ยี่สิบสอง ภูมิสุขาวดี

ขณะเมื่อพระศาสดาเจ้าตรัสถ้อยคำเหล่านั้นอยู่กับพระสาวก ณ หอนั่งนายช่างหม้อจังหวัดราชคฤห์นั้น, กามนิตชายอาคันตุกะผู้จารึกแสวงบุณย์ดับจิตต์แล้วไปตื่นขึ้น ณ สวรรค์สุขาวดี.

อันว่าสุคติภูมิที่สำคัญยิ่งนัก คือ มหาสระปทุมทิพยสถาน เป็นอุบัติภพสำหรับรองรับวิญญาณแห่งบรรดาสาธุชน ผู้ประกอบกุศลจรรยา มีใจผ่องแผ้วสุจริต ให้ถือเอาซึ่งปฏิสนธิจิตต์เป็นอุปะปาติกะชาติย์โดยธรรมนิยม แล้วและเสวยสุขารมณ์เกษมศานติ์โสมนัสย์ เป็นศุภผลสนองกัลยาณสมบัติที่ประพฤติไว้ในไตรทวาร.

จึ่งกามนิตผู้ตื่นขึ้น ณ สระมโหฬารรุจิราลัยนี้ บังเกิดมีสริราพยพห่อหุ้มด้วยรัตตกัมพลวิภูษิต มีเชิงชายระบายวิจิตรรุ่งเรืองระยับตา ห้อยย้อยเป็นระย้าระยาบอยู่รอบตัว สีสดชื่นเฉกกลีบบัวบานและอ่อนละมุนเป็นอันดี. ส่วนอาการวิธีมีผิดแผกจากครรภไศยกะสัตว์ กล่าวคือ กำลังนั่งขัดสมาธิบัลลังก์อยู่บนดอกบัวอันส่งสีรับกับผ้ากัมพลนั้น ชูก้านลอยเด่นเป็นสำคัญกลางสระใหญ่กว้างขวาง. ก็และดอกบัวอย่างที่กามนิตสถิตนิสีทนาการ ย่อมมีอยู่ไสวในสระไพศาลเหลือคณนา ทรงสีสัณฐานต่างกันตามเวลาช้าหรือเร็วที่บังเกิด เพราะเป็นผลบุณย์อันประเสริฐแห่งกัลยาณชน ขึ้นไปอุบัติคอยท่าเจ้าของเมื่อถึงคราว บ้างแดงบ้างเขียว บ้างขาว ที่พึ่งผลิแต่ยังตูมอยู่ก็มากมี, ชะนิดขยายกลีบเต็มที่แล้วเหมือนอย่างดอกซึ่งกามนิตนั่งอยู่ ก็นับไม่ถ้วน, แต่ละดอกล้วนมีสุขุมสรีระทรงพัสตราภรณ์งดงามอร่ามตา ปรากฏอินทรีย์โผล่ออกมาจากกลีบบัวที่เบิกบาน.

ณพื้นชานตลิ่งอันลาดเอนขึ้นไป เป็นลานหญ้าผืนใหญ่ราบรื่นขจีเขียว ระดาดาดด้วยไม้ดอกบ้างกอบ้างชะลูดเรียวสารพัตรพรรณ ชูช่อบุปผชาติเป็นชั้นๆ สลับสีสดชดช้อยอรชร เสมือนรัตนากรกองแก้วมณี บรรดาสีหลากประหลาดในมนุษย์โลกทั้งใหญ่น้อย และมาลอยขึ้นไปรวมสลอน ณ ลานนั้นแลสล้าง แต่ทว่าความเข้มแข็งกะด้างแห่งดอกไม้ดุจลักษณะที่มนุษย์รู้อยู่เดิมที มาเป็นของอ่อนละมุนแม้นศัมลีนุ่มนิ่มน่าสัมผัส ส่งกลิ่นอบอวนหวนหอมจัดยิ่งกว่าความหอมแห่งน้ำหอมวิเศษที่บรรจุไว้ในภาชนะแก้วเจียระไน และทรงความหอมตามธรรมชาติดอกไม้อันสดชื่นบริบูรณ์ทุกประการ.

ถัดชายตลิ่งปานว่าเนรมิตไว้นี้ และมองเลยขึ้นไปก็ทวีความเพลิดเพลินมิรู้เบื่อ มีป่าไม้เป็นขนัดไปทางเหนือสะพรึบพรั่งด้วยพฤกษชาติดาษดา มียอดเยี่ยมฟ้า บ้างใบหน้าเป็นพุ่มใหญ่บ้างสูงเรียว มีใบเขียวอย่างมรกตสดสะอาดเย็นนัยน์ตา บ้างแตกดอกออกช่อตามศาขาดูดั่งดวงมณี เชิดเด่นเป็นช่อๆ บางทีก็โน้มเข้ารวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ แล้วก็แหวกเป็นช่องเป็นแนวทางในกลางวนันดร แลเห็นโล่งโปร่งตลอดตอนไปกะทั่งถึงภูเขาอันงามยวนตายวนใจเหลือพรรณนา กอบด้วยแก้วมณีศิลาอ่อนขาวสะอาด มีพรรณไม้ต้นเตี้ยๆ ขึ้นเป็นพืดเพียงว่าอากาศเป็นผืนผ้าม่านเนื้อบาง มีบุปผชาติเป็นดอกดวงปกคลุมอยู่. แต่ในที่ตอนหนึ่งอันเว้นว่างจากสุมทุมพุ่มไม้และหินผาปานว่าจะแหวกทางไว้ให้แก่กัน, ที่ตอนนั้นคือแม่น้ำ มีกระแสไหลเอื่อยๆ เป็นทางไปคล้ายแสงดาวเดียรดาษในท้องฟ้า ทอดลำลงไปสู่สระมหามณฑล.

เบื้องบนแดนอันตระการ เป็นท้องฟ้าโค้งคล้ายครอบไว้ด้วยเพดานสีน้ำเงิน ซึ่งค่อยจัดเข้าเมื่อถึงตอนขอบฟ้า. และภายใต้ฟ้าครอบนี้ มีก้อนเมฆสีขาวสะอาดเป็นเงินยวงก้อนน้อยๆ ห้อยย้อยเป็นกลุ่มๆ เกลื่อนคัคนัมพร แต่ละก้อนมีอัปสรทรงโฉมวิลาสสถิตเอนอิงขับสังคีตทิพยดนตรี, เสียงไพเราะเสนาะมี่หวานซ่านคะครึ้มไปทั่วแดนนั้น.

อันบนท้องฟ้า หามีดวงสูรย์ส่องแสงไม่, อันที่จริงก็ไม่จำเป็นต้องมี. เพราะที่ก้อนเมฆ, ที่เทพอัปสร, ที่ภูเขาและดอกไม้, ที่น้ำและดอกบัว, ที่พัสตราภรณ์ของผู้อยู่ในแดนนั้น, ตลอดจนดวงหน้าเทพบุุทคล, ล้วนมีรัศมีฉายแสงสว่างรุ่งเรืองยิ่งกว่าแสงสูรย์ แต่ว่าไม่บาดตา. ทั้งอากาศที่อบอุ่น ก็มีละอองน้ำอันหอมชื่นมาปรุงโปรย โชยให้สดชื่นรื่นเริงสำราญใจ, ซึ่งในมนุษยพิภพหาที่เทียบเปรียบไม่ได้.

เมื่อกามนิตค่อยรู้สึกคุ้นกับอารมณ์ในสุคติภูมิอันสง่างามนี้ส่างความพิศวงงงงวย มีความรู้สึกเป็นปกติแล้ว, มองดูเหล่าผู้อื่นอันมีลักษณะคล้ายกับตน ซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก็ในดอกบัวที่ลอยอยู่, ก็สังเกตเห็นว่าผู้ที่มีเครื่องนุ่งห่มแดงเป็นเทพบุตร ส่วนที่นุ่งห่มขาวเป็นเทพธิดา พวกที่นุ่งห่มสีน้ำเงินก็มีบ้าง แต่ว่าเป็นชายก็มีหญิงก็มาก ทิพยบุุทคลเหล่านี้ล้วนอยู่ในวัยหนุ่มสาวทั้งนั้น และดูเป็นผู้มีใจดีทั่วไป.

ผู้อยู่ใกล้กามนิตผู้หนึ่งสวมเครื่องสีน้ำเงิน มีกิริยาอาการแสดงว่าน่าจะปราศรัยเป็นมิตรกันได้. กามนิตก็เกิดความกระหายที่จะสนทนาด้วย, จึ่งคิดว่า “นี่เราควรจะไต่ถามผู้มีสุขคนนั้นดีหรือไม่หนอ? เพราะอยากจะรู้เหลือเกินว่าเวลานี้เราอยู่ที่ไหน.”

ทันใดนั้น กามนิตเกิดความประหลาดใจเป็นที่สุด เพราะมีคำตอบ ซึ่งไม่ปรากฏเสียงหรืออาการเคลื่อนไหวแห่งริมฝีปากของผู้สวมเครื่องสีน้ำเงิน ว่า

“ดูก่อนผู้นฤทุกข์, ท่านนั้นอยู่ในสวรรค์สุขาวดีแดนบรมสุข”

กามนิตเผลอตัวนึกถามต่อไปว่า “ดูก่อนท่านผู้ทรงบริศุทธิ์ยิ่ง, เมื่อข้าพเจ้าลืมตาขึ้น ก็ได้เห็นท่านทันทีอยู่ในที่นี้แล้ว. ท่านลืมตาตื่นในคราวเดียวกับข้าพเจ้า หรือว่าอยู่ที่นี่นานมาแล้ว?”

“ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่มานานจนจำไม่ได้. ถ้าไม่ได้เห็นดอกบัวบานและมีผู้เกิดมาใหม่อยู่เนืองๆ และถ้าไม่ได้กลิ่นหอมแห่งดอกปาริชาต, ข้าพเจ้าก็คงเชื่อว่าได้มาอยู่นับเวลาเป็นอนันตกาลแล้ว.”

“กลิ่นหอมอะไรนะ ที่ท่านกล่าว?”

“ท่านจะพบและทราบเองในไม่ช้า. ปาริชาตเป็นต้นไม้น่าพิศวงยิ่งใหญ่มีอยู่ในสวรรค์นี้.”

เสียงดนตรีทิพย์แห่งนางอัปสร ซึ่งฟังเหมาะเจาะเข้ากับการสนทนาที่ปราศจากปากพูดนี้จริงๆ เป็นเสียงที่คอยผะสานรับให้เข้ากับจังหวะสนทนาทุกประโยค กระทำให้การไต่ถามและตอบมีความหมายเข้าใจได้ลึกซึ้ง: อันวาจาสามัญมิสามารถจะทำได้. เป็นเหตุให้กามนิตนึกสาวถึงความหลังได้เงาๆ แต่ก็ไม่สามารถจะระลึกได้ตลอดอยู่ที่, ได้หยุดนึกไปครู่หนึ่ง แล้วก็นึกพูดว่า “สิ่งที่น่าพิศวงยิ่งใหญ่คือสิ่งไหน? ข้าพเจ้าคิดว่าบรรดาสิ่งน่าพิศวงทั้งหมดซึ่งมีอยู่ที่นี่ อะไรน่าพิศวงที่สุดเท่ากระแสลำธารอันงามที่ไหลลงสู่สระของเรานี้.”

เทพบุตรเครื่องน้ำเงิน - “คงคาสวรรค์.”

กามนิตนึกพูดคล้อยตามคล้ายความฝันว่า “คงคาสวรรค์,” แล้วเหมือนจะนึกถึงความหลังขึ้นได้, แต่แล้วเค้าเงื่อนก็กลับหายไปหมดนึกไม่ออก. เสียงดนตรีทำให้ซาบซึ้งคล้ายๆ จะนึกได้, แต่แล้วก็เลือนๆ ไป.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ