สามสิบเก้า ความมืดแห่งโลกานุโลก

อยู่มากาลหนึ่ง กามนิตบังเกิดความรู้สึกรำคาญใจ เพราะความคว้างเคว้งว่างเปล่าไม่มีอะไรทำ. ความคิดก็หวนไประลึกเองถึงท้าวมหาพรหม ซึ่งเป็นมูลแห่งบรรดาความบริบูรณ. ความรู้สึกนี้ไม่ได้เป็นขึ้นชั่วขณะหนึ่ง แล้วหายไป, แต่ว่าคงทวียิ่งขึ้นจนกาลได้ล่วงไปแล้ว โดยลำดับนับได้หลายอสงไขยกัลป์.

สมควรที่กามนิตจะรู้สึกต่อความเป็นอยู่ในพรหมโลกคงที่เรื่อยเสมอไป เสมือนกระแสอันไหลเจื้อยไม่ขาดสาย, ก็กลับมากะทบกึก ประหนึ่งลำธารนั้นเกิดเกาะผุดขึ้นกลางน้ำ กระทำให้กระแสไหลมาปะทะขาดตอน, สะดุดใจเห็นเค้าเงื่อนเป็นอดีตและอนาคตคือเบื้องต้นและเบื้องปลายในกาละแห่งพรหมโลก ซึ่งเดิมเข้าใจว่าเป็นอนันตกาลหาเขตต์ต้นปลายมิได้. แล้วกามนิตดูเหมือนจะแลเห็นท้าวมหาพรหมในบัดนี้ ไม่ส่งรัศมีรุ่งเรืองเหมือนแต่ก่อน.

กามนิตสังเกตดูท้าวมหาพรหมมาเป็นเวลาได้เก้าโกฏิปี เห็นว่าความเป็นอยู่แห่งท้าวมหาพรหมจะคงที่ก็หาไม่, จึ่งหันไปจะบอกวาสิฏฐี, ก็เห็นวาสิฏฐีสังเกตเพ่งดูท้าวมหาพรหมอยู่ทำนองเดียวกัน. กามนิตให้หวั่นใจ และเกิดความรู้สึก มีความตรึกนึกเป็นวจีสังขาร แล้วก็เกิดอาการกล่าววาจาออกมาได้, จึ่งพูดว่า “วาสิฏฐี, หล่อนก็สังเกตเห็นด้วยหรือ นี่ท้าวมหาพรหมเกิดเป็นอะไรไป?”

ล่วงมาสี่โกฏิปี วาสิฏฐีย้อนถามว่า “ท้าวมหาพรหมเกิดเป็นอะไรไป ดูรัศมีมัวลงทุกที?”

ทันใดนั้นเป็นเวลาห้าโกฏิปี กามนิตจึ่งกล่าวรับว่า “ฉันก็เห็นเป็นเช่นนั้น”

ครั้นล่วงมาครู่หนึ่งราวพันล้านโกฏิปี กามนิตพูดขึ้นอิกว่า “ฉันดูเหมือนรัศมีท้าวมหาพรหมกลับรุ่งเรืองขึ้นอิก.”

ล่วงมาเจ็ดโกฏิปี วาสิฏฐีจึ่งได้ตอบว่า “รัศมีของท้าวมหาพรหมหาได้ทวีขึ้นไม่ กลับจะมัวลงทุกที.”

กามนิตจึ่งนิ่งอั้นอยู่ครู่หนึ่งซึ่งเป็นเวลาสองพันล้านโกฏิปี แล้วกล่าวว่า “ฉันสนเท่ห์ใจนักว่าที่เป็นอย่างนี้ จะหมายความว่าอย่างไร?”

วาสิฏฐีถอนหายใจอยู่เก้าแสนโกฏิปี, ตอบว่า “หมายความว่า รัศมีของท้าวมหาพรหมกำลังตกอยู่ในอันตรายที่จะหมดไปโดยไม่มีเพิ่มเติม.”

กามนิตตกตะลึงไปเจ็ดแสนโกฏิปี, ได้สติขึ้นมาค้านว่า “เป็นไปไม่ได้, วาสิฏฐี, เป็นไปไม่ได้. ถ้าเช่นนั้น, ความสว่างรุ่งเรืองที่มีอยู่ในพรหมโลกนี้ทั้งหมด จะเป็นอย่างไรต่อไป?”

วาสิฏฐีหวนนึกถึงความเก่าอยู่แปดพันโกฏิปี, ค่อย ๆ เอ่ยคำละหมื่นปีว่า - “พระองค์คงจะทรงเห็นความจริงข้อนี้ จึงตรัสว่า -

“สูงลิ่วไปจนถึงความสว่าง อันล้ำเลิศแห่งสวรรค์ มีเกิดแล้วก็มีดับ.

จงรู้ไว้เถิดว่า ความเป็นไปในอนาคต นั้นแล ย่อมดับเสียจนกะทั่งรัศมีมหาพรหม.”

ล่วงมาเป็นเวลาอิกเล็กน้อย ราวสองสามพันโกฏิปี กามนิตถามด้วยอาการวิตกว่า “ใครเป็นผู้กล่าวคำอันน่ากลัว ทำลายความหวังของโลก นั้น?”

วาสิฏฐีตอบโดยเร็วในเวลาสามโกฏิปีว่า “ก็จะมีใครอิก นอกจากพระบรมศาสดาพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า?”

ครั้นแล้วกามนิตก็บังเกิดความตรึกนึกในคำตรัสของพระพุทธเจ้า และพิจารณาอยู่เป็นเวลาช้านานราวแปดแสนโกฏิปี, ก็ระลึกถึงเรื่องต่างๆ ได้หลายอย่าง, จึ่งพูดว่า -

“วาสิฏฐี, ครั้งหนึ่ง เมื่อเรายังอยู่ในสวรรค์สุขาวดี, หล่อนได้นำพระพุทธวจนะข้อหนึ่งมากล่าวให้ฟัง. ความก็สมจริงดั่งที่ตรัสไว้, และเราก็ได้เห็นอยู่กับตาเราเอง, และฉันยังจำได้ทุกประการ ซึ่งคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่หล่อนนำเอามาเล่า. แต่ก็ไม่ปรากฏว่า หล่อนได้นำประโยคอันมีข้อความทำลายความหวังของโลกนี้ มากล่าวไว้ด้วยนี่หล่อน ได้ยินคำตรัสของพระพุทธเจ้ามากกว่าที่ได้เล่ามาแล้วหรือ?”

สักเจ็ดสิบห้าโกฏิปี วาสิฏฐีตอบว่า “มากทีเดียว เพราะฉันได้ไปเฝ้าพระพุทธองค์ทุกวันเป็นเวลากว่าครึ่งปีมนุษย์ ย่อมได้ยินได้ฟังจนกะทั่งคำตรัสของพระองค์ในครั้งสุดท้าย”

กามนิตจ้องมองดูวาสิฏฐีด้วยความประหลาดใจและด้วยความเคารพอยู่สองแสนโกฏิปีแล้วกล่าวว่า -

“ถ้าเช่นนั้น และเพราะเหตุนี้เอง ที่ฉันเชื่อว่าหล่อนเป็นผู้มีปัญญาความรู้สูงสุดยิ่งกว่าใคร ๆ ในพรหมโลกนี้. เพราะดาวเทพที่อยู่รอบตัวเรา มีแสงหลัว ๆ ลง, แม้แต่ท้าวมหาพรหมเองก็มีรัศมีออกจะด้าน ๆ ไป. เป็นลักษณะให้เห็นว่าสิ่งทั้งปวงก็จะต้องถึงแก่ความเสื่อมทำลายไป. ฉันเชื่อแล้วว่าที่หล่อนกล่าวเป็นอันถูกต้องแท้. โปรดเล่าเรื่องพระพุทธเจ้าที่หล่อนยังจำได้ เพื่อฉันจะได้รู้แจ้งความจริง บังเกิดจิตตญาณเป็นปกติแน่วแน่เหมือนหล่อน. หล่อนได้เล่าถึงเรื่ององคุลิมาลได้บรรพชาเป็นภิกษุ, แต่เรื่องที่องคุลิมาลไปหาฉันถึงอุชเชนี เพราะอะไร ฉันยังไม่ทราบ. ที่องคุลิมาลไปปรากฏตนให้เห็นในกรุงอุชเชนีครั้งกระนั้น เป็นเหตุให้ฉันถือเอาซึ่งสัญจาริกแสวงการบุณย์ ไม่ตกไปในทางผิด จนได้ขึ้นไปเกิดอยู่ในสวรรค์สุขาวดี. และอาศัยความช่วยเหลือของหล่อน จึ่งได้ขึ้นมาอยู่บนพิภพชั้นสูงสุด เสวยความสุขในความเป็นมเหสักขเทพนับเวลาได้หลายอสงไขยกัลป์. ฉันมีสังหรณ์อยู่ว่าที่ฉันสละเคหะสถานถือเอาพรตสัญจาริก ก็คงเพราะหล่อนเป็นต้นเหตุ, เพราะฉะนั้น จึ่งอยากรู้ความจริงในเรื่องนี้นัก. และเพราะเหตุไฉนหล่อนเองเป็นผู้ที่ช่วยฉันให้ขึ้นอยู่บนสวรรค์สุขาวดีและตัวหล่อนก็ขึ้นมาอยู่ด้วย, จึ่งไม่ได้ไปสู่สวรรค์ชั้นที่สูงไปกว่านั้น?”

เพียงแปดแสนโกฏิปี วาสิฏฐีก็เล่าเรื่องเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์อยู่ ต่อไปดั่งนี้-

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ