ยี่สิบเอ็ด ในท่ามกลางความเป็นไป

เมื่อพระศาสดาตื่นบรรทมเวลาเช้าตรู่ ทอดพระเนตรเห็นกามนิตตื่นอยู่ก่อนแล้ว กำลังม้วนเสื่อ เอาน้ำเต้าขึ้นสะบายบ่า แล้วกวาดตามองหาไม้เท้า ซึ่งเดิมวางพิงไว้ที่มุมห้อง แต่เลื่อนล้มอยู่กับพื้นซึ่งไม่สังเกตเห็น, ขณะที่มองหาอยู่นั้น มีกิริยาอาการรีบร้อนมาก.

พระพุทธเจ้าประทับนั่งตรัสปราศรัยว่า “ดูก่อนภราดา, นี่ท่านจะไปเทียวหรือ?”

กามนิตตอบด้วยอาการตื่นเต้นว่า “แน่นอน, ขอให้ท่านคิดดูเถิด จะว่าขบขันก็ขันเหลือ จะว่าประหลาดก็ประหลาดจริง แทบไม่เชื่อว่าจะมีโชคเป็นพิเศษดั่งนี้. คือ เมื่อสักครู่นี้ ข้าพเจ้าตื่นขึ้นรู้สึกคอแห้งผาก เพราะสนทนากันเมื่อคืนนี้นาน, ไม่มีอะไรจะทำ จึ่งลุกขึ้นไปที่สระถัดทางโน้นไปใต้ต้นมะขามนั่น, พบหญิงสาวคนหนึ่งกำลักตักน้ำ. ท่านทราบหรือไม่ว่าข้าพเจ้าได้ข่าวอะไรจากหญิงคนนั้น? คือได้ทราบว่าพระศาสดามิได้ประทับอยู่ ณ จังหวัดสาวัตถีแล้ว. รู้หรือไม่ละท่าน ว่าพระองค์เสด็จประทับอยู่ไหน? เมื่อวานนี้เอง พระองค์พระพุทธเจ้า มีกล่าวสรรเสริญกันไว้แล้วมิใช่หรือว่า มีคุณให้เกิดผลบันเทิงสุขในเบื้องต้น พร้อมด้วยสาวกสามร้อย ได้เสด็จมาถึงกรุงราชคฤหนี้, และขณะนี้ประทับอยู่ที่สวนมะม่วงถัดออกไปนอกกรุงทางโน้น. ในเวลาอีกชั่วโมงเดียว หรือบางทีจะเร็วกว่านั้นด้วยซ้ำ ข้าพเจ้าจะได้เฝ้าพระองค์, ผิดคาดหมายที่นึกไว้ว่าจะได้พบพระองค์ต่อเวลาตั้งสี่สัปดาหะ. เห็นอย่างไรละท่าน, อีกชั่วโมงเดียวเท่านั้น? หญิงตักน้ำบอกว่า ถ้าไม่ไปทางถนนใหญ่ แต่ลัดตรอกซอกถนนตัดข้ามออกไปทางประตูด้านตะวันตก เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้นก็จะถึง. ไม่เคยนึกฝันเลย ใจร้อนเร่งเต็มที. ขอลาท่านละ. ท่านเป็นผู้มีความหวังดีในตัวข้าพเจ้า. ข้าพเจ้าไม่ลืมกลับมาพาท่านไปเฝ้าพระศาสดาด้วย. ขอลาที จะชักช้าอยู่อีกไม่ได้.”

กล่าวแล้ว กามนิตก็ขมีขมันออกจากบ้านไป, วิ่งไปตามถนนโดยเร็ว. ครั้นไปถึงประตูกำแพงกรุงราชคฤห ยังไม่ถึงเวลาเปิด, กามนิตจำต้องรอคอยอยู่เป็นครู่หนึ่ง ซึ่งรู้สึกว่านานตั้งกัลป ทำให้ใจเดือดพลุ่งพล่านเป็นอันมาก, ได้ใช้เวลาที่รอคอย ถามหาความรู้จากหญิงแก่ ซึ่งนำผักจะเข้าไปขายในเมือง แต่ต้องนั่งคอยอยู่เหมือนกัน ว่าทางลัดที่ใกล้ที่สุดไปทางไหน จนได้ความรู้ดี; พอดีถึงเวลาเปิดประตูเมือง กามนิตก็วิ่งเข้าไปตามทางที่หญิงแก่บอกไว้, อารามจะไปให้ถึงเร็ว ไม่ได้ดูเหนือใต้ พุ่งไปชนเด็กหกล้มสองสามคน, แล้วโดนหญิงคนหนึ่งกำลังล้างชามอยู่ข้างถนน จนชามกลิ้งตกแตก, ถัดจากนั้นไปโดนคนหาบน้ำ. ถูกใครต่อใครตะโกนด่าว่าอย่างโกรธจัด, แต่กามนิตจะได้ยินก็หาไม่ เพราะกำลังตื่นปลื้มในลาภที่จะได้เฝ้าพระพุทธเจ้าในเวลาอันเร็ว ผิดความคาดหมายมาก.

บังเกิดปิติซาบซ่านว่า “ช่างโชคดีจริงหนอ! กว่าพระพุทธเจ้าจะมาตรัสสักองค์หนึ่งก็เป็นเวลาหลายชั่วอายุคน, ถึงว่าในรุ่นอายุสมัยที่พระพุทธเจ้ามาตรัสผู้จะได้เห็นพระองค์ก็น้อยนัก. บัดนี้ความสุขที่เราจะได้เฝ้าพระพุทธเจ้า เป็นของแน่แล้ว. หวั่นๆ อยู่ว่าจะต้องเดิรทางไปไกล เผชิญอันตรายตลอดทางด้วยโจรและสัตว์ร้าย จะทำให้ไม่มีโอกาสได้เฝ้าพระองค์. แต่คราวนี้ เป็นอันสมประสงค์เทียวละ.”

เมื่อกามนิตวิ่งเลี้ยวลัดเข้าไปทางตรอกที่แคบที่สุด กำลังมีใจตื่นมุ่งอยู่อย่างนี้ จนไม่ได้สังเกตเห็นโคบ้าตัวหนึ่งกำลังวิ่งไล่คนแตกกระจายมาข้างหน้า. ต่างหนีวิ่งเข้าไปในบ้านบ้าง, หลบซ่อนหรือปีนหนีขึ้นไปอยู่บนกำแพงบ้าง. หญิงคนหนึ่งอยู่บนมุขบ้านตะโกนบอกให้ระวังตัว. แต่กามนิต ก็มิได้ยิน ตาจ้องอยู่ที่ยอดหอคอย ซึ่งเป็นที่มุ่งหมายอยู่ตรงหน้า เพื่อมิให้เลี้ยวผิดทาง, กว่าจะรู้สึกตัวก็พอดีโคบ้ากรากเข้ามาถึงตัวเสียแล้ว หนีไม่ทัน. ทันใดนั้น โคก็ขวิดกามนิต ร้องเสียงโอยล้มลงอยู่ริมกำแพง. ส่วนโคเมื่อขวิดกามนิตแล้ว, ก็วิ่งเลยหายไปในอีกทางหนึ่ง.

ขณะนั้น มีผู้คนวิ่งกันมาสอๆ บางคนเพียงมาดู, แต่บางคนก็มาช่วยเหลือ. หญิงคนที่ตะโกนบอกให้ระวังตัว เอาน้ำชำระบาดแผลให้, ฉีกเอาผ้าที่กามนิตห่มมา พันมัดบาดแผล เพราะโลหิตไหลพุ่งออกมาราวน้ำพุ.

ในขณะนั้น กามนิต ยังไม่สิ้นสติทีเดียว แต่คะเนรู้ตัวแน่ว่าอย่างไรเสียตนก็จะต้องตาย. อันความตายหรือความเจ็บปวดอยู่นี้ ไม่ทำให้กามนิตรู้สึกหวาดหวั่น เป็นทุกขเวทนามากเท่ากับที่วิตกว่าจะไม่ได้เฝ้าพระพุทธเจ้า. ถึงกับขอร้องผู้ที่อยู่ใกล้ โดยมีเสียงอันสั่นเครือให้ช่วยพาเอาไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ที่ป่ามะม่วงด้วย:

“ท่านสหายทั้งหลาย, ข้าพเจ้าเดิรทางมาไกล จนจวนจะถึงที่มุ่งหมายแล้ว. กรุณาช่วยพาข้าพเจ้าไปเดี๋ยวนี้เถิด, อย่าได้ชักช้าเลย, ไม่ต้องวิตกถึงความเจ็บปวด หรือกลัวว่าข้าพเจ้าจะตาย. ข้าพเจ้ายังไม่ยอมตาย จนกว่าท่านจะช่วยวางข้าพเจ้าไว้แทบบาทพระพุทธเจ้า, แล้วจึ่งจะตายด้วยความสุข และไปเกิดมีความสุขใหม่.”

คนที่อยู่นั่น บางคนวิ่งไปหาเสื่อ หาคานหาม. ส่วนหญิงคนนั้นเอายาชูกำลังให้กามนิตดื่มสองสามช้อนพอให้ชุ่มชื่น. พวกเหล่านั้นกำลังออกความเห็นโต้แย้งกัน ถึงเรื่องว่าจะไปทางไหนดีจึ่งจะใกล้ที่สุด ถ้าไปผิดทาง ช้าเพียงก้าวเดียวจะไม่ทันการ เพราะกามนิตกำลังมีอาการทรุดลงรวดเร็ว.

ขณะนั้น ชายคนหนึ่ง เอามือชี้ไปทางถนนเล็กร้องว่า “นั่นแน่สาวกของพระพุทธเจ้า ท่านคงจะบอกให้ทราบได้ว่าไปทางไหนจึ่งจะเหมาะ.”

อันที่จริงเวลานั้น มีพระภิกษุหลายองค์ห่มคลุมด้วยกาสาวพัสตร์ มืออุ้มบาตรเดิรมา. พระภิกษุเหล่านี้ล้วนมีอายุอยู่ในวัยหนุ่ม, แต่ข้างหน้ามีพระภิกษุผู้แก่อาวุโสสององค์: องค์หนึ่งเส้นผมหงอกแล้ว ท่าทางมีสง่าผ่าเผยบอกว่าทรงความเฉียบขาดสามารถ, อีกองค์หนึ่งมีอายุอยู่ในมัชฌิมวัย ท่าทางสงบเสงี่ยม สังเกตดูลักษณะราวกับเป็นผู้มีอายุอยู่ในวัยต้น. พระภิกษุสององค์นี้ ถึงผู้ที่ไม่ชำนาญดูลักษณะ ก็อาจทราบได้ว่า องค์แก่คงอยู่ในวรรณพราหมณ์ ส่วนองค์หนุ่มอยู่ในวรรณะกษัตริย์.

เมื่อหมู่พระภิกษุหยุดลงที่ฝูงชนออกันอยู่, ก็มีผู้แย่งกันอธิบายเรื่องให้ฟังแทบไม่เป็นศัพท์ แล้วว่ากำลังจะหามชายอาคันตุกะที่ถูกโคขวิดคนนี้ ไปยังป่ามะม่วง เพื่อเฝ้าพระพุทธเจ้าตามความประสงค์ยิ่งใหญ่ของเขา, จึ่งอยากจะขอให้ช่วยชี้ทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งใกล้ที่สุด.

พระภิกษุองค์ที่สูงอายุตอบว่า “เวลานี้พระศาสดาไม่ได้ประทับอยู่ที่ป่ามะม่วง. และพวกอาตมาก็ยังไม่ทราบว่าเสด็จไปประทับอยู่ที่ไหน.”

พอกามนิตได้ยินดั่งนี้ ก็ถอนหายใจยาว มีอาการเสียใจว่าหมดหวัง.

พระภิกษุองค์ที่มีอายุรองลงมา กล่าวว่า “แต่เห็นจะไม่ประทับอยู่ไกลจากที่นี่นัก, เพราะก่อนหน้าที่จะเสด็จมากรุงนี้ รับสั่งให้พวกภิกษุบวชใหม่ล่วงหน้ามาก่อน ส่วนพระองค์เสด็จตามหลังมาลำพังเมื่อวานนี้. บางทีจะเสด็จมาถึงเป็นเวลาเย็นมาก คงจะประทับแรมอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง บางทีจะในเขตชายกรุงนี้เอง. ที่อาตมาพากันมานี้ ก็เพื่อตามมาเฝ้า.”

กามนิต ร้องวิงวอนว่า “ขอได้โปรดตามหาด้วยเถิด, ท่านเจ้าข้า.”

พระภิกษุองค์สูงอายุว่า “ถึงหากจะตามหาจนพบว่าเสด็จอยู่ประทับอยู่ที่ไหน ก็จะหอบหิ้วคนไข้ไปไม่ได้, เพราะจะกระเทือนทำให้อาการทรุดลงเร็ว เมื่อไปถึงอาจจะสิ้นสติเสียแล้ว คงไม่สามารถฟังพระโอวาทได้. ควรจะช่วยกันรีบหาหมอเสียเดี๋ยวนี้เพื่อแก้ไขประทังไปพลางก่อนดีกว่า บางทีจะมีทางฟื้นกำลังพอได้ฟังพระพุทธโอวาท.”

แต่กามนิต เอามือชี้ไปที่เปลหาม พูดขาดระยะเป็นห้วงๆ ว่า “อย่าช้า-จวนตาย-โปรดนำ-เฝ้าพระองค์-ถูกต้อง-ตายเป็นสุข. โปรดเร็ว-”

พระภิกษุสูงอายุยกไหล่ (ตามวาสนาที่ตัดไม่ขาด) หันไปพูดกับเพื่อนภิกษุด้วยกันว่า

“ชายคนนี้ ยึดถือพระพุทธเจ้าเป็นดั่งรูปบูชา, นึกว่าเมื่อได้สัมผัสแล้วก็พ้นบาป.”

องค์ที่มีอายุรองลงมาพูดว่า “ท่านศารีบุตร, ชายผู้นี้เลื่อมใสในพระศาสดา แม้ว่าจะยังขาดความเข้าใจในหลักธรรมอันสูง;” แล้วก้มไปพิจารณากามนิต เพื่อให้ทราบว่าจะมีกำลังอยู่บ้างหรือไม่, พลางพูดว่า “น่าจะลองพยายามดู. น่าสมเพชอยู่. ถ้าช่วยเหลืออย่างอื่นไม่ได้, พยายามลองสักหน่อยจะเป็นไร.”

กามนิต แลดูเป็นทีรู้สึกขอบคุณ ที่ได้ฟังความเห็นนี้.

พระศารีบุตร คล้อยตามว่า “ลองดูซี, ท่านอานนท์.”

ขณะนั้น มีชายคนหนึ่งเดิรปราดมาในทางที่กามนิตมาแล้ว. ชายนั้น คือ ช่างหม้อทูนหม้อต่างๆ มาตะกร้าใหญ่, ครั้นเห็นเขากำลังยกกามนิตลงในเปลหามอย่างบรรจง แต่ก็ยังทำให้กามนิตเจ็บปวดไม่น้อย, ก็หยุดชะงักกึกทันที, หม้อที่ทูนไว้พลัดตกแตกกระจาย, จ้องดูด้วยความตกใจ.

“ตายจริง! นี่เกิดเหตุอะไรกัน? ชายอาคันตุกะคนนี้ได้ไปอาศัยพักนอนอยู่ที่บ้านเมื่อคืนนี้ พร้อมกับพระภิกษุองค์หนึ่ง นุ่งห่มเหมือนท่านภิกษุเหล่านี้.”

พระศารีบุตร- “พระภิกษุองค์นั้นมีอายุสูง และรูปร่างสูงด้วยหรือเปล่า?”

ชายปั้นหม้อ - “อย่างนั้น, ท่านผู้เจริญ, และดูเหมือนมีรูปลักษณะไม่ผิดจากท่าน.”

พระภิกษุทั้งหลายก็ทราบได้ในขณะนั้น ว่าไม่ต้องไปตามหาพระพุทธเจ้าที่ไหนอีก. พระศาสดาคงได้เสด็จแรมอยู่ในบ้านช่างหม้อ เพราะสาวกที่มีรูปลักษณะคล้ายพระพุทธเจ้า ก็คือพระศารีบุตร ซึ่งใครๆ ทราบกันอยู่.

พระอานนท์ มองดูกามนิต ซึ่งในขณะนั้นไม่ได้สติแล้ว และไม่รู้สึกถึงนายช่างปั้น เพราะถูกยกขึ้นเปลหามได้รับความเจ็บปวด อันทุกขเวทนาครอบงำมาก, แล้วพูดว่า “หรือบางทีชายผู้นี้จะได้เฝ้าพระศาสดาอยู่แล้วตลอดคืน โดยไม่รู้สึกแม้สักน้อยว่าเป็นพระพุทธเจ้า?”

พระศารีบุตร - “ผู้โง่เขลาเบาปัญญาเช่นนั้น. ควรพาไปได้แล้ว.”

พระอานนท์ - “ประเดี๋ยวก่อน เวทนากล้าจนสิ้นสติเสียแล้ว.”

อันที่จริง ที่กามนิตลืมตาโพลงนั้นแสดงว่าไม่รู้สึกถึงเหตุการณ์ที่เป็นอยู่รอบตัวในเวลานั้น. ดวงตาชักมืดลงๆ คงเห็นแต่ท้องฟ้าขาวในเวลาเช้า – เป็นทางอยู่ในระวางกำแพง ซึ่งให้กามนิตรู้สึกอยู่บ้าง, แต่เข้าใจไปว่าเป็นทางช้างเผือกที่ผ่านในอากาศอันมืดในเวลาเที่ยงคืน, ริมฝีปากขมุบขมิบแล้วค่อยๆ เผยอพูดออกมาว่า “แม่คงคา.”

พระอานนท์ - “เพ้อแล้ว”

ผู้ยืนอยู่ใกล้หลายคน ได้ยินกามนิตพูดได้ถนัด, ตีความหมายของกามนิตว่า “เห็นจะต้องการให้พาไปยังฝั่งแม่น้ำคงคา ณ บัดนี้ เพื่อชำระล้างบาปมลทินด้วยน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้น. แต่แม่คงคาอยู่ไกลมาก, ใครจะหามไปถึงได้?”

ทันใดนั้น กามนิตค่อยมีสติขึ้น ดวงตาสดใส มีอาการยิ้มดูประหนึ่งว่าอิ่มใจ พยายามจะลุกขึ้น; พระอานนท์เข้าประคอง.

“แม่คงคาในสวรรค์!” กามนิตกะซิบเสียงแผ่วแต่แจ่มใส เอามือขวาชี้ไปบนฟ้าเหนือศีรษะ, พูดว่า “แม่คงคาในสวรรค์ เราได้ปฏิญญา – แทบกระแสคลื่น – วาสิฏฐี -”

กามนิตกล่าวได้เท่านี้ ตัวสั่นเทิ้ม กระอักโลหิตออกจากปาก สิ้นเสียง สิ้นใจอยู่ในวงแขนพระอานนท์.

ล่วงต่อมาไม่ทันถึงครึ่งชั่วโมง พระศารีบุตรและพระอานนท์พร้อมด้วยพระภิกษุทั้งหลาย ก็ไปถึงบ้านช่างหม้อ, เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่ควรมีส่วนสุดข้างหนึ่ง.

พระศาสดาตรัสสัมโมทนียกถาทักทายตามอาคันตุกวัตรแล้ว, ตรัสถามว่า “สำแดงศารีบุตร ตัวท่านกับพวกภิกษุใหม่ผู้ถือนิสัยในท่านเดิรทางไกลมาถึงที่นี้เรียบร้อยดี หรือว่าประสพเหตุการณ์อะไรบ้าง? อาหารและเภสัชสำหรับภิกษุที่อาพาธลงกลางทางขาดแคลนบ้างหรืออย่างไร? บรรดาสานุศิษย์มีความสบาย และทำความเพียรขยันขันแข็งดีอยู่หรือ?”

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ, ข้าพระองค์มีความยินดีที่จะกราบทูลได้ว่า ไม่มีความขาดแคลนประการไร, และภิกษุใหม่ก็มีความแข็งแรงดี แต่มีความปรารถนายิ่งอยู่อย่างเดียว คือเพื่อมาเฝ้า. ภิกษุหนุ่มเหล่านี้ ได้รู้แจ้งและมั่นในพรหมจรรย์แล้ว, ข้าพระองค์จึ่งได้มาเฝ้ามิได้ชักช้า.”

ขณะนั้น ภิกษุหนุ่มสามองค์ลุกขึ้นจากที่นั่งประคองอัญชลีถวายอภิวาทพระศาสดา. พระองค์ทรงรับอภิวาทนั้นแล้ว มีพระพุทธานุญาตให้นั่งลงตามปกติได้.

“ข้าแต่พระศาสดาเจ้า, พระองค์ได้เสด็จมาถึงที่นี้แต่เมื่อวานนี้ ทรงเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าหรือประสพอุปสรรคสถานไรบ้าง? และได้เสด็จประทับแรมอยู่ในบ้านช่างหม้อนี้ หรือพระเจ้าข้า?”

“เออ! ภิกษุทั้งหลาย, เราตถาคตมาถึงเป็นเวลาเย็นมืดลงแล้ว ถึงว่าจะรู้สึกเหนื่อยมากก็จริง แต่ไม่ประสพอุปสรรคอย่างไร, ตลอดทางได้พักแรมคืนในนี้ กับชายอาคันตุกะคนหนึ่ง เรียบร้อยดีอยู่.”

พระสารีบุตร - “ชายอาคันตุกะคนนั้น บัดนี้กระทำกาลกิริยาเสียแล้ว โดยถูกโคขวิดที่ในกรุงราชคฤห.”

พระอานนท์ - “และทั้งเขาก็ไม่เฉลียวด้วยว่าผู้ที่แรมคืนอยู่กับตนนั้นเป็นใคร. ความประสงค์ของผู้นั้นมีอย่างเดียว คือใคร่จะเฝ้าพระองค์.”

พระศารีบุตร - “แล้วล่วงมาไม่ช้า ขอให้พาไปที่แม่คงคา.”

พระอานนท์ ค้าน “หามิได้ ท่านศารีบุตร. เพราะพอเขาพูดถึงแม่คงคาในสวรรค์ ก็มีสีหน้าอาการสดใสขึ้น ดูเหมือนจะระลึกถึงข้อปฏิญญาอะไรอย่างหนึ่ง, แล้วก็ออกชื่อผู้หญิง ดูเหมือนชื่อวาสิฏฐี แล้วก็สิ้นใจ.”

พระศารีบุตร - “เมื่อจิตต์ดับไป มีชื่อผู้หญิงติดอยู่ที่ริมฝีปากด้วย ใจคงเศร้าหมอง. นี่จะไปเกิดในภพไหนหนอ?”

พระพุทธเจ้า - “อาคันตุกะ กามนิต เป็นผู้ที่โง่หลงผิด คล้ายเด็กที่ดื้อ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ชายอาคันตุกะผู้นี้สืบเสาะหาเรา เพื่อจะขอเป็นสาวกศึกษาหลักธรรม. เราตถาคตเล็งเห็นอุปนิสสัยแล้วจึ่งแสดงหลักธรรมพอเป็นปัจจัย. ในที่สุดก็สมเหตุ คือ เขาแสดงความไม่พอใจ ดิ้นรนใฝ่มุ่งอยู่ในกามสุขทิพยารมณ์. และเพราะจิตยึดหน่วงเอาตถาคตเป็นอารมณ์คู่กันไปด้วย ณ บัดนี้ ได้ไปเกิดอยู่ในสุขาวดีแดนสวรรค์ตะวันตกแล้ว, และจะเสวยกามาพจรสุขอยู่ในนั้นนับเวลาได้หลายโกฏิปี.”

(จบภาคหนึ่ง บนดิน)

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ