- คำนำ
- ภาคหนึ่ง บนดิน
- หนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จกลับเบญจคีรีนคร
- สอง พบ
- สาม สู่ฝั่งแม่คงคา
- สี่ สาวน้อยผู้เดาะคลี
- ห้า รูปวิเศษ
- หก บนลานอโศก
- เจ็ด ในหุบเขา
- แปด ดอกฟ้า
- เก้า ใต้ดาวโจร
- สิบ รหัสยลัทธิ
- สิบเอ็ด งวงช้าง
- สิบสอง ที่ฝังศพของวาชศรพ
- สิบสาม เพื่อนบุณย์
- สิบสี่ ผู้เป็นสามี
- สิบห้า ภิกษุโล้น
- สิบหก เตรียมรับมือ
- สิบเจ็ด สู่ความเป็นผู้ละบ้านเรือน
- สิบแปด ในห้องโถงช่างปั้นหม้อ
- สิบเก้า พระศาสดา
- ยี่สิบ เด็กดื้อ
- ยี่สิบเอ็ด ในท่ามกลางความเป็นไป
- ภาคสอง - บนสวรรค์
- ยี่สิบสอง ภูมิสุขาวดี
- ยี่สิบสาม การต้อนรับแห่งชาวสวรรค์
- ยี่สิบสี่ ต้นปาริชาต
- ยี่สิบห้า บัวบาน
- ยี่สิบหก สร้อยแก้วตาเสือ
- ยี่สิบเจ็ด สัจจกิริยา
- ยี่สิบแปด บนฝั่งคงคาสวรรค์
- ยี่สิบเก้า ท่ามกลางกลิ่นหอมแห่งดอกปาริชาต
- สามสิบ มีเกิดก็มีตาย
- สามสิบเอ็ด ปิศาจที่บนลาน
- สามสิบสอง สาตาเคียร
- สามสิบสาม องคุลีมาล
- สามสิบสี่ นรกหอก
- สามสิบห้า การบูชาอันบริศุทธิ์
- สามสิบหก พระพุทธและพระกฤษณ
- สามสิบเจ็ด ดอกฟ้าเหี่ยว
- สามสิบแปด พรหมโลก
- สามสิบเก้า ความมืดแห่งโลกานุโลก
- สี่สิบ ในสุมทุมพุ่มไม้พระกฤษณ์
- สี่สิบเอ็ด โอวาทอย่างง่ายๆ
- สี่สิบสอง ภิกษุณีอาพาธ
- สี่สิบสาม มหาปรินิพพาน
- สี่สิบสี่ พินัยกรรมวาสิฏฐี
- สี่สิบห้า กลางคืนและรุ่งเช้าในสกลจักรวาล
สามสิบเก้า ความมืดแห่งโลกานุโลก
อยู่มากาลหนึ่ง กามนิตบังเกิดความรู้สึกรำคาญใจ เพราะความคว้างเคว้งว่างเปล่าไม่มีอะไรทำ. ความคิดก็หวนไประลึกเองถึงท้าวมหาพรหม ซึ่งเป็นมูลแห่งบรรดาความบริบูรณ. ความรู้สึกนี้ไม่ได้เป็นขึ้นชั่วขณะหนึ่ง แล้วหายไป, แต่ว่าคงทวียิ่งขึ้นจนกาลได้ล่วงไปแล้ว โดยลำดับนับได้หลายอสงไขยกัลป์.
สมควรที่กามนิตจะรู้สึกต่อความเป็นอยู่ในพรหมโลกคงที่เรื่อยเสมอไป เสมือนกระแสอันไหลเจื้อยไม่ขาดสาย, ก็กลับมากะทบกึก ประหนึ่งลำธารนั้นเกิดเกาะผุดขึ้นกลางน้ำ กระทำให้กระแสไหลมาปะทะขาดตอน, สะดุดใจเห็นเค้าเงื่อนเป็นอดีตและอนาคตคือเบื้องต้นและเบื้องปลายในกาละแห่งพรหมโลก ซึ่งเดิมเข้าใจว่าเป็นอนันตกาลหาเขตต์ต้นปลายมิได้. แล้วกามนิตดูเหมือนจะแลเห็นท้าวมหาพรหมในบัดนี้ ไม่ส่งรัศมีรุ่งเรืองเหมือนแต่ก่อน.
กามนิตสังเกตดูท้าวมหาพรหมมาเป็นเวลาได้เก้าโกฏิปี เห็นว่าความเป็นอยู่แห่งท้าวมหาพรหมจะคงที่ก็หาไม่, จึ่งหันไปจะบอกวาสิฏฐี, ก็เห็นวาสิฏฐีสังเกตเพ่งดูท้าวมหาพรหมอยู่ทำนองเดียวกัน. กามนิตให้หวั่นใจ และเกิดความรู้สึก มีความตรึกนึกเป็นวจีสังขาร แล้วก็เกิดอาการกล่าววาจาออกมาได้, จึ่งพูดว่า “วาสิฏฐี, หล่อนก็สังเกตเห็นด้วยหรือ นี่ท้าวมหาพรหมเกิดเป็นอะไรไป?”
ล่วงมาสี่โกฏิปี วาสิฏฐีย้อนถามว่า “ท้าวมหาพรหมเกิดเป็นอะไรไป ดูรัศมีมัวลงทุกที?”
ทันใดนั้นเป็นเวลาห้าโกฏิปี กามนิตจึ่งกล่าวรับว่า “ฉันก็เห็นเป็นเช่นนั้น”
ครั้นล่วงมาครู่หนึ่งราวพันล้านโกฏิปี กามนิตพูดขึ้นอิกว่า “ฉันดูเหมือนรัศมีท้าวมหาพรหมกลับรุ่งเรืองขึ้นอิก.”
ล่วงมาเจ็ดโกฏิปี วาสิฏฐีจึ่งได้ตอบว่า “รัศมีของท้าวมหาพรหมหาได้ทวีขึ้นไม่ กลับจะมัวลงทุกที.”
กามนิตจึ่งนิ่งอั้นอยู่ครู่หนึ่งซึ่งเป็นเวลาสองพันล้านโกฏิปี แล้วกล่าวว่า “ฉันสนเท่ห์ใจนักว่าที่เป็นอย่างนี้ จะหมายความว่าอย่างไร?”
วาสิฏฐีถอนหายใจอยู่เก้าแสนโกฏิปี, ตอบว่า “หมายความว่า รัศมีของท้าวมหาพรหมกำลังตกอยู่ในอันตรายที่จะหมดไปโดยไม่มีเพิ่มเติม.”
กามนิตตกตะลึงไปเจ็ดแสนโกฏิปี, ได้สติขึ้นมาค้านว่า “เป็นไปไม่ได้, วาสิฏฐี, เป็นไปไม่ได้. ถ้าเช่นนั้น, ความสว่างรุ่งเรืองที่มีอยู่ในพรหมโลกนี้ทั้งหมด จะเป็นอย่างไรต่อไป?”
วาสิฏฐีหวนนึกถึงความเก่าอยู่แปดพันโกฏิปี, ค่อย ๆ เอ่ยคำละหมื่นปีว่า - “พระองค์คงจะทรงเห็นความจริงข้อนี้ จึงตรัสว่า -
“สูงลิ่วไปจนถึงความสว่าง อันล้ำเลิศแห่งสวรรค์ มีเกิดแล้วก็มีดับ.
จงรู้ไว้เถิดว่า ความเป็นไปในอนาคต นั้นแล ย่อมดับเสียจนกะทั่งรัศมีมหาพรหม.”
ล่วงมาเป็นเวลาอิกเล็กน้อย ราวสองสามพันโกฏิปี กามนิตถามด้วยอาการวิตกว่า “ใครเป็นผู้กล่าวคำอันน่ากลัว ทำลายความหวังของโลก นั้น?”
วาสิฏฐีตอบโดยเร็วในเวลาสามโกฏิปีว่า “ก็จะมีใครอิก นอกจากพระบรมศาสดาพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า?”
ครั้นแล้วกามนิตก็บังเกิดความตรึกนึกในคำตรัสของพระพุทธเจ้า และพิจารณาอยู่เป็นเวลาช้านานราวแปดแสนโกฏิปี, ก็ระลึกถึงเรื่องต่างๆ ได้หลายอย่าง, จึ่งพูดว่า -
“วาสิฏฐี, ครั้งหนึ่ง เมื่อเรายังอยู่ในสวรรค์สุขาวดี, หล่อนได้นำพระพุทธวจนะข้อหนึ่งมากล่าวให้ฟัง. ความก็สมจริงดั่งที่ตรัสไว้, และเราก็ได้เห็นอยู่กับตาเราเอง, และฉันยังจำได้ทุกประการ ซึ่งคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่หล่อนนำเอามาเล่า. แต่ก็ไม่ปรากฏว่า หล่อนได้นำประโยคอันมีข้อความทำลายความหวังของโลกนี้ มากล่าวไว้ด้วยนี่หล่อน ได้ยินคำตรัสของพระพุทธเจ้ามากกว่าที่ได้เล่ามาแล้วหรือ?”
สักเจ็ดสิบห้าโกฏิปี วาสิฏฐีตอบว่า “มากทีเดียว เพราะฉันได้ไปเฝ้าพระพุทธองค์ทุกวันเป็นเวลากว่าครึ่งปีมนุษย์ ย่อมได้ยินได้ฟังจนกะทั่งคำตรัสของพระองค์ในครั้งสุดท้าย”
กามนิตจ้องมองดูวาสิฏฐีด้วยความประหลาดใจและด้วยความเคารพอยู่สองแสนโกฏิปีแล้วกล่าวว่า -
“ถ้าเช่นนั้น และเพราะเหตุนี้เอง ที่ฉันเชื่อว่าหล่อนเป็นผู้มีปัญญาความรู้สูงสุดยิ่งกว่าใคร ๆ ในพรหมโลกนี้. เพราะดาวเทพที่อยู่รอบตัวเรา มีแสงหลัว ๆ ลง, แม้แต่ท้าวมหาพรหมเองก็มีรัศมีออกจะด้าน ๆ ไป. เป็นลักษณะให้เห็นว่าสิ่งทั้งปวงก็จะต้องถึงแก่ความเสื่อมทำลายไป. ฉันเชื่อแล้วว่าที่หล่อนกล่าวเป็นอันถูกต้องแท้. โปรดเล่าเรื่องพระพุทธเจ้าที่หล่อนยังจำได้ เพื่อฉันจะได้รู้แจ้งความจริง บังเกิดจิตตญาณเป็นปกติแน่วแน่เหมือนหล่อน. หล่อนได้เล่าถึงเรื่ององคุลิมาลได้บรรพชาเป็นภิกษุ, แต่เรื่องที่องคุลิมาลไปหาฉันถึงอุชเชนี เพราะอะไร ฉันยังไม่ทราบ. ที่องคุลิมาลไปปรากฏตนให้เห็นในกรุงอุชเชนีครั้งกระนั้น เป็นเหตุให้ฉันถือเอาซึ่งสัญจาริกแสวงการบุณย์ ไม่ตกไปในทางผิด จนได้ขึ้นไปเกิดอยู่ในสวรรค์สุขาวดี. และอาศัยความช่วยเหลือของหล่อน จึ่งได้ขึ้นมาอยู่บนพิภพชั้นสูงสุด เสวยความสุขในความเป็นมเหสักขเทพนับเวลาได้หลายอสงไขยกัลป์. ฉันมีสังหรณ์อยู่ว่าที่ฉันสละเคหะสถานถือเอาพรตสัญจาริก ก็คงเพราะหล่อนเป็นต้นเหตุ, เพราะฉะนั้น จึ่งอยากรู้ความจริงในเรื่องนี้นัก. และเพราะเหตุไฉนหล่อนเองเป็นผู้ที่ช่วยฉันให้ขึ้นอยู่บนสวรรค์สุขาวดีและตัวหล่อนก็ขึ้นมาอยู่ด้วย, จึ่งไม่ได้ไปสู่สวรรค์ชั้นที่สูงไปกว่านั้น?”
เพียงแปดแสนโกฏิปี วาสิฏฐีก็เล่าเรื่องเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์อยู่ ต่อไปดั่งนี้-