- คำนำ
- ภาคหนึ่ง บนดิน
- หนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จกลับเบญจคีรีนคร
- สอง พบ
- สาม สู่ฝั่งแม่คงคา
- สี่ สาวน้อยผู้เดาะคลี
- ห้า รูปวิเศษ
- หก บนลานอโศก
- เจ็ด ในหุบเขา
- แปด ดอกฟ้า
- เก้า ใต้ดาวโจร
- สิบ รหัสยลัทธิ
- สิบเอ็ด งวงช้าง
- สิบสอง ที่ฝังศพของวาชศรพ
- สิบสาม เพื่อนบุณย์
- สิบสี่ ผู้เป็นสามี
- สิบห้า ภิกษุโล้น
- สิบหก เตรียมรับมือ
- สิบเจ็ด สู่ความเป็นผู้ละบ้านเรือน
- สิบแปด ในห้องโถงช่างปั้นหม้อ
- สิบเก้า พระศาสดา
- ยี่สิบ เด็กดื้อ
- ยี่สิบเอ็ด ในท่ามกลางความเป็นไป
- ภาคสอง - บนสวรรค์
- ยี่สิบสอง ภูมิสุขาวดี
- ยี่สิบสาม การต้อนรับแห่งชาวสวรรค์
- ยี่สิบสี่ ต้นปาริชาต
- ยี่สิบห้า บัวบาน
- ยี่สิบหก สร้อยแก้วตาเสือ
- ยี่สิบเจ็ด สัจจกิริยา
- ยี่สิบแปด บนฝั่งคงคาสวรรค์
- ยี่สิบเก้า ท่ามกลางกลิ่นหอมแห่งดอกปาริชาต
- สามสิบ มีเกิดก็มีตาย
- สามสิบเอ็ด ปิศาจที่บนลาน
- สามสิบสอง สาตาเคียร
- สามสิบสาม องคุลีมาล
- สามสิบสี่ นรกหอก
- สามสิบห้า การบูชาอันบริศุทธิ์
- สามสิบหก พระพุทธและพระกฤษณ
- สามสิบเจ็ด ดอกฟ้าเหี่ยว
- สามสิบแปด พรหมโลก
- สามสิบเก้า ความมืดแห่งโลกานุโลก
- สี่สิบ ในสุมทุมพุ่มไม้พระกฤษณ์
- สี่สิบเอ็ด โอวาทอย่างง่ายๆ
- สี่สิบสอง ภิกษุณีอาพาธ
- สี่สิบสาม มหาปรินิพพาน
- สี่สิบสี่ พินัยกรรมวาสิฏฐี
- สี่สิบห้า กลางคืนและรุ่งเช้าในสกลจักรวาล
สิบเจ็ด สู่ความเป็นผู้ละบ้านเรือน
ดูก่อนภราดา, เมื่อได้วางยามไว้เรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้ากลับเข้าไปในบ้านอีก. แต่ว่ารู้สึกเงียบเหงาอย่างไรพูดไม่ถูก, จะเป็นเพราะข้าพเจ้าไม่ได้ยินเสียงภริยา, ข้อนี้ก็ทำให้เงียบได้อยู่. แต่ไม่ใช่เท่านั้น, เสียงภริยาอย่างที่เถียงกันเมื่อออกประตูใหญ่ไปจนไกลก็ได้ยิน คงจะไม่ได้ยินอีกที่ในบ้าน ซึ่งตามเคยต่างตะเบ็งกันสุดแรกเกิด จนฟังไม่ได้ศัพท์. เสียงเหล่านี้ เมื่อไม่มีแล้ว ย่อมทำให้บ้านเงียบเชียบสบายจริง ๆ ผิดประหลาดแทบไม่เชื่อว่ามีการเงียบได้ถึงเพียงนั้น.
ขณะที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ที่นั้น พิจารณาดูคฤหาสน์โอฬารแวดล้อมด้วยหมู่ไม้ ซึ่งกะระยะจัดแต่งไว้งดงาม รู้สึกว่าสำราญตายิ่งขึ้นกว่าก่อน. ครั้นหวนคิดถึงความงามเหล่านี้ว่า จะต้องถูกมือโจรอำมหิตทำลายให้พินาศลงก็ให้ใจหายเหี่ยวลงทันที. ความกลัวในเรื่องชีวิตจะตาย ดูก็เฉยๆ แต่มานึกรันทดเสียดายอาลัยต้นไม้ที่ปลูกไว้เป็นทิวแถว มีผู้คอยระวังถนอม จะถูกพวกโจรฟันยับเยินลง; เสาศิลาอ่อนที่สลักเสลาด้วยฝีมือศิลปกรวิเศษก็จะพลันทลายลง, ตัวคฤหาสน์ที่ข้าพเจ้าต้องใช้เวลาและความคิดประดิษฐ์สร้างอย่างบรรจงละเอียดลออไม่น้อยเลย และเมื่อสร้างสำเร็จได้ข้าพเจ้าแสนปลื้มใจเป็นที่สุดแล้ว: สิ่งเหล่านี้ พอแสงทองส่องในวันรุ่งขึ้นก็จะเห็นเป็นเท่าถ่านไปหมด ตามที่ข้าพเจ้ารู้อยู่ได้ดี ๆ ว่าซากที่องคุลิมาลเคยทิ้งไว้ทุกราย มีลักษณะเป็นประการไร.
ในเวลาตอนนี้ไม่มีอะไรทำ นอกจากจะรอคอยมัจจุราชที่สอง; แต่ยังอีกหลายชั่วโมงจึ่งจะถึงเที่ยงคืน.
ข้าพเจ้ามีความเป็นอยู่ในเรื่องสาละวนด้วยกิจการค้าขายแล้วก็หาความสนุกรื่นเริงผลัดเปลี่ยนเวียนกันไปสองประการนี้ไม่มีหยุดตลอดเรื่อยมา หรือมิฉะนั้นก็ทำหน้าที่ตระลาการวินิจฉัยไกล่เกลี่ยแม่โจทก์จำเลยของข้าพเจ้าคู่เดียวก่อคดีขึ้นไม่มีเว้นแต่ละวัน. จึ่งหาเวลาสงบนิ่งอยู่ตามลำพังไม่ได้. ครั้นบัดนี้มานั่งขรึมอยู่คนเดียวไม่มีอะไรทำ ในห้องซึ่งด้านหนึ่งทะลุไปหอกลาง มีเสายันอยู่เรียงราย อีกด้านหนึ่งออกไปทางสวน. เวลานั้นสงบเงียบเสียยิ่งกว่าจะบอกว่าเงียบ. รู้สึกว่าในชั่วโมงต้น ๆ นี้ เป็นเวลาของข้าพเจ้าจริงๆ นับแต่เป็นเด็กมา, อารมณ์บริสุทธิ์ซึ่งไม่มีอะไรผูกพันแล้วก็พลันคิดถึงตนเป็นครั้งแรก: ระลึกดูถึงประวัติการต่างๆ ของตนที่เป็นมาแล้วแต่หนหลัง, ถ้ายิ่งพินิจดูเหมือนอย่างมีอีกคนหนึ่งมาเพ่งดูด้วยแล้ว, ก็รู้สึกว่าจะหาตอนไหนที่ควรเรียกว่าสุขแท้ไม่มีเลย.
ความคิดเหล่านี้หยุดชะงักขาดเป็นห้วง ๆ หลายหน เพราะต้องผลุดออกผลุดเข้าไปตรวจตามบริเวณบ้านและสวนให้ตลอด เพื่อให้แน่ใจว่าคนยังอยู่ยามระวังระไวมั่นคงดี. ขณะข้าพเจ้าออกไปในระวางเสาครั้งที่สามหรือที่สี่, ตาข้าพเจ้าซึ่งชำนาญในการสังเกต เพราะได้ฝึกมาแต่ครั้งเดิรทางไปค้ามาขายหลายคราว, มองดูดาวเห็นว่าอย่างช้าอีกครึ่งชั่วโมงก็จะถึงเที่ยงคืน. จึ่งรีบออกไปตรวจอีกครั้งหนึ่ง และตักเตือนคนใช้ให้คอยระวังให้จงดี, ส่วนตัวเองให้มีอาการพิทักพิพ่วน ลำคอตีบแห้งเพราะวิตกวิจารณ์, เมื่อเข้าไปในบ้านแล้ว คงนั่งนิ่งเหมือนเดิม, แต่จะคิดเรื่องอะไรไม่ออกเลย เพราะดูเหมือนมีอะไรมาจุกอกแน่น แทบจะหายไม่ออกเอาทีเดียว.
ข้าพเจ้ากระโดดพรวดออกไประวางเสา เพื่อสูดอากาศกลางคืนที่สดชื่นให้โล่งอก, พอออกไปถึงรู้สึกว่ามีลมโชยมาถูกแก้มอ่อนๆ. และไม่ช้าได้ยินนกกุ๊กร้อง เสียงก้องไปในความวิเวก, ในคราวเดียวกันนี้ได้กลิ่นดอกบัวในสระซึ่งแย้มกลีบบานกลางคืน ลมพามาฉิวๆส่งกลิ่นหอมชื่น. ข้าพเจ้าแหงนดูดาวว่าจะเป็นเวลาได้เท่าไรแล้ว, เห็นทางช้างเผือกสุกสว่างอ่อน ๆ อยู่ในช่องว่างระวางยอดต้นไม้ดำตะคุ่ม ๆ ผ่านเป็นลำธารไปในท้องอากาศซึ่งเป็นสีน้ำเงินแก่.
ข้าพเจ้าออกอุทานโดยไม่ได้ตั้งใจว่า “แม่คงคาในสวรรค์” และในบัดนั้นเอง รู้สึกเหมือนว่าความอัดอั้นตันอกค่อยเบาบางลงชั่วขณะหนึ่ง แล้วก็กลับเต็มตื้นตันใจจนน้ำไหลรินออกมาอุ่น ๆ. จริงอยู่เมื่อสองสามชั่วโมงแรกที่ล่วงมา, ได้ระลึกถึงประวัติการของตนแต่หนหลัง ตอนไหนไม่รัญจวนใจเท่าคิดถึงวาสิฏฐี และเรื่องความรักของตน ซึ่งมีขึ้นเพียงชั่วแล่นแท้ๆ แต่แล้วก็รู้สึกเหมือนว่าเป็นเรื่องที่ล่วงมานานไกล คล้ายกับความฝันอย่างบ้าๆ. ครั้นมาในบัดนี้ ข้าพเจ้าไม่ได้คิดถึงเรื่องเหล่านั้นทั้งหมดอีกต่อไปแล้ว. แต่มาเกิดญาณทรรศนะขึ้นอย่างหนึ่ง คือเมื่อคิดใคร่ครวญถึงเรื่องตนในอดีตและตนในปัจจุบัน ว่าเป็นคนเดียวกันหรือเปล่า, คิดแล้วก็ให้สะดุ้ง เห็นว่ามีลักษณะผิดกันไกลมาก, ครั้งอดีตกระโน้น ข้าพเจ้าไม่มีอะไร, นอกจากตนและความรัก. ก็สองอย่างนี้พึงแยกออกเสียจากกันเหลือแต่ตนไม่ได้เทียวหรือ? ครั้นมาในปัจจุบันนี้อะไรบ้างที่ข้าพเจ้าไม่มี! บุตรภริยาเอย, ช้างม้าวัวควายเอย, ข้าทาสบริวาร, แก้วแหวนเงินทอง, สวนสำหรับเที่ยวเล่น, บ้านงดงามมโหฬารซึ่งใครเห็นก็อิจฉาอยากได้เอย: สิ่งเหล่านี้ข้าพเจ้ามีอยู่บริบูรณ์แล้ว. แต่ทว่า ข้าพเจ้านั้นเป็นข้าพเจ้าอยู่ที่ไหน ขณะนี้ดูๆ ก็เหมือนผลไม้เน่า, เนื้อในแห้งหายไปหมด, ในที่สุดเหลือแต่เปลือกเปล่าเท่านั้น.
ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนตื่นขึ้นแล้วมองดูรอบ ๆ ตัว:
เห็นสวนเที่ยวเล่นงดงามกว้างใหญ่ เดียรดาษด้วยรุกขชาติ พุ่งยอดตะคุ่มๆ ขึ้นไปในท้องฟ้า ในเวลากลางคืน ซึ่งพราวพร่างด้วยดวงดาวนับไม่ถ้วน มีทางช้างเผือกผ่านขาวไป, เห็นศาลาอันสง่างามมีตะเกียงศิลาขาวจุดสว่างทุกระวางเสา. สิ่งเหล่านี้ ข้าพเจ้ากลับรู้สึกเป็นความเห็นอย่างใหม่ขึ้นทันที ว่าเป็นของงามน่ารักน่าใคร่ แต่ทว่าเป็นเหมือนหนึ่งศัตรูหน้าเนื้อที่คอยบั่นทอนความสุขด้วยใจเสือ มิให้มีความสงบสุขได้. เป็นดั่งมารเวตาลแต่มีรูปรุ่งเรืองงดงาม สูบเลือดหัวใจข้าพเจ้าไปเกือบหมดแล้ว, และบัดนี้กำลังกระหายจะสูบเอาเลือดหยดสุดท้าย ซึ่งถ้าได้สูบเอาไปแล้ว ก็คงเหลืออยู่แต่ซากเหี่ยวแห้งของร่างมนุษย์ที่มีรูปไม่สมประกอบเท่านั้น.
มีเสียงอย่างหนึ่งได้ยินมาแต่ไกล จะเป็นเสียงอะไรไม่ทราบ แต่เข้าใจเอาว่าเป็นเสียงฝีเท้าเดิรมาหรือเป็นเสียงพูดพึมพัม. ข้าพเจ้าสะดุ้งเหยง, ถอดดาบปร๊าดออกจากฝัก, กระโดดลงบันไดไปสองสามก้าวและยืนนิ่งคอยฟัง: โจรหรือ? เห็นจะไม่ใช่. เงียบสงัดเสียทุกสิ่งทุกอย่าง, เงียบสงัดจริงๆ. มองจ้องไปดูทั้งใกล้และไกล, ไม่เห็นมีอะไรเคลื่อนไหว. ทั้งนี้คงเป็นเสียงลึกลับ ที่มักปรากฏได้ยินในเวลากลางดึกสงัด – เสียงซึ่งเมื่อครั้งข้าพเจ้าคุมเกวียน ไปหยุดพักอยู่กลางป่า – เคยทำให้สะดุ้งตกใจ. พิจารณาดูสิ่งภายนอกตัว ก็ไม่เห็นมีอะไร. แต่ว่าภายในตัวข้าพเจ้าเล่า มีอะไรบ้าง? ข้าพเจ้าในขณะนี้หายตกอกตกใจหวั่นหวาดแล้ว, ไม่ใช่กล้าเพราะจำเป็นต้องกล้าด้วยหนีไม่พ้น หามิได้, กลับจะมีความยินดีเสียด้วยซ้ำ.
“เชิญเข้ามาเถิด, พวกโจร! มาเร็วๆ เข้า, องคุลิมาล! เผาผลาญให้ราบลงเป็นเถ้าถ่านเถิด. เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นศัตรูร้ายกาจที่สุดต่อข้า ที่พวกเจ้าควรทำลาย. มิฉะนั้น, มันก็จะทำลายข้าเอง. เอาไปเสียเถิด, เชิญเถิด. ถึงร่างกายก็ได้ เชิญเอาดาบฟันเสียเถิด เพราะมันเป็นศัตรูร้ายต่อข้าเอง, เป็นร่างกายที่หมกมุ่นมัวเมาอยู่แต่กามารณ์และความโลภไม่มีที่สุด, เป็นสิ่งอันควรสลดใจยิ่งที่ข้ามีอยู่: ควรตัดมันให้ขาดจากตนข้าไป. เชิญเถิด, พวกโจร! ผู้เป็นมิตรสหายเก่า!”
เวลาคงไม่นานละ เพราะบัดนี้ล่วงสองยามแล้ว. ยินดีคอยท่าจะรับหน้าด้วย. องคุลิมาลคงตรงมาหาตัวข้าพเจ้า. ดีแล้ว! อยากจะรู้อยู่ว่า ครั้งนี้มันจะสามารถตีดาบให้หลุดจากมือข้าพเจ้าได้อีกได้หรือไม่. ถ้าข้าพเจ้าได้แทงมันทะลุตลอดหัวใจ, ถึงจะตายไปก็ยินดี. เพราะมันเองผู้เดียวเท่านั้น ที่ทำความเดือดร้อนทั้งหลายแหล่ ให้มีขึ้นแก่ข้าพเจ้า.
“เวลาคงไม่นานละหนา” ข้าพเจ้าภาวนาคำนี้อยู่บ่อยๆ เพื่อชะลอใจให้ชื้นไว้ ในขณะที่เวลาใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาในคืนนั้น.
กราว! มาละกระมัง? ไม่ใช่, เป็นเสียงลมพัดยอดไม้ แล้วค่อยเลือนหายไกลออกไป, แล้วก็เกิดมีขึ้นอีก. เป็นเสียงคล้ายสัตว์อะไรมีขนปุกปุยลุกขึ้นสลัดตัวอย่างนี้หลายครั้งหลายหน, แต่ครั้งหนึ่งได้ยินเสียงแหลมเป็นนกร้อง.
เสียงเหล่านี้แสดงว่าจวนใกล้สว่างอย่างนั้นหรือ?
รู้สึกหนาวกลัว นี่จะต้องเสียใจเพราะไม่ได้เป็นไปตามที่หวังไว้หรือ? นึกแล้วสะท้าน, กลัวว่าพวกโจรจะไม่มา. จวนจะสมปรารถนาอยู่แล้ว คือจะได้สู้รบตบมือ แล้วก็ตายไป. นี่ตกลงจะให้คงสืบชีวิตสารทุกข์ต่อไปหรือ? รุ่งเช้าขึ้นจะต้องมีความเป็นไปร้ายกาจเหมือนเดิมอีกหรือ? จะไม่มาช่วยให้พ้นทุกข์พ้นร้อนหรืออย่างไร? นี่ก็ถึงเวลาเหมาะอยู่แล้ว. หรือว่า เรื่องทั้งหลายเป็นเพราะข้าพเจ้าตาฝาด เห็นนักบวชตนนั้นเป็นองคุลิมาลไป? ถามตนเองอย่างนี้ก็หลายกลับ. จะว่าตาฝาดวิปลาสไปเองก็ดูกระไรอยู่. แต่ว่าถ้าเป็นองคุลิมาลจริง, ก็คงต้องมา. ถ้าไม่มีความประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว, ทำไมจึงแปลงตัวมาที่บ้าน, แล้วทำไมหายตัวไปอย่างสนิทคล้ายธรณีสูบ? ทั้งได้ให้ใครต่อใครไปสืบสวนแล้วไม่ได้ความว่าองคุลิมาลไปบิณฑบาตที่บ้านไหนเลย.
เสียงไก่ขัน ปลุกข้าพเจ้าตื่นจากภวังค์. ดวงดาวที่คอยมองดูหาเวลา บัดนี้ค่อยเลื่อนหายลับไปทางยอดไม้ก็หลายดวงแล้ว. ดาวหมู่อื่นนอกจากที่อยู่สูงในท้องฟ้า ก็มีแสงสลัวไปหมด. เป็นอันไม่มีข้อสงสัยอีกต่อไป ว่าย่างเข้าปัจจุสมัย. เรื่องที่องคุลิมาลจะยกมาปล้นเป็นอันมีไม่ได้แล้ว.
แต่เรื่องแปลกๆทั้งหมด ที่เกิดขึ้นในความรู้สึกในคืนนั้น ไม่มีอะไรจะประหลาดเท่าที่จะเป็นต่อไปในบัดนี้ : คือ เมื่อเห็นว่าไม่มีอันตรายมาสู่ตัวแน่แล้ว, ข้าพเจ้าก็หารู้สึกเสียใจตามที่คิดเสียดายไว้แต่แรกไม่, กลับมีความคิดใหม่เด็ดขาดขึ้นมาทันทีว่า “เมื่อเช่นนี้จะต้องพึ่งโจรเหล่านั้น เพราะเหตุอะไร?”
ข้าพเจ้ากระหายอยากให้พวกโจรถือไต้จุดคบกรูกันเข้ามา จะได้ปลดเปลื้องให้พ้นจากแบกภาระทรัพย์สมบัติอันมโหฬารนี้เสีย, แต่ไฉนจะต้องทำอย่างนี้? ผู้ยอมสละทรัพย์สมบัติโดยไม่ต้องให้ใครเขาสละให้แล้วถือเอาไม้เท้าออกสัญจรเป็นผู้จารึกแสวงหาบุณยกุศลก็มีอยู่แล้วไม่น้อย. เปรียบเหมือนนก ประสงค์จะผกโผไปสารทิศใด, ก็มีปีกอย่างเดียวเท่านั้นที่เอาไว้บิน มีเท่านี้ก็พอประโยชน์อยู่แล้ว, ฉันใดก็ดี. ผู้จารึกแสวงบุณย์ก็พึงพอใจอยู่แต่เครื่องนุ่งห่มเท่าที่ปกคลุมร่างกายไว้มิดชิดกันร้อนกันหนาว, แล้วมีภาชนะสำหรับภิกษาจารพอประทังชีวิตมิให้เกิดทุกขเวทนาหิวโหย. และข้าพเจ้ายังได้ยินเขาชมชีวิตด้วยการจารึกแสวงบุณย์ว่า “ความมีครอบครัว ก็คือที่คุมขัง. แต่สุญญาคาร (อากาศที่โล่งโปร่งจากบ้านเรือน) ย่อมเป็นภาคสถานของผู้จารึกแสวงบุณย์.”
ข้าพเจ้าคิดขอให้พวกโจรเอาดาบมาฟันร่างกายนี้เสีย, ตัวทุกข์จะได้แตกขาดไป. แต่ร่างกายนี้สลายเป็นธุลีไปแล้ว, ก็จะมีเหตุปรุงแต่งให้เป็นรูปขึ้นใหม่, จากร่างเก่าเกิดเป็นร่างใหม่ สืบสันตติติดต่อกันไป. ก็ที่จะออกจากข้าพเจ้าไป จะเป็นชีวิตชนิดไรหนอ? จริงอยู่ข้าพเจ้าและวาสิฏฐีได้กระทำสัตย์ปฏิญญากันไว้, ฉะเพาะแม่คงคาในสวรรค์ซึ่งมีน้ำดั่งเงินยวงไหลลงไปสู่สระบัวในเขตสวรรค์ทางทิศตะวันตก, ว่าเราทั้งสองจะได้พบกันในแดนสุขาวดีโน้น. และด้วยคำปัฏิญญานี้ วาสิฏฐีบอกว่าเราต่างมีดอกไม้ทิพย์ตูมแห่งชีวิตอยู่ในน้ำอันใสปานแก้ว ณ ทะเลบนสวรรค์อันศักดิ์สิทธิ์. ถ้าบุคคลผู้จะบรรลุเป็นเจ้าของ มีใจบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว มีกุศลกรรมอันได้บำเพ็ญไว้ดีแล้ว, ทุกคราวไป ดอกไม้ทิพย์ตูมนั้นก็จะเจริญงามขึ้นเสมอ, ถ้าหากว่ามีความเป็นอยู่ไม่บริสุทธิ์เกลือกกลั้วด้วยบาปมลทิน, ดอกไม้นั้นจะเหี่ยวเศร้าประหนึ่งว่ามีกิมิชาติบ่อนในฉะนั้น. อนิจจา! ป่านฉะนี้ ดอกไม้ทิพย์ของข้าพเจ้าจะมิถูกบ่อนไส้ไปนานแล้วหรือ? เพราะข้าพเจ้าได้ตรวจดูความเป็นไปในชีวิตที่ล่วงแล้ว พบแต่สิ่งซึ่งเจริญในความมัวหมองทวีเป็นลำดับมา. ดั่งนี้จะมีผลดีได้อย่างไร, ถ้าจะได้ขึ้นไปบนนั้น?
แต่ตามที่ทราบกันอยู่ มีบุคคลบางท่านก่อนละชีวิตนี้ไป ได้ทำลายความมาเกิดในโลกนี้เสียเด็ดขาด และได้ถึงซึ่งความมีนิรันตสุขไม่กลับมาเกิดอีก. บุคคลเหล่านี้คือผู้ที่ละสิ่งโลกีย์ทั้งปวง แล้วถือเพศเป็นนักจารึกแสวงบุณย์.
ดั่งนี้ ไต้คบและดาบหอกของโจรจะมาทำประโยชน์อะไรแก่ข้าพเจ้าได้ ?
ข้าพเจ้า, ซึ่งในชั้นแรกวิตกตัวสั่นเพราะกลัวโจร และภายหลังอยากให้โจรมาใจจะขาด เพื่อความหวังตามที่คิดไว้. บัดนี้ไม่กลัวและไม่หวังได้ความช่วยเหลือจากโจร: พ้นจากความกลัวและความทะยานหวังดั่งนั้นทั้งสองประการแล้ว, ก็ให้รู้สึกเกษมศานติ์เป็นความสงบอย่างใหญ่. ความรู้สึกเกษมศานติ์อย่างนี้ เท่ากับได้ลิ้มรสนิรามิษสุขในขั้นต้นแห่งอวสานสมบัติของเหล่าผู้จารึกแสวงบุณย์. เพราะเมื่อข้าพเจ้าคอยต่อต้านโจรได้ฉันใด. นักจารึกแสวงบุณย์ย่อมต่อต้านบรรดาอำนาจในโลกนี้ อันเป็นปรปักษ์ได้ฉันนั้น. ทั้งสองฝ่าย ไม่มีความกลัว และไม่มีความหวังจากโจรหรืออำนาจเหล่านั้น, จึ่งมีแต่ศานติ เป็นสุขเพราะสงบจากอะไร ๆ ทั้งปวงหมด.
ข้าพเจ้า, ซึ่งเมื่อก่อนหน้ายี่สิบชั่วโมงที่ล่วงมานี้กลัวการออกเดิรทางแม้แต่ระยะสั้น ๆ เพราะขยาดต่อความลำบากและอาหารการกินของผู้คุมกองเกวียนเดิรทาง, บัดนี้ตกลงใจ โดยปราศจากความกลัวหรือความรวนเร ที่จะละบ้านเรือนถือเอาการเดิรทางไปตลอดชีวิตกว่าจะดับ และถือสันโดษพอความประสงค์ในสิ่งเท่าที่มีอยู่.
บังเกิดความเด็ดขาดลงไปดั่งนี้แล้ว, ข้าพเจ้าไม่ขอกลับเข้าในบ้านอีก เดิรตรงไปที่เพิงแห่งหนึ่งระวางสวนกับลานบ้าน อันเป็นที่ไว้เครื่องมือทุกชนิด, หยิบได้ปฏักอันหนึ่ง ตัดทางแหลมออกเสีย ใช้ต่างไม้เท้า, แล้วเอาน้ำเต้าแห้งอย่างที่ชาวสวนชาวนาใช้บรรรจุน้ำสะพายบ่า ไปกรอกน้ำในบ่อที่ลานบ้าน.
ขณะนั้น หัวหน้าคนใช้ซึ่งดูแลบ้านข้าพเจ้ากรากเข้ามาหา, พูดว่า “องคุลิมาลกับพวกเห็นจะไม่มาแล้ว.”
ข้าพเจ้า: “ไม่มา, โกลิต, เป็นไม่มาแน่ ป่านนี้แล้ว.”
หัวหน้าคนใช้: “ก็นี่นายทำท่าจะเดิรทางไปไหน?”
ข้าพเจ้า “ดั่งนั้น, โกลิต, จะออกเดิรทางไป. และด้วยเรื่องนี้ จึ่งอยากจะพูดกับเจ้า เพราะเราจะไปอย่างที่เขาเรียกกันว่าไปอย่างนกประเสริฐเดิรทางไกล. ในทางนี้แหละ, โกลิต, ผู้มีความเพียรพยายามจริง ๆ แล้ว ไม่กลับมาอีก; แม้ตายแล้วก็ไม่กลับมาโลกนี้อีก, ป่วยกล่าวไปใยถึงถึงเรื่องกลับมาบ้านนี้ในเมื่อมีชีวิตอยู่? บ้านนี้จะมอบให้เจ้ารักษา เพราะเจ้าเป็นผู้ซื่อสัตย์ภักดีจริงๆ ถึงยอมตายได้. เจ้าจงดูแลจัดการบ้านช่องและทรัพย์สมบัติ จนกว่าลูกชายข้าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่. เจ้าจงนำความรักของเรา ไปแสดงและอำลาบิดาและภริยาเราด้วย. ลาเจ้าก่อนละ.”
ข้าพเจ้าพูดแล้ว ก็ปลดมือออกจากโกลิต ซึ่งเขากำลังยกมือประคองเคารพและร้องไห้, แล้วเดิรออกไปทางประตูใหญ่, และเมื่อเหลือบเห็นเสาประตูก็คิดว่า “ถ้าที่ได้เห็นเป็นองคุลิมาล นั้น เป็นนิมิตแล้ว, ก็นับว่าได้ตีความในนิมิตนั้นถูกต้อง.”
ข้าพเจ้ารีบเดิรดุ่ม ๆ ไม่เหลียวหลัง ผ่านไปในระวางละแวกบ้าน, มองดูข้างหน้า ในเวลาฟ้าขาวจวนจะสว่าง เห็นถนนทางนอกเมืองดูว้าเหว่ ทอดยาวยืดไปไกลลิบลับ ดูประหนึ่งว่าจะไม่มีเขตสุดลงได้ฉะนั้น.
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ, ข้าพเจ้าถือเอาซึ่งเพศของอนาคาริกมุนีไม่มีอาคารสถานด้วยประการฉะนี้.