สิบหก เตรียมรับมือ

ข้าพเจ้าหน้ามืดแทบเป็นลม ต้องทรุดนั่งลงบนม้าใจปั่นป่วนด้วยความวิตกวิจารณ์ต่าง ๆ ขึ้นทันที: องคุลิมาลมาถึงที่นี่, ข้อนี้ไม่มีเหตุควรสงสัย. เหตุที่มา ข้าพเจ้าก็เห็นอยู่แจ่มแจ้ง, เพราะเรื่องผูกพยาบาทขององคุลิมาลได้ยินเขายืนยันกันมาหลายครั้งนัก ว่าถ้าลงได้พยาบาทแล้ว ต้องแก้แค้นให้จงได้. อีกอย่างหนึ่ง ข้าพเจ้านับว่าเป็นผู้เคราะห์ร้าย ที่ไปฆ่าเพื่อนรักเพื่อนใคร่ของมัน. ถึงข้าพเจ้าเคยอยู่กับพวกโจรอย่างสนิทสนมมาแล้วก็ตาม สัญชาติโจรจะไว้ให้ว่าเคยคบค้าสมาคมกันมาแล้วไม่ทำอันตรายนั้นเป็นอันไว้ใจไม่ได้เลย. ครั้งที่ตกไปเป็นชะเลยโจร องคุลิมาลฆ่าข้าพเจ้ายังไม่ได้ เพราะผิดกฎของโจรพวก “ผู้ส่ง” และจะทำให้มันเสียชื่อเสียงในระวางโจรอันลบล้างไม่หาย; เพราะฉะนั้น ในบัดนี้มันอุตส่าห์ลอบเดิรทางจากถิ่นไกล เข้ามาถึงเมืองนี้ก็คงต้องการมาแก้แค้นเป็นแน่. ที่ปลอมตัวเป็นนักบวชเข้ามา จะได้สืบสวนตรวจดูลู่ทางได้สบาย. อย่างไรเสียก็คงมารับมือกับข้าพเจ้าในคืนนี้. ถ้าหากมันจะจับกิริยาข้าพเจ้าได้ว่าจำตัวมันได้, มันก็คงไม่รอช้า; เพราะคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายปลายเดือนมืด. ถ้าช้าไปอีกคืนอันย่างเข้าข้างขึ้นของเดือนใหม่, ขืนเข้ามาทำร้ายก็เป็นการฝ่าฝืนกฎของโจร, และเจ้าแม่กาลีที่ดุร้ายชอบแต่เลือด ก็จะพิโรธบันดาลเหตุร้ายตกแก่มัน.

ข้าพเจ้าสั่งให้ผูกอานบังเหียนม้าตัวฝีเท้าดีที่สุด ขี่ห้อไปยังพระราชวังทันที. ข้าพเจ้าอาจเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินได้สะดวกไม่ว่าเวลาไหน. แต่พลาดโอกาสพระองค์มิได้ประทับในวัง เสด็จไปล่าเนื้อประทับแรมเสียในท้องถิ่นไกล; จึ่งจำเป็นต้องหันไปหาเสนาบดี. เผอิญเสนาบดีนั้น ก็คนเดียวกับที่เป็นราชทูตไปกรุงโกสัมพี ครั้งที่ข้าพเจ้าอาศัยตามไปด้วย. และท่านต้องจำได้ว่า ในตอนกลับข้าพเจ้าหาได้มากับท่านไม่. คราวที่ข้าพเจ้าปฏิเสธไม่เข้ากระบวนท่านนับแต่วันนั้นตลอดมา ท่านออกจะไม่ชอบหน้าข้าพเจ้านักสังเกตได้จากกิริยาที่พบปะกันก็หลายหน. ทั้งความเป็นไปอย่างเอ้อเฟ้อแห่งข้าพเจ้า ก็ได้ยินมาเข้าหูอยู่บ่อยๆ ว่าท่านติเตียนอย่างยิ่ง. เพราะฉะนั้นการนำเรื่องที่ข้าพเจ้าจะมาร้องเรียนนี้ ถึงจะไม่สู้ถูกอารมณ์ท่านก็จริง, แต่ก็มีเหตุผลพอที่จะมาร้องเรียนได้อยู่ อันจะชอบอัธยาศัยหรือขัดอัธยาศัยท่านนั้นก็ตามที.

ข้าพเจ้าแจ้งเรื่องที่เป็นมาแล้ว ที่ลานหน้าบ้านให้ท่านทราบโดยย่อแต่ว่าแจ่มแจ้งดี แล้วแถมท้ายเป็นทีร้องขอให้รู้อยู่ในตัวว่าถ้าได้ทหารสักกองหนึ่งไประวังการณ์ ก็จะได้ประโยชน์สองต่อ: หนึ่งป้องกันทรัพย์สมบัติของพลเมืองให้พ้นจากโจรภัย, และสอง อาจจับโจรผู้ร้ายได้ด้วยหลายคน ชอบแก่ราชการ.

ท่านเสนาบดีนิ่งฟัง ทำยิ้มอย่างไร พูดไม่ถูกตอบว่า:

“กามนิต เกลอแก้ว, ฉันยังไม่ทราบว่า จะเป็นเพราะเสพสุราเข้าไปมากมาแต่เช้า, หรือว่าผลที่เลี้ยงดูกันอย่างรื่นเริง ถึงกับลือติดปากคนในกรุงอุชเชนี คราวใดคราวหนึ่ง ยกยอดติดเนื่องมากะทั่งเวลานี้ หรือไม่ก็เครื่องย่อยภายในปรวนแปรลงเพราะกินเลี้ยงของแสลงกันมากมายไม่รู้จักขยักยั้งทำให้ฝันร้ายสติวิปลาส: เป็นกลางค่ำกลางคืนก็ควรที่, นี่กลางวันแสกๆ เสียด้วยที่ท่านฝันไป. ใคร ๆ ก็รู้ทั่วแผ่นดินว่าองคุลิมาลนั้น ละชีวิตไปอยู่นรกเสียนมนานแล้ว; เรื่องที่มาเล่าให้ฟังจึ่งออกจะเป็นฝันเมื่อธาตุพิการมากกว่าอื่น.”

ข้าพเจ้าเถียงเสียงแข็งว่า “ก็เรื่องที่ว่าองคุลิมาลตาย เป็นแต่ข่าวลือเหลวไหล: ใครๆ ทราบทั้งนั้น.”

ท่านเสนาบดีค้านทันที “ไม่ใช่เหลวไหล. เสียใจ. ได้ยินมากับหูรู้ด้วยตาแท้ๆ. สาตาเคียรได้เล่าให้ฉันฟังเอง ว่าองคุลิมาลถูกทรมานตายเสียในคุกมืดใต้ปราสาท. และฉันยังได้เห็นหัวของมันที่เขาเสียบประจานไว้ทางประตูเมืองด้านตะวันออก!”

ข้าพเจ้า: “หัวที่เสียบไว้จะเป็นหัวองคุลิมาลหรือมิใช่ ไม่ทราบ. ที่ทราบได้แน่นั้น เมื่อสักชั่วโมงเศษที่ล่วงมา ข้าพเจ้าได้เห็นหัวองคุลิมาลยังติดอยู่บนคอเรียบร้อยดี. ที่จริงท่านเสียอีกที่ควรจะขอบใจข้าพเจ้าที่นำโอกาสมาให้-”

“ฆ่าคนที่ตายแล้ว! ให้เขาหัวเราะเยาะเล่น: ขอบใจมาก.”

“อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยข้าพเจ้าต้องขอร้องท่านให้ระลึกไว้ว่าเรื่องนี้ ไม่ใช่เพียงทรัพย์สมบัติเล็กน้อย ที่จริงเกี่ยวกับคฤหาสน์อันใหญ่โตซึ่งนับว่าเป็นที่พิศวงน่าดูได้แห่งหนึ่งในกรุงอุชเชนี ซึ่งพระราชาธิบดียังเคยเสด็จประพาสสำราญพระอิริยาบถ. ถ้าหากองคุลิมาลไปทำลายที่ซึ่งเป็นสง่าของกรุงเสียราบ, พระองค์คงไม่ทรงขอบใจท่านเป็นแน่.”

ท่านเสนาบดีหัวเราะ “อ๋อ! ข้อนั้นไม่สู้จะวิตกนัก. เชื่อคำแนะนำของฉันเถิด. กลับไปบ้านนอนพักสงบสติอารมณ์เสียหน่อยเดียว อย่าไปกังวลให้มันวุ่นไปอีก; เรื่องก็จะสงบลงแค่นั้น. เหตุทั้งหลายแหล่ที่เกิดขึ้น เป็นดังนี้ คือที่ไปบ้าผู้หญิงอยู่ในกรุงโกสัมพีจนไม่ลืมหูลืมตา, จะว่ากล่าวตักเตือนเท่าไรดื้อดึงไม่เชื่อฟัง. ถ้าหากครั้งนั้นเอียงหูฟังกันบ้าง, องคุลิมาลคงไม่จับตัวไปได้. และจะไม่ต้องเดือดร้อนด้วยโรคจิตต์วิตกกลัวฟุ้งซ่านอย่างไม่มีมูลอยู่ในเวลานี้. อีกอย่างหนึ่ง ตกไปอยู่กับโจรมาก็หลายเดือน ไม่เห็นเจ็บจำมีความประพฤติดีขึ้นอย่างไร. มีพยานที่ใครๆ ในกรุงอุชเชนี รู้เห็นกันอยู่ทั่วแล้ว.”

ท่านเสนาบดีได้ชักเรื่องความประพฤติต่างๆ ขึ้นมาบริภาษอีกสองสามเรื่อง, แล้วสั่งให้ข้าพเจ้ากลับบ้านโดยไม่นำพา.

ก่อนจะถึงบ้าน ข้าพเจ้าคำนึงหาทางป้องกันทุกอย่างทุกประการ เพราะบัดนี้จะต้องพึ่งตนเองเท่านั้น. เมื่อถึงบ้าน สั่งให้เขาจัดย้ายเข้าของมีราคาที่พอเคลื่อนย้ายไปได้ มีพรมราคาแพง โต๊ะฝังมุกและของมีค่าอื่นๆ เอาขึ้นบรรทุกเกวียนไปเก็บรักษาไว้ในที่อันพ้นภัยภายในเมือง ในคราวเดียวกัน ได้แจกจ่ายอาวุธให้แก่คนของข้าพเจ้า; ข้อที่หาอาวุธและเกวียนได้ง่าย เพราะถึงคราวที่กำลังจะเตรียมกองเกวียนเดิรทางไปค้าอยู่แล้ว. เตรียมการชั้นต้นไว้ไม่ใช่เพียงเท่านี้ ยังให้คนใช้ที่สนิทไว้ใจได้อีกหลายคน เข้าไปในเมือง ไปเที่ยวจ้างหาคนที่กล้าหาญสู้รบเก่งมาช่วยกันเฝ้าบ้านด้วยในเวลากลางคืน จะให้รางวัลเป็นค่าจ้างอย่างงาม. การที่ไปว่าจ้างคนจำพวกนี้ เป็นการเสี่ยงเคราะห์. ด้วยคนเหล่านี้ล้วนเป็นพวกนักเลง ในเวลาเข้าคับขันอาจหักหลังไปประสมเข้ากับพวกโจรก็ได้จริงอยู่; แต่ข้าพเจ้าได้อาศัยความช่วยเหลือของสหายหญิงเพื่อนข้าพเจ้าคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้แนะนำให้คนใช้ข้าพเจ้าเลือกหาแต่พวกที่พอไว้ใจได้. พวกเหล่านี้อาจทำอะไรได้ทั้งนั้น, แต่ทว่าเมื่อให้สัญญาและได้เงินเป็นรางวัลจนรับปากคำแล้ว, ก็เป็นอันเชื่อได้ว่าไม่กลับกลาย. เป็นธรรมเนียมของมันอย่างนั้น เมื่อลั่นวาจารับรองอย่างไรแล้วไม่กลับคำเป็นอันขาด. ข้าพเจ้าจัดทำไปทั้งนี้โดยที่ได้สำเหนียกมาดีแล้ว.

ระวางเตรียมการอยู่ ข้าพเจ้าไม่มีเวลาจะบอกภริยาด้วยตนเองได้ จึ่งให้คนใช้สองคนต่างไปบอกคนละแห่ง ว่าให้เตรียมตัว – คนที่หนึ่งกับลูกสาวสองคน, คนที่สองกับลูกชายคนน้อย – ย้ายไปอยู่เสียที่บ้านบิดาในเมือง แต่ให้ไปพักอยู่ชั่วเวลาคืนเดียว. ข้าพเจ้าไม่ได้บอกเหตุให้ทราบ เพราะเห็นว่าเมื่อเขาไปอยู่แล้วจะต่อเวลาอยู่ยืดไปอีกสัปดาห์หนึ่งหรือนานไปกว่านั้นก็ยิ่งดี, ข้าพเจ้าจะได้หาความสำราญเป็นศานติสุขเย็นหูเย็นใจได้บ้าง, ที่พูดนี้หมายความว่า เมื่อข้าพเจ้าสู้รบตบมือชนะพวกโจรราบคาบแล้ว. และโบราณท่านว่า ‘บุคคลอย่าพึงให้เหตุผลแก่สตรี,’ ข้าพเจ้าจึ่งไม่อธิบายเหตุผลเรื่องที่ให้เขาย้ายไป.

ระวางนั้น เรื่องเตรียมการก็เตรียมกันไป, และข้าพเจ้ากำลังจะชี้แจงแก่พวกคนใช้ที่มีอาวุธครบ ให้ฟังว่าการเตรียมพร้อมสรรพมีประโยชน์ดีอย่างไร ดั่งที่ข้าพเจ้าเคยประสพมาแล้ว เมื่อคราวคุมเกวียนไปค้าก็หลายครั้ง. พอดีในขณะนั้นภริยาทั้งสองถลันพรวดเข้ามาในลานบ้านคนละประตูพร้อมหน้าราวกับนัดกันไว้ หน้าตากิริยาตกอกตกใจ ร้องดังกรีดๆ จนพวกที่อยู่ในนั้นตกตะลึงมอง, ข้าพเจ้าซึ่งขยับจะพูดชี้แจงนั้นเลยอ้าปากค้าง.

ภริยาคนที่หนึ่งลากเอาลูกหญิงทั้งสองเข้ามาข้างและแขน, ภริยาคนที่สองก็ฉุดเอาลูกชายมาด้วยเหมือนกัน, พอมาถึงข้าพเจ้าต่างก็ชี้หน้า และร้องขึ้นพร้อมกันว่า :

“มันอย่างนี้เอง อีถ่อยพยายามยุอย่างโน้นแหย่อย่างนี้จนได้เรื่อง ให้เขา (ชี้ที่ข้าพเจ้า) เกลียดชังถึงกับตะเพิดเมียที่เขารักออกจากบ้านไป ให้ได้รับความอับอายขายหน้ากลับไปอาศัยพ่อกับลูกเล็กๆ ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เดียงสาสักนิดเดียว.”

ทั้งสองคนคลั่งโทษะจนน้ำลายฟูมปาก ต่างคิดเห็นแต่เรื่องของตนเท่านั้น จะได้รู้สึกก็หาไม่ ว่าอีกฝ่ายหนึ่งก็กล่าวหาอย่างเดียวกัน. จะรอฟังอีกฝ่ายหนึ่งพูดว่าอะไรเป็นไม่มี เอาแต่ตะเบ็งเสียงประมูลกัน, เหนื่อยเข้าก็ร้องไห้ตีอกชกหัวทึ้งเผ้าผมกันอลหม่าน, ในที่สุด เห็นจะทุบอกชกตัวเจ็บเข้ากระมัง จึ่งแผดใส่ผรุสวาทเข้ารดกัน โดยต่างฝ่ายฉวยเข้าใจเอาว่า อีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ยุยง. วาจาก็สรรเอาที่สามหาวออกมาเปิงๆ อย่างเผ็ดแสบขึ้นกว่ากันเป็นชั้นๆ ท่าทางลี้ลับอะไรก็ไขออกมาที่แจ้งหมดกันคราวนี้ หยาบคายร้ายกาจยิ่งกว่าอะไรหมดที่ข้าพเจ้าเคยได้ยินมา แม้แต่หญิงกลางตลาดก็ไม่กักขฬะเท่า.

ข้าพเจ้าพยายามให้ทั้งสองฟังคำอธิบายเสียจนอ่อนใจ แสดงให้เห็นโดยชัดเจน ว่าถ้าไม่หุนหันพลันแล่นเอาแต่โทษะขึ้นตั้งหน้าอยู่อย่างนี้ เรื่องก็จะไม่เข้าใจผิดกันเลย. ที่สั่งให้ย้ายไปอยู่บ้านบิดา ไม่ใช่หมายความให้ต่างฝ่ายไปอยู่บ้านบิดาตน หมายความถึงบ้านบิดาข้าพเจ้าต่างหาก. และที่สั่งให้ไปไม่ใช่เป็นการลงโทษเกลียดชังอะไร. แท้จริงก็เพื่อประโยชน์ให้พ้นภัยในตัวและในบุตรเท่านั้น เมื่อข้าพเจ้าเห็นว่าทั้งสองพอจะสำนึกเข้าใจเรื่องและเบาบางดีเดือดเป็นฝ่ายลดทิฐิมานะเซาลงแล้ว, ได้ท่าก็สำทับส่งออกไปว่า:

“เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะสันดานหยาบคายร้ายกาจของตัวทั้งสอง. ต่อไปควรจะรู้จักระวังกิริยารักษาปากของตัวไว้บ้างซี. ผลที่ใช้กิริยาวาจาสามานย์ต่อนักบวชโล้นมันเป็นอย่างนี้แหละ. รู้ไหมเล่่าว่านักบวชนั้นคือใคร? นั่นละคือองคุลิมาลมหาโจร, จะบอกให้ที่ฆ่าคนเสียนับไม่ถ้วน แล้วตัดเอานิ้วคนละนิ้วมาร้อยเป็นพวงมาลัยสวมคอ. คนนั้นแหละที่พวกตัวไปด่าว่าให้โกรธ. อ้าว! อย่ายืนทำตัวสั่นซี! ความกล้าดีเต้นเร่าๆ เมื่อกี้นี้หายไปไหนหมดเล่า? เคราะห์ยังดีอยู่หนาที่มันไม่เอาบาตรทุ่มลงกบาลแยก. คนอื่นๆ ไม่ว่าคนใดคนหนึ่งที่อยู่นี่ ตกไปอยู่ในมือมันจะต้องใช้ค่าไถ่เป็นเงินจนหมดตัว. และพวกตัวถึงว่าจะอยู่ในบ้านพ่อฉัน ก็อย่าถือดีว่าจะพ้นภัยหนา.”

เมื่อภริยาข้าพเจ้าทราบเรื่องเข้าใจได้ดีแล้ว, ก็ร้องไห้ใส่โฮใหญ่ ดูเหมือนว่าถูกมีดองคุลิมาลมารอคอยอยู่แล้ว. นี่แหละโทสะของผู้หญิงระงับไว้ไม่ไหวฉันใด, ความตื่นขลาดของผู้หญิงก็เอาไว้ไม่อยู่ฉันเดียวกัน. ต่างขมีขมันฉุดลูกหญิงลากลูกชายจะพาวิ่งหนีออกประตูไป. ตอนนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าจะพากันหกล้มตายเสียก่อนทั้งแม่ลูก ต้องให้เขากักตัวไว้ยังไม่ให้ไป, พยายามอธิบายเอาใจเป็นอย่างดี ให้รู้ว่าในเวลานี้ ยังไม่ต้องตกอกตกใจ, เพราะข้าพเจ้าทราบอยู่ดีว่า องคุลิมาลคงไม่ยกมาปล้นในเวลาก่อนสองยาม, แล้วสั่งให้เขากลับเข้าไปในบ้าน จัดแจงเข้าของจำที่ต้องใช้ระวางที่ต้องอยู่ในเมืองจนกว่าจะพ้นภัย แล้วจึ่งค่อยไป. นางทั้งสองซึ่งเมื่อก่อนแข็งเป็นท่อนเหล็ก แต่บัดนี้ อ่อนเปียกแล้ว ก็ทำตามคำสั่งทุกอย่างทันที.

ในเวลาเดียวกันนี้ ข้าพเจ้าไม่ทันเฉลียวใจว่า เรื่องที่เปิดเผยบอกแก่นางทั้งสอง เป็นเหตุสำคัญอย่างหนึ่งแก่พวกคนใช้. พอได้ยินว่าที่ข้าพเจ้าสั่งให้เตรียมตัวไว้คอยรับมือกับโจรนี้ ไม่ใช่อื่นไกล คือ องคุลิมาล ซึ่งเข้าใจกันว่าตายไปแล้ว จะยกมาปล้นในคืนวันนั้น, พวกเหล่านั้นขวัญหนีดีฝ่อ หลบหน้าเลี่ยงหายไปทีละคนสองคน. ในที่สุดที่ทิ้งอาวุธเสียก็ตั้งโหล บอกว่าจะประจัญบานกับผีตายโหงอย่างองคุลิมาลเป็นยอมกลัว ไม่ขอหาญสู้ด้วย. ส่วนพวกที่จ้างมาจากในเมือง ที่มาถึงก่อน, เมื่อทราบเรื่องว่าจะต้องเผชิญหน้ากับใคร, ก็หันกลับ บอกว่าที่สัญญาตกลงกันไว้ไม่หมายความว่าอย่างนี้. ตกลงคงเหลือแต่คนของข้าพเจ้าราวยี่สิบคนเท่านั้น, ได้คนใช้ที่ดูแลบ้านข้าพเจ้าผู้จงรักกล้าหาญเป็นหัวหนัาควบคุม, แสดงภักดีแก่ข้าพเจ้า ว่าเป็นไม่ยอมละทิ้งข้าพเจ้าไป จะขออยู่ต่อสู้จนโลหิตหยดสุดท้าย; เพราะเขาเห็นอยู่ว่า อย่างไรเสีย ข้าพเจ้าคงไม่ยอมปล่อยให้คฤหาสน์อันงามพินาศลง เป็นตายอย่างไรก็ยอมฝังชีวิตไว้ในที่นั้น.

มีพวกในเมืองที่ใจกล้าหลายคน ที่มารับจ้างข้าพเจ้าในคราวนี้ เป็นผู้ชอบตีรันฟันแทงเห็นเป็นของสนุก มากกว่าเห็นแก่สินจ้าง และเป็นผู้ไม่กลัวองคุลิมาล ยังคุยอวดอ้างว่า ถ้าได้ต่อสู้กันย่ำใจแล้วถึงถูกองคุลิมาลจับเป็นเชลยไปได้ ก็จะสมัครเข้าเป็นโจรเสียทีเดียว. พวกมีลักษณะร้ายเหล่านี้หลายคน ที่ยอมอยู่ด้วย. เพราะฉะนั้นในที่สุด ก็ได้คนที่กล้าหาญมีอาวุธครบประมาณสี่สิบคน.

ระวางนั้นจวนจะค่ำลงแล้ว เกวียนที่จะให้ภริยาและบุตรข้าพเจ้านั่งไปก็มาถึง. เมื่อภริยาข้าพเจ้าจูงลูกออกมาจากบ้านจะขึ้นเกวียน ดูมีกิริยาสงบปกติอยู่บ้าง, ครั้นได้ทราบว่าข้าพเจ้าจะไม่ไปด้วย ก็แผดเสียงร้องไห้กันใหม่อีก, ถึงกับคุกเข่าอ้อนวอนดึงเสื้อผ้าข้าพเจ้าร้องขอให้ไปด้วย รำพันว่าไม่ควรจะมาทิ้งชีวิตไว้ที่นี่. ข้าพเจ้าชี้แจงให้ฟังว่า ถ้าข้าพเจ้าทิ้งหน้าที่ไป, บ้านช่องจะถูกโจรเผาผลาญลงหมด, ทรัพย์สมบัติส่วนมากจะสูญหายสิ้น ลูกเต้าจะไม่ได้รับ; ถ้าคอยอยู่สู้, ยังมีทางรักษาไว้ได้, เพราะก็ยังไม่ทราบแน่ว่า องคุลิมาลจะยกพวกมามีกำลังมากน้อยเท่าไร.

ข้าพเจ้าชี้แจงดั่งนี้, ภริยาทั้งสองยิ่งร้องไห้โฮหนักขึ้น, บอกว่าองคุลิมาลจะมาจับเอาข้าพเจ้า แล้วตัดนิ้วเอาไปร้อยพวงมาลัยสวมคอ, มันจะทรมานจนตาย เพราะความผิดของเขาที่ไปด่าว่ามัน; ถ้าข้าพเจ้าต้องตายไปเช่นนี้, เขาจะต้องมีความผิดเป็นบาปหนัก โทษถึงตกนรก.

ข้าพเจ้าอุตส่าห์โลมเล้าเอาใจ. เมื่อเห็นข้าพเจ้าไม่กลับใจแน่แล้ว ก็จำใจพากันไปขึ้นเกวียน, พอขึ้นไปนั่งบนเกวียนเรียบร้อย, ก็เริ่มต่อว่าหาความกัน -

“เพราะแกตัวดีทีเดียวเป็นต้นเหตุ.”

“ใครบอก? แกต่างหากที่เร้าให้ฉันไปดูมันเมื่อมันยืนพิงประตูอยู่. แกทีเดียวเป็นตัวการ ชี้มือไปที่มันนะไม่ว่า.”

“แล้วก็แกเป็นผู้ถ่มน้ำหมากรดมัน. เวลานั้นฉันกินหมากเมื่อไร? ฉันไม่เคยกินหมากในตอนเช้า.”

“และแกด่ามันว่า อ้ายคนจรจัด อ้ายชาติขี้เกียจขอทาน”

“แกก็ด่ามันว่า อ้ายหัวโล้น อย่างไรล่ะ ลืมเสียแล้วหรือ?”

เถียงกันไปอย่างนี้ตลอดทาง จนเกวียนออกเดิรไกลไปแล้ว เสียงต่อว่าต่อขานจึ่งถูกกลบในเสียงกงเกวียนซึ่งเดิรอ๊อดๆ เลี้ยวลับสายตาไป.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ