไปแต่ในป่า |
เหตุนี้อุบัติเป็นสัจจา | ผ่านฟ้าจงโปรดปรานี |
ฯ ๑๖ คำ ฯ