ตอนที่ ๑๖ พระไทรเทวาพาพระอุณรุทไปสมนางอุษา

๏ เมื่อนั้น พระอุณรุทภุชพงศ์ชาญสมร
ขับม้าไล่มาในดงดอน ด้วยกำลังภูธรโกรธา
พระติดตามกวางก็ไม่ทัน จนสุริยันบ่ายคล้อยเวหา
สุดสิ้นกำลังอาชา พอมาถึงร่มพระไทรทอง
แสนลำบากบอบกายกระหายนัก ผิวพักตร์เศร้าศรีฉวีหมอง
ทั้งร้อนรนปิ้มสกนธ์จะพังพอง ด้วยต้องแดดลมระทมทน
ให้หิวโหยโรยแรงแสนเทวษ ภูวเรศว้าเหว่ระเหระหน
นิราศทั้งโยธีรี้พล แต่สักตนไม่มีใครตามทัน
ขาดสรงขาดเสวยที่เคยสบาย แต่เช้าจนชายสุริย์ฉัน
จึ่งหยุดพักสำนักในอารัญ ทรงธรรม์ลงจากมโนมัย

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ เอนองค์ลงยังพ่างพื้น สำราญรื่นใต้ร่มพระไทรใหญ่
ลมชวยรวยกลิ่นสุมาลัย ค่อยคลายใจสบายอินทรีย์

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ เชิด

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายพระพี่เลี้ยงทั้งสี่
กับหมู่อำมาตย์เสนี โดยเสด็จจรลีก็ไม่ทัน
จึ่งแบ่งพลตามพจนารถ พระสุริย์วงศ์ธิราชรังสรรค์
ให้เชิญโฉมอัคเรศวิไลวรรณ คืนเข้าเขตขัณฑ์สวรรยา
กึ่งหนึ่งนั้นพากันติดตาม พระทรงนามหน่อนาถนาถา
รีบรัดดัดโดยมรคา สะกดรอยมิ่งม้าอาชาไป

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ ข้ามธารผ่านเขาลำเนาเนิน กันดารเดินรีบมาในป่าใหญ่
แสนทุเรศแสนยากลำบากใจ แสนอาลัยถึงองค์พระทรงฤทธิ์
อันหมู่มหาเสนี กับพี่เลี้ยงทั้งสี่ผู้ร่วมจิต
แสนทุกข์ทุกข์แทบถึงชีวิต ต่างคิดต่างร่ำโศกา

ฯ ๔ คำ ฯ โอด

โอ้ร่าย

๏ โอ้ว่าพระทูนกระหม่อมเอ๋ย องค์เดียวไม่เคยเดินป่า
เพราะกวางเจ้ากรรมทำมารยา ล่อให้ผ่านฟ้าลำบากองค์
จะไล่ชิดติดตามไปถึงไหน จะล่วงเขตขุนไศลไพรระหง
พระสุริยาก็อ่อนรอนลง ยังไม่พบพระวงศ์เทวัญ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ ร่ำพลางพลางพาพลากร รีบจรมาในพนาสัณฑ์
ใกล้ที่พระไทรชายอารัญ ต่างผันพักตร์เหลือบแลไป
เห็นผ่านฟ้ากับม้าพระที่นั่ง สถิตยังนิโครธไทรใหญ่
พี่เลี้ยงเสนีก็ดีใจ วิ่งไปกราบบาทแล้วโศกา

ฯ ๔ คำ ฯ

โอ้

๏ โอ้ว่าพระมิ่งมงกุฎเกศ ได้ยากทุกขเทวษนี้หนักหนา
พลัดพรากข้าบาทแลโยธา เสด็จมาเอองค์ในดงดาน
เงียบสงัดสารพัดพึงกลัว จนหมองมัวพระองค์น่าสงสาร
พ่อมาชื่นกับพื้นสุธาธาร อนาถอกปิ้มปานจะทำลาย
ข้าน้อยตามมาในอารัญ ก็ไม่ทันเสด็จพระโฉมฉาย
เหมือนแกล้งซัดเสียให้เปลี่ยวเดียวดาย โทษนี้ถึงวายชีวี
หมายใจว่าไม่พบบทเรศ ก็ไม่คืนนิเวศน์บุรีศรี
จะดั้นด้นซนซอกตรอกคีรี ค้นหาฝ่าธุลีพระบาทไป
กว่าจะสิ้นชีวาอาสัญ ในอารัญหิมวาป่าใหญ่
ร่ำพลางต่างโศกาลัย โหยไห้เพียงสิ้นชนมา

ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด

๏ ครั้นคลายวายโศกโศกี เสนีพี่เลี้ยงถ้วนหน้า
จึ่งกราบทูลถามกิจจา ซึ่งผ่านฟ้าตามกวางมาทางไกล
จนชายบ่ายแสงสุริย์ฉัน ยังทันมฤคาหรือหาไม่
หรือกวางลัดแลงไปแห่งใด ที่ในเนินป่าพนาลี

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระอุณรุทสุริย์วงศ์เรืองศรี
ได้ฟังจึ่งตอบวาที โดยที่นุสนธิ์แต่ต้นมา
เดิมวางมิ่งม้ามโนมัย แล่นไล่ใกล้ทันที่ชายป่า
แล้วห่างเหินเกินไกลนัยนา กำลังม้าไม่ทันกวางทอง
แต่เป็นเช่นนี้นี่หลายครั้ง รอรั้งแล้วโจนโผนผยอง
ทำล่อล้อเล่นเห็นลำพอง ผิดทำนองกวางป่าพนาลัย
จนสิ้นกำลังอัสดร ทินกรบ่ายเลี้ยวเหลี่ยมไศล
กวางโผนโจนคล้ายหายไป จึ่งหยุดอยู่ร่มไทรสำราญ
บัดนี้รี้พลก็เหนื่อยนัก จำจะพักกำลังทวยหาญ
เรามาท่าทางก็กันดาร พี่จัดการบวงสรวงเทวา

ฯ ๑๐ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระพี่เลี้ยงผู้มียศถา
ก้มเกล้ารับราชบัญชา ก็พากันออกมาทันใด

ฯ ๒ คำ ฯ

ชมตลาด

๏ จัดเครื่องบายศรีพลีกรรม์ พานทองสามชั้นประดับใส่
สอดแซมบุปผามาลัย ผลไม้มีรสอันตระการ
อีกสุราเมรัยไก่เป็ด เสร็จทั้งของคาวของหวาน
ธูปเทียนจุณจันทน์สุคันธ์ธาร แล้วปลูกศาลตั้งไว้เพียงตา
จึ่งให้เลื่อนรถแก้วแววไว เข้าใต้ร่มไทรใบหนา
เกณฑ์หมู่รี้พลโยธา ตั้งตาริ้วรอบเป็นขอบคัน
ปืนหลักดักทางวางช่อง จัดทั้งกองร้อยกองขัน
นั่งยามตามไฟสามชั้น นายหมวดตรวจกันเป็นโกลี

ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น พระอุณรุททรงสวัสดิ์รัศมี
ครั้นเสร็จสังเวยดุษฎี มีจิตชื่นชมภิรมยา
พอสิ้นรังสีรวีวร ศศิธรลอยเลื่อนพระเวหา
ประดับดาษด้วยดวงดารา ส่องสว่างพฤกษาพนาวัน
พ่างพื้นพระไทรแสนสะอาด โอภาสเลื่อมพรายฉายฉัน
พระเสด็จย่างเยื้องจรจรัล ขึ้นสุวรรณรถทองอลงกรณ์

ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ

สระบุหร่ง

๏ จึ่งจุดธูปเทียนบวงสรวง บำบวงเทเวศมเหศร
ซึ่งสิงสู่พระไทรสถาวร ขออมรเทวราชได้โปรดปราน
ช่วยเกียดกันสรรพโทษโพยภัย รังรักษ์พลไกรทวยหาญ
ทั้งรถรัตน์อัศวาคชาชาญ ส่ำแสนบริวารโจษจัน
บรรดาโดยข้าคลาประเวศ แรมร้อนทุเรศไพรสณฑ์
อาศัยพระไทรมณฑล ดิลกแหล่งอารญคีรีเรือง[๑]
ช่วยคุ้มครองป้องกันอันตราย จังไรร้ายภัยพิษให้ปลิดเปลื้อง
ทั้งแสนโศกโรคร้อนรำคาญเคือง ท่านผู้เรืองฤทธิ์นั้นช่วยบรรเทา
ให้ไพบูลย์พูนสุขเกษมสันต์ ดั่งฉัตรแก้วกั้นเกศเกล้า
บำบัดวิบัติให้บางเบา จงรับเอาสังเวยอันพึงใจ
แล้วประโคมกาหลดนตรี พิณพาทย์ดีดสีปี่ไฉน
ถวายกรทุกพวกพลไกร มี่อึงคะนึงไปทั้งนั้น[๒]

ฯ ๑๒ คำ ฯ สาธุการ

ยานี

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายพระไทรเทเวศรังสรรค์
สถิตทิพพิมานพรายพรรณ ด้วยมหันต์สุโขโอฬาฬาร
ได้สดับสังเวยวันทา วรารมณ์เรื่อยรับขับขาน
ทั้งพิณพาทย์ดุริยางค์กังสดาล วังเวงหวานสารศัพท์จับใจ
ยิ่งฟังยิ่งเพลินจำเริญจิต ครวญคิดพิศวงสงสัย
พระสุริย์วงศ์องค์นี้นี่คือใคร หน่อท้าวด้าวใดเสด็จมา
พร้อมด้วยจัตุรงค์ทวยหาญ ยังร่มไทรไพศาลสาขา
ทุเรศแรมรถทรงอลงการ์ อยู่กลางโยธาพลากร
ตัวกูจะไปสดับดู ให้รู้กิจจาแจ้งก่อน
คิดแล้วสำแดงฤทธิรอน ก็รีบจรลงใกล้พิชัยรถ

ฯ ๑๐ คำ ฯ กลม

ร่าย

๏ เห็นพวกพหลพลไกร ยังพูดจาจามไอไม่หลับหมด
ก็อ่านเวทเทวาวรายศ สะกดนิทราทั้งโยธี

ฯ ๒ คำ ฯ ตระ

ร่าย

๏ เดชะพระมนต์อันเชี่ยวชาญ ก็บันดาลทวยหาญซึ่งอึงมี่
ให้เงียบเหงาเซาซบไม่สมประดี หลับสนิทในที่ร่มไทร

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ขึ้นยังบัลลังก์รถมาศ ส่องศรีโอภาสดั่งแขไข
เห็นหลานพระตรีภูวไนย วิลาศเลิศวิไลไสยา
งามทรงงามองค์อรชร งามนอนบนราชรถา
จึ่งคิดถวิลจินดา จะว่าพระอิศโรโมลี
เป็นไรไม่ทรงอุสุภราช จะเอองค์ประพาสก็ใช่ที่
ฤๅจะว่านารายน์เรืองฤทธี เหตุใดไม่ขี่พระครุฑทรง
ฤๅจะว่าบรมพรหเมศวร์ ไยไม่ประเวศครรไลหงส์
จะว่าอมรินทร์อินทร์องค์ เป็นไฉนไม่ทรงเอราวัณ
ฤๅพระขันธกุมาราราช ไม่เห็นอาสน์มยุเรศรรังสรรค์
ฤๅจะว่าเอกองค์พระสุริยัน ไยไม่เปล่งแสงพรรณทิวารา
จะว่าพระจันทร์อันอำไพ ก็โอภาสอยู่ในเวหา
ฤๅจะว่าพระพายเทวา ก็ไม่ทรงมิ่งม้าอัสดร

ฯ ๑๒ คำ ฯ

ร่าย

๏ จึ่งคิดได้ว่าพระหลานรัก พระภุชพงศ์ทรงจักรอดิศร
มีนามอุณรุทฤทธิรอน ขจรยศเลื่องหล้าสุธาธาร

ฯ ๒ คำ ฯ

พัดชา

๏ อนิจจาพระหน่อสุริยวงศ์ มานอนเดียวเปลี่ยวองค์น่าสงสาร
เคยอยู่ปราสาทรัตน์ชัชวาล มาทรมานแดดลมมิควรเลย
เคยนางตระกองพระองค์กอด พระมาสอดพระกรก่ายเขนย
เคยทรงสุหร่ายทิพรำเพย ฤๅมาเชยนํ้าค้างระคางกาย
เคยแสงอัจกลับประทีปส่อง พ่อมาต้องแสงเดือนจำรัสฉาย
เคยนางพัชนีวีสบาย ฤๅมาชายลมหวนให้ทวนองค์
เคยกลั้วกลิ่นปรุงจรุงรื่น พ่อมาชื่นกลิ่นไม้ไพรระหง
เป็นน่าเอ็นดูพระสุริย์วงศ์ มานอนรถเอองค์ในดงดาน

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ จำกูจะประกอบการุญ สนองคุณสังเวยขับขาน
อันนางอุษาเยาวมาลย์ ธิดากรุงพาณชาญฉกรรจ์
ทรงโฉมประโลมลานสวาท เพียงอนงค์นาฏนางสวรรค์
ท้าวรักสุดรักร่วมชีวัน กุมภัณฑ์แสนถนอมดั่งดวงใจ
เห็นควรจะภิรมย์ด้วยภูวเรศ เสมอเนตรสองสนิทพิสมัย
จะเชิญพระสุริย์วงศ์องค์นี้ไป ให้สมแก้วกัลยาณี
คิดแล้วเข้าอุ้มโอบองค์ พระอุณรุทภุชพงศ์เรืองศรี
ผาดผยองล่องฟ้าด้วยฤทธี หมายมุ่งบุรีรัตนา

ฯ ๘ คำ ฯ เชิด

๏ เร็วเพียงกำลังลมพัด ถึงนิเวศน์เวียงสวัสดิ์ยักษา
คลาเคลื่อนเลื่อนลอยลงมา ยังปราสาทพระธิดายุพาพาล
แซ่เสียงสำเนียงนางกล่อม เพราะพร้อมรี่เรื่อยเฉื่อยฉาน
สังคีตพิณเพลงบรรเลงลาน ประสานศัพท์ดนตรีนี่นัน
ทั้งเสียงกุมภัณฑ์กันกง ล้อมวงอึงอื้อบันลือลั่น
ก็ร่ายพระเวทเทวัญ สะกดกันนั่งสนิทนิทรา

ฯ ๖ คำ ฯ ตระ

ร่าย

๏ บันดาลพยับโพยมบน ด้วยเดชพระมนต์อันแกล้วกล้า
นำค้างพร่างพรมลงมา เยือกเย็นโยธาคณานาง
อสุรีรี้พลก็เงียบเหงา ทั้งเหล่านางจำเรียงซึ่งเคียงข้าง
บ้างพาดพิงทิ้งเครื่องดุริยางค์ ต่างตนหลับล้มไม่สมประดี

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ จึ่งถอดนภศูลพรหมพักตร์ ด้วยฤทธิ์สิทธิศักดิ์เรืองศรี
ก็ลอดองค์ลงไปทันที ยังที่ห้องแก้วกัลยา

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ สว่างแสงอัจกลับสลับดวง จรุงรื่นพู่พวงบุปผา
เห็นอนงค์ยุพนาฏดาษดา วิไลเลิศลักขณาทุกนางใน
แต่ละองค์ทรงโฉมดั่งอัปสร อรชรชวนจิตพิสมัย
ล้วนสอดสังวาลแก้วแววไว ประดับถันวัลลัยอลงการ
นอนหลับทับกันเดียรดาษ นิราศร้างภิรมย์สงสาร
แล้วเห็นพระยอดเยาวมาลย์ บรรทมฐานแท่นทิพเทวัญ
เพียงพระลักษมียุพาพักตร์ คู่พระหริรักษ์ภิรมย์ขวัญ
ก็วางหลานพระองค์ทรงสุบรรณ เคียงข้างแก้วกัลยาณี

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ เทเวศยิ้มยลวิมลโฉม งามประโลมโลกสุดทั้งสองศรี
พิศทรงอุษาเทวี ดั่งรูปแก้วมณีกล่อมเกลา
พิศพระอุณรุทก็ลานสวาท ดั่งรูปปฏิมามาศหล่อเหลา
อรชรอ่อนอิ่มพริ้มเพรา โฉมสองทัดเท่าละกลกัน
พิศองค์พระพงศ์จักรพรรดิ ก็ลืมแลศรีสวัสดิ์สาวสวรรค์
พิศโฉมอุษาวิลาวัณย์ ก็ลืมแลหลานขวัญพระจักรี
จะหาหกห้องสวรรค์ชั้นมนุษย์ ก็งามสุดเพียงทรงสองศรี
สิ้นภพจบพื้นธาตรี ไม่มีโฉมเทียบเปรียบปาน

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ พิศพิศแล้วคิดคำนึงไป แม้นจะให้พระองค์สงสาร
ปราศรัยด้วยองค์นงคราญ ปางกาลพาสมภิรมยา
ก็จะรู้จักวงศ์พงศ์นาม จะยวนยั่วมัวความเสน่หา
จะเป็นห่วงหน่วงหนักชักช้า เกลือกพาณารู้จะมีภัย
จำจะผูกโอษฐ์สองกษัตริย์ อย่าให้ตรัสเจรจาด้วยกันได้
แต่พอสู่สมภิรมย์ใจ จะพาไปมิให้รุ่งราตรี

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ คิดแล้วก็ร่ายพระเวท อันศักดาเดชเรืองศรี
ผูกโอษฐ์สองกษัตริย์สวัสดี ด้วยฤทธีท้าวเทวัญ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ จึ่งปลุกบรรทมพระสุริย์วงศ์ ให้สองพิศวงภิรมย์ขวัญ
แล้วเหาะจากปราสาทแก้วแพรวพรรณ คืนวิมานสุวรรณอันโอฬาร

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น พระทรงโฉมประโลมสงสาร
ฟื้นองค์จากอาสน์อลงการ ผ่านฟ้าทอดพระเนตรไปทันที
ไม่เห็นรถทรงซึ่งไสยาสน์ เป็นแท่นทิพมาศจำรัสศรี
ไม่เห็นร่มไทรพนาลี เป็นปราสาทมณีอันถาวร
ไม่เห็นดาวเดือนส่องแสง กระจ่างแจ้งประทีปรัตน์ประภัสสร
ไม่เห็นโยธาพลากร ล้วนนางแน่นนอนอเนกนันต์
แลดูบรรจถรณ์ที่สถิต เห็นอนงค์แนบชิดภิรมย์ขวัญ
วิไลเลิศลักขณาวิลาวัณย์ เพียงอัปสรสวรรค์กัลยา

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ นั่งนิ่งพิศพิศแล้วพิศวง งวยงงพระทัยกังขา
ฤๅกูนอนในอรัญวา นิทราคล้ายเคลิ้มฝันไป
เมื่อเห็นแจ้งตระหนักประจักษ์จิต จะนิมิตฉะนี้ก็มิใช่
จึ่งคิดได้ด้วยปรีชาวัย ชะรอยว่าพระไทรฤทธิรอน
รู้คุณสังเวยดุษฎี พามาสมศรีสโมสร
พระแสนโสมนัสสถาวร ชมสมรมาโนชญ์ระลุงลาน

ฯ ๖ คำ ฯ

ชมโฉม

๏ พิศพักตร์งามพักตร์ผุดผ่อง ดั่งแว่นทองทิพมาศฉายฉาน
พิศเกศเกสรสุมณฑาน ปานเกศแก้วกัลยาณี
พิศขนงก่งกันดั่งคันศิลป์ พิศเนตรดั่งนิลจำรัสศรี
พิศทรงนาสาไม่ราคี ดั่งขอแก้วมณีพรายพรรณ
พิศโอษฐ์งามเอี่ยมเทียมจะแย้ม พิศแก้มเปรียบปรางทองสวรรค์
พิศกรรณเพียงกลีบบุษบัน พิศศอคอสุวรรณหงส์จร
พิศถันดั่งดวงปทุมมาศ อันโอภาสกลีบกลัดเกสร
พิศกรดั่งงวงคเชนทร นิ้วน้อยอรชรดั่งกลึงกลม
พิศสรรพงามสารพางค์องค์ พิศทรงงามทรงประเสริฐสม
วิไลลักษณ์เลิศลํ้าขำคม พิศชมงามชวนให้ยวนใจ
พิศพิศแล้วพิศวาสวาบ เสียวซาบซ่านจิตพิสมัย
ประคองหัตถ์สัมผัสอรไท ลูบไล้ชมแก้วกัลยา

ฯ ๑๒ คำ ฯ

ร่าย

๏ คิดจะใคร่ปราศรัยศรีสวัสดิ์ ด้วยแสนโสมนัสเสน่หา
แต่พระโอษฐ์จะตรัสจำนรรจา ออกมามิได้ก็จำจน
ไม่รู้ที่ทำประการใด ฤๅทัยร้อนร่านดาลฉงน
แต่ลูบโลมโฉมแก้วโกมล อยู่บนแท่นทิพรูจี

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นวลนางอุษามารศรี
ฟื้นกายชายเนตรเทวี เห็นหลานพระตรีภูวไนย
ให้ตระหนกตกประหวั่นพรั่นจิต วรนาฏนิ่งคิดแล้วสงสัย
อันชายผู้นี้นี่คือใคร สามารถอาจใจเป็นพ้นนัก
มาได้ถึงในพระนิเวศน์ ไม่เกรงองค์บิตุเรศสิทธิศักดิ์
จะว่านาคาสุรารักษ์ ฤๅมนุษย์ครุฑยักษ์วิชาธร
จึ่งทรงโฉมประโลมลานสวาท ส่งศรีผุดผาดประภัสสร
จะใคร่ถามสุริย์วงศ์พระนคร นามกรให้แจ้งกิจจา
ก็เอื้อนโอษฐ์พาทีออกมิได้ แสนฉงนจนใจนี่หนักหนา
แต่ซานทรุดองค์จะลงมา พระตระกองกายาไว้มั่นคง
ให้ขวยเขินสะเทินพระทัยนัก นงลักษณ์ครวญคิดพิศวง
แต่ชม้ายชายดูพระสุริย์วงศ์ โฉมยงผลักไสไปมา

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระทรงโฉมประโลมเสน่หา
ถนอมลูบจุมพิตพนิดา เลี้ยวลอดสอดคว้าพัลวัน
กัลยาหยิกกรแล้วค้อนคม พระทรงฤทธิ์ชื่นชมภิรมย์ขวัญ
แสนสวาทด่าวดิ้นแดยัน เสียวกระสันรัญจวนป่วนใจ
เอนองค์ลงแอบแนบน้อง สอดคล้องด้วยความพิสมัย
เชยแก้มแนมโอษฐ์อรไท จรุงใจรื่นรสสุคนธา
ฟ้าลั่นครั่นครื้นโพยมพราย สุนีบาตฟาดสายในเวหา
ฝนฝอยพรอยพรมลงมา ต้องผกาโกเมศแบ่งบาน
ภมรมาศผาดเคล้าเอาซาบ ละอองอาบกลิ่นหวนหอมหวาน
สองสมชมรสชื่นสำราญ ในสถานแท่นทิพสถาวร

ฯ ๑๐ คำ ฯ โลม

โลม

๏ เมื่อนั้น นวลนางอุษาสายสมร
ได้ภิรมย์ร่วมรสเอมอร ด้วยหลานพระสี่กรเลิศไกร
แรกรู้สู่สมชมสวาท วรนาฏพิศวงหลงใหล
แสนซาบอาบอิ่มหฤทัย ดั่งได้อำมฤตวารีริน
โสรจสรงลงทั่วตนัยนาง สารพางค์เยือกเย็นเป็นสุขสิ้น
รื่นรสกรีฑากามิน เมามัวยั่วยินวิญญาณ์ยวน
ลืมอายลืมองค์จำนงนาฏ ไม่คลาคลาดหวั่นถวิลอาวรณ์หวน
อิงแอบแนบน้อมเสน่ห์นวล เกษมสรวลบันเทิงสำเริงรมย์
บังคมคัลปันสลาโอชาถวาย พริ้มพรายระลุงลานบรรสานสม
เมียงม่อยช้อยชม้ายชายชม แสนบรมสุขเกษมเปรมปรีดิ์

ฯ ๑๐ คำ ฯ

ช้าปี่

๏ เมื่อนั้น พระอุณรุททรงสวัสดิ์รัศมี
ได้สู่สมชมรสฤๅดี ด้วยมารศรีอุษายุพาพาล
แสนสุขโสมนัสมาโนชญ์ ภิรมยาปราโมทย์สงสาร
ภิญโญยิ่งสุโขมโหฬาร เปรียบปานสุขทิพเทวัญ
ประหลาดรสฤๅดีที่เคยสม พระทรงฤทธิ์ชิดชมภิรมย์ขวัญ
สัมผัสพวงดวงทิพบุษบัน เคล้าคลึงคลึงคันธ์สุคนธา
จรุงรื่นรื่นรสเรณูนวล หอมหวนหวนซาบนาสา
ตระกองแก้วแก้วก่ายกัลยา เหนือแท่นรัตนารูจี

ฯ ๘ คำ ฯ


[๑] ต้นฉบับหนังสือไทยเลขที่ ๖๓๐ เป็น “ที่หลักแหล่งอารญคีรีเรือง”

[๒] จบต้นฉบับหนังสือสมุดไทยเลขที่ ๖๓๐ ขึ้นต้นฉบับหนังสือสมุดไทย เลขที่ ๖๓๑

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ