เจ็ด ในหุบเขา

ชายอาคันตุกะเล่าเรื่องถึงตอนที่แล้วมา ซึ่งเท่ากับฟื้นความหลัง ทำให้เต็มตื้นใจจนถึงนิ่งอั้นไปเป็นครู่หนึ่ง, เอามือประทับหน้าผากถอนหายใจยาวแล้ว จึ่งเล่าเรื่องต่อไป:-

ดูก่อนภราดา, สรุปเรื่องที่เล่ามาแล้ว คือข้าพเจ้าได้ไปหาคู่รักทุกคืนขาดเสียไม่ได้เลย ประหนึ่งว่าตกอยู่ในห้วงความเมากามสุข และดูเหมือนว่าเท้าจะไม่ได้ถูกดินฉะนั้น. ครั้งหนึ่งอดอยู่ไม่ได้ ต้องหัวเราะออกมาดังๆ ที่เคยได้ยินบางคนพูดว่าโลกเรานี้มีแต่ทุกข์ และยังจะคิดหนีโลกไม่ปรารถนามาเกิดอีกเล่า. ข้าพเจ้าร้องว่า “โสมทัตต์, คนเรานี่บางคนช่างโง่บัดซบจริง ดูเหมือนว่าโลกเรานี้จะหาที่มีความสุขเลิศยิ่งกว่าลานอโศกนี้ เป็นไม่มีแล้ว.”

แต่ข้างล่างแห่งลานอโศกลงไป เป็นเหวลึก คือหุบเขา.

ข้าพเจ้ากับโสมทัตต์กำลังป่ายปีนอยู่ขณะที่กล่าวคำข้างต้นนี้, และดูเป็นทีจะให้ข้าพเจ้าทราบว่าความสุขของโลก ก็มีความทุกข์เกิดเป็นคู่ปรับกันไป. เพราะในขณะนั้นเอง มีผู้ร้ายหลายคนกลุ้มรุมทำร้ายเรา. ผู้ร้ายจะมีกี่คนไม่ทราบ เพราะมืดตื้อมองไม่เห็นตัวกัน. เคราะห์ดีอยู่หน่อย ที่ได้ชัยภูมิด้านหลังเป็นหิน: เอาหลังยันหันหน้าเข้าสู้ศัตรูได้สะดวก ไม่ต้องพะวงการสะกัดหลัง. เมื่อรู้สึกดั่งนี้ก็ใจชื้นไม่เสียสติ, เริ่มรับมือศัตรูเพื่อป้องกันชีวิตและความรัก กันฟัดสงบเงียบคอยที และเอาอาวุธออกกวัดแกว่งทิ่มแทงอย่างใจเย็น. แต่ปรปักษ์ของเราร้องเอะอะดั่งปิศาจ เพื่อกะตุ้นพวกของมันให้รุกหน้า. สังเกตตามเสียงพวกศัตรูเห็นจะมีจำนวน ๘ หรือ ๑๐ คน. ถึงแม้พวกมันจะรู้รสว่ามาเผชิญต่อนักฟันดาพอย่างชำนาญ คือเราทั้ง ๒ คนก็ดี, กะนั้นฐานะของเราก็ไม่สู้จะดีนัก. พวกมัน ๒ คนถูกอาวุธของเราล้มกลิ้งไปปะทะพวกมันเอง, กระทำให้อ้ายเหล่าร้ายที่เหลือทำการไม่ได้ถนัด: กลัวจะไปสะดุดพวกมันเอง จะเสียหลักให้โดนอาวุธของเราได้ง่าย. สังเกตว่าพวกมันถอยห่างไปสักสองสามก้าว, เพราะไม่ได้ยินเสียงมันหายใจรดหน้าเราเหมือนก่อน ๆ.

ข้าพเจ้ากะซิบบอกโสมทัตต์ ๒-๓ คำ, แล้วเราขยับถอยเลี่ยงข้างไป ๓-๔ ก้าว, เพื่อลวงศัตรูให้มันเข้าใจว่าเรายังอยู่ในที่เดิม, มันได้พุ่งปราดแทงเข้ามาตรงนั้น, ปลายดาพได้กะแทกเข้ากับหินงอหัก, ฝ่ายเราจะทิ่มแทงเสียบชายโครงได้ง่ายดาย, เวลาเราเลื่อนย้ายที่ ได้พยายามไม่ให้มีเสียงแม้แต่น้อย. แต่จะเป็นด้วยมันหูไวได้ยินหรืออย่างไรไม่ทราบ, มันจึงไม่พุ่งใส่ไปตรงที่ซึ่งเราย้ายมา. ทันใดนั้นเห็นแสงไฟเป็นเส้นนิดไปติดอยู่ที่ผนังหิน, เหลียวดูก็เห็นเป็นแสงออกมาจากที่อะไรอย่างหนึ่งซึ่งใช้ต่างตะเกียง, แลเห็นจมูกและนัยน์ตา โผล่ออกมาจากผ้าคลุม.

ไม้ไผ่ที่เราใช้สำหรับป่ายปีนยังอยู่ในมือซ้ายข้าพเจ้า. ข้าพเจ้าเอาไม้ไผ่ทิ่มออกไปเต็มแรงตรงที่เห็นว่าเป็นคน. เสียงร้องแหลม, และแสงสว่างก็ดับวับ แล้วได้ยินเสียงดังปุ, เป็นอันแสดงให้เป็นเป็นพะยานว่าฝีมือพุ่งหลาวได้ผลสมประสงค์, ในตอนที่พวกมันตกตะลึงกันนี้เอง เราได้ช่องรีบสาวก้าวหนีไปยังทางที่เรามา. พวกเราชำนาญลู่ทางได้ดี เพราะขึ้นลงเสียจนเจน จึ่งทราบว่าตอนที่หนีต่อไปเป็นซอกเขาแคบเข้า มีหนทางที่จะป่ายปีนขึ้นไปได้ง่ายกว่าที่แล้วมา. เป็นคราวเคราะห์ดีที่อ้ายเหล่าร้ายเลิกไล่ตามมาเพราะมืดมาก. ส่วนข้าพเจ้าชักจะหมดกำลัง รู้สึกว่ามีบาดแผลหลายแห่งโลหิตไหลออกมาก. สหายข้าพเจ้าก็ต้องอาวุธเหมือนกัน แต่ไม่ฉกรรจ์เท่ากับข้าพเจ้า.

ครั้นลงมาถึงที่ราบได้แล้ว, ก็ฉีกเสื้อผ้าเอามาพันแผลชั่วคราว. ข้าพเจ้าเกาะโสมทัตต์พะยุงตัวกลับมาถึงบ้านได้, และต้องนอนเจ็บอยู่กับที่หลายสัปดาหะ.

ข้าพเจ้าต้องนอนป่วย มีความเดือดร้อนถึงตรีคูณ: ไหนแผลที่ถูกอาวุธจะเป็นพิษปวดรวดเร้า มีไข้เข้าแทรกทับ, ไหนจะคิดถึงคู่รักแทบใจขาด, ซ้ำยังเกิดปริวิตกอย่างใหญ่เข้ามาถม กลัวนางจะต้องเจ็บไข้ได้ทุกข์ถึงแก่ชีวิต เพราะรูปร่างแบบบางราวกับดอกไม้อันแบบบาง. ไฉนจะทนฟังข่าวเรื่องข้าพเจ้าเจ็บหนักอยู่ได้. เมทินีผู้ภักดีได้เยี่ยมเยือนส่งข่าวทั้งสองฝ่ายให้ทราบทุกวัน ซ้ำไม่ลืมนำเอาความรักความคิดถึงมาเล้าโลมใจเสมอ ได้ส่งดอกไม้ฝากไปมา จนข้าพเจ้ากับวาสิฏฐีสามารถใช้พูดกันด้วยเครื่องหมายของดอกไม้ได้ชำนาญ. ต่อมาเมื่อกำลังค่อยฟื้นดีขึ้นอย่างเดิมบ้างแล้ว, ก็บอกข่าวกันทางกาพย์กลอนอันไพเราะ. ความเป็นไปเพียงที่เล่านี้ก็จะพอทนนอนเจ็บอยู่ได้, แต่บังเกิดเหตุการณ์ขึ้นอย่างหนึ่ง ซึ่งทำให้วิตกถึงกาลภายหน้ามาก.

ข้าพเจ้าจะขอกล่าวในที่นี้ด้วย ว่าเรื่องที่เราถูกประทุษร้ายนี้ไม่ใช่ลี้ลับที่จะไม่รู้ว่าใครเป็นผู้คิดร้าย. แท้จริงผู้ที่คิดคืออ้ายสาตาเคียรบุตรประธานมนตรี ซึ่งเป็นผู้ที่เข้ามาแย่งลูกคลีจากข้าพเจ้าในอุทยานบ่ายวันที่ข้าพเจ้าไม่ลืมเลย. มันเองเป็นผู้จ้างอ้ายเหล่าพาลมาทำร้ายทั้งนี้มิใช่อื่นไกล คงเป็นเพราะมันสังเกตเห็นข้าพเจ้าไม่ได้กลับไปกับท่านราชทูต เกิดความสงศัย คอยด้อมสะกดรอยดูอยู่จนทราบว่าไปที่ลานบ้านนายช่างทองเสมอทุกคืน.

อนิจจา ลานอโศกของเรานี้หนอ บัดนี้มากลายเป็นเหมือนเกาะที่จมหายลงไปทะเลเสียแล้ว จริงอยู่ ข้าพเจ้าอาจสละชีวิตเพื่อขึ้นไปหานาง และถึงแม้ว่าวาสิฏฐีจะฝ่าอันตรายออกมาพบด้วยทุกคืน: ดั่งนี้ก็ไม่ว่า. แต่รูปการมิได้เป็นไปเช่นนั้น, เพราะอ้ายสาตาเคียรทุรชาติ คงนำความไปบอกเล่าเรื่องเราลอบพบปะกัน แก่บิดามารดาของนางเป็นแน่. ด้วยต่อมาไม่ช้า ก็ปรากฏว่าวาสิฏฐีถูกกักตัวไม่ให้ออกมาเที่ยวเล่นที่ลานในเวลาเมื่อพระอาทิตย์ตกแล้ว, อ้างว่าจะเป็นอันตรายแก่ร่างกาย เพราะพึ่งหายเจ็บได้ใหม่ ๆ.

ด้วยประการฉะนี้ ความรักของเราก็เสมือนไร้ที่อาศัยเสียแล้ว. แต่ก่อนนี้อาจพบกันได้ลับๆ ไม่มีใครรู้และไม่ต้องกลัวใครเห็น, บัดนี้จะพบกันได้ก็แต่ในที่เปิดเผย ให้โลกเห็นได้สะดวก. ข้าพเจ้าได้พบวาสิฏฐีอีกครั้งหนึ่งหรือสองครั้ง คล้ายกับว่าจะประจวบพบกันที่ในอุทยาน ซึ่งเราได้เคยพบกันเมื่อก่อนนี้เป็นครั้งแรก. อนิจจา! ถึงได้พบกันก็เหมือนว่าไม่ได้พบ เพราะลอบพูดกันได้อย่างเร่งร้อนเพียง ๒-๓ คำเท่านั้น ด้วยมีคนตั้งร้อยตาพันตาคอยมองดูเรา. วาสิฏฐีได้ร้องขอให้ข้าพเจ้าออกจากเมืองไปเสียทันที ด้วยจะมีอันตรายร้ายแรงมาสู่ข้าพเจ้า. นางแสดงปริเทวนา ว่าไม่ควรเลยที่นางดื้อดึงหน่วงเหนี่ยวข้าพเจ้าไว้มิให้ออกจากเมืองไป จนเป็นเหตุให้ข้าพเจ้า ณบัดนี้ตกอยู่ในปากแห่งมฤตยูเสียแล้ว. บางทีในเวลาที่กำลังพูดนี้เอง อาจมีผู้ร้ายใหม่อีกพวกหนึ่ง มีผู้จ้างให้มาเอาชีวิต หากข้าพเจ้าไม่ไปเสียจากเมืองทันที เพื่อให้พ้นภัย, ก็เท่ากับนางเป็นผู้ฆ่าคู่รักของนางเอง. นางกลั้นความสะอื้นไว้ในอกจนสะอึกพูดไม่ออก. ข้าพเจ้าได้แต่ทำเฉย จะเข้าไปประคองปลอบประโลมหรือเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาพรากๆ ก็ไม่กล้า, จำเป็นจำใจแท้ๆ แต่ที่จะพรากจากนางไปแต่บัดนั้น ข้าพเจ้าเหลืออดทนได้, จึงบอกว่าไหนๆ ก็ต้องจากกันไปนาน จะหาช่องพบพูดจากันสองต่อสอง เพื่อฝากฝังความรักได้อย่างไรบ้าง.

วาสิฏฐีทำกิริยาหน้าละห้อยดูเหมือนหมดปัญญา. พอดีขณะนั้นจำเป็นต้องผละจากกันไป, เพราะมีคนเดิรมาหลายคน. แต่อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ายังเชื่อในปัญญาของคู่รัก ว่าคงจะหาอุบายให้ได้พบกันอย่างใดอย่างหนึ่ง. ฝ่ายนางกำลังวิตกถึงชีวิตข้าพเจ้าจะเป็นอันตราย คงจะได้ปรึกษาหารือกับเมทินี ซึ่งเป็นผู้มีปัญญา. ความข้อนี้ ข้าพเจ้าเดาไม่ผิด, เพราะในคืนนั้นเอง โสมทัตต์มาบอกถึงอุบายของนางที่ได้ดำริไว้ ซึ่งเห็นผลสมดั่งมุ่งหมายอย่างแน่แท้.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ