สาม สู่ฝั่งแม่คงคา

ข้าพเจ้าชื่อกามนิต เกิดที่กรุงอุชเชนี อันเป็นนครมีภูเขาล้อมรอบ อยู่ไกลไปทางใต้ในแคว้นอวันตี. บิดาเป็นพ่อค้า แม้มีตระกูลไม่สูงศักดิ์เป็นพิเศษ แต่ก็เป็นเศรษฐีมั่งมีมาก. ท่านบิดาได้จัดให้ข้าพเจ้าได้รับการศึกษาอบรมในศิลปวิทยาเป็นอย่างดี. เมื่อข้าพเจ้ามีอายุอันควรแล้ว ก็เข้าพิธีสวมยัชโญปวีตสายธุรัมมงคลพราหมณ์ตามลัทธิ. เวลานั้นข้าพเจ้ามีวิชชาความรู้อันควรแก่กุลบุตรอย่างเชี่ยวชาญที่สุด จนคนทั้งหลายเชื่อว่า ข้าพเจ้าคงได้ศึกษามาจากมหาวิทยาลัยตักกสิลาเป็นแน่แท้. ข้าพเจ้าสามารถในมวยปล้ำและฟันดาพ, เสียงก็ไพเราะ เพราะได้รับการฝึกฝนในคันธรรพศาสตร์อย่างชำนาญ, ทั้งสามารถดีดพิณได้แคล่วคล่องเท่ากับนักดนตรีที่ฦๅชื่อ; บรรดาโศ๎ลกในมหากาพย์ภารตะและกาพย์อื่น ๆ ข้าพเจ้าสาธยายได้เจนใจ; ซ้ำการประพันธ์ฉันทพฤตติวิธี ก็อาจร้อยกรองได้รวดเร็ว และมีข้อความไพเราะลึกซึ้ง: ตกว่าวิชชาใด ๆ อันควรแก่กุลบุตรจะต้องรู้ ข้าพเจ้าย่อมทราบได้อย่างดีเป็นที่สุด, ดูก่อน ท่านอาคันตุกะ, อันวิชชาความรู้ของข้าพเจ้านั้น เป็นที่พูดกันติดปากของประชนชาวอุชเชนีว่า “เชี่ยวชาญเหมือนมาณพกามนิตเทียว”

อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อข้าพเจ้ามีอายุได้ ๒๐ ปี, บิดาได้เรียกตัวไปหา, แล้วพูดว่า:-

“ลูกรักเอย, บัดนี้การศึกษาของเจ้าก็สำเร็จบริบูรณ์แล้ว, ถึงเวลาที่จะต้องดูสิ่งต่าง ๆ ในโลกให้หูตากว้างขวางออกไปบ้าง, แล้วจึ่งเริ่มประกอบการพาณิชย์เป็นอาชีพต่อไป. เวลานี้พอดีประจวบเหมาะ, เพราะใน ๒-๓ วันนี้พระเจ้าแผ่นดินของเราตรัสให้แต่งราชทูตไปเจริญทางพระราชไมตรี กับพระเจ้าอุเทนแห่งกรุงโกสัมพี ซึ่งอยู่ไกลไปทางเหนือ. พ่อมีสหายอยู่ในเมืองนั้นคนหนึ่งชื่อประณาท, เคยไปมาหาสู่กันเสมอ. เขาได้บอกแก่พ่อไว้นานแล้ว ว่าถ้าเอาสินค้าเมืองเรา มีแก้วหินไม้จันทน์ผง เครื่องจักสานและผ้า ไปขายที่กรุงโกสัมพี จะได้กำไรงาม. ที่พ่อไม่อยากนำสินค้าไปขาย เพราะหนทางไกล ไปตามทางก็มีโจรผู้ร้ายชุกชุม เป็นที่รังเกียจอันตรายมากอยู่. แต่ทว่าถ้าได้ไปในพวกราชทูตแล้ว เป็นอันปลอดภัย. ลูกเอ๋ย! เจ้าจงเตรียมตัวเถิด, เข้าไปเลือกสินค้าในโรงเก็บ บรรทุกเกวียนโคไปสัก ๑๒ เล่ม, สบทบกระบวนท่านราชทูตไป. ของที่เอาไปนี้ เมื่อขายได้ ให้ซื้อกาสิกพัสตร์ (ผ้าบางพาราณสี) และข้าวชะนิดที่ดีกลับมา. นี่และจะเป็นบทเรียนการค้าขายของเจ้าในขั้นต้น ซึ่งพ่อหวังว่าจะเป็นผลดีแก่เจ้าอย่างงาม. อีกอย่างหนึ่งเจ้าจะได้เห็นประเทศต่าง ๆ อันมีลักษณะพื้นภูมิแปลก ๆ ผิดกว่าประเทศของเรา, ตลอดจนได้รู้ดูเห็นขนบธรรมเนียม และได้สมาคมกับคนชั้นสูง คือพวกท่านราชทูต ได้ทุกวัน, จะได้จำกริยาท่าทางของผู้ดี เพิ่มคุณสมบัติขึ้นในตัวเรา. ดั่งนี้ พ่อจึงถือว่าได้รับประโยชน์อย่างใหญ่ เพราะพ่อค้าจะต้องเป็นคนมีหูตาสว่างจึ่งจะใช้ได้”

ข้าพเจ้าขอบคุณในความกรุณาของท่าน ดีใจจนน้ำตาไหล และต่อมาอีก ๒-๓ วัน ข้าพเจ้าได้ร่ำลาบิดามารดาและละเคหสถานเริ่มออกเดิรทาง.

ขณะออกจากประตูเมือง รู้สึกว่าได้เป็นหัวหน้าควบคุมเกวียนสินค้า. หัวใจข้าพเจ้าก็เต้นเร้าด้วยความอิ่มเอิบใจ คิดนึกไปต่าง ๆ นานาอย่างร่าเริง. การเดิรทางล่วงไปวันหนึ่ง ๆ ก็เท่ากับได้ประสพมหกรรมอย่างสนุกสุดใจ. ตกเวลากลางคืนหยุดพักเดิรทาง ก่อไฟกองใหญ่เพื่อป้องกันเสือ. ข้าพเจ้านั่งล้อมวงอยู่ข้างท่านราชทูต, และคนนอกนั้นก็ล้วนเป็นผู้สูงอายุและมีศักดิ์ กระทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกคล้าย ๆ กับว่าอยู่ในเทวสมาคม ณ แดนสวรรค์.

เดิรทางผ่านป่าใหญ่ในแดนเวทิส, แล้วข้ามยอดเขาแห่งทิววินธัย จนบรรลุทุ่งกว้างใหญ่ฝ่ายเหนือ กระทำให้รู้สึกว่าได้มาเห็นโลกใหม่อยู่ตรงหน้า, เพราะแต่ก่อน ๆ มาไม่เคยคิดว่าโลกเรานี้จะแผ่ไปกว้างขวางมหึมาถึงปานฉะนี้.

ล่วงประมาณหนึ่งเดือน นับแต่ออกเดิรทางมา. เย็นวันหนึ่งมองดูทางยอดดงตาล เห็นเป็นแถบทองขนาดใหญ่สองแถบ ดูประหนึ่งว่าคลี่คลายออกจากกันอยู่ตรงขอบฟ้าซึ่งแลเห็นเป็นหมอกอยู่หลัว ๆ และแล่นขนานกันมาเป็นเส้นบนภูมิภาคอันเขียวชะอุ่มด้วยตฤณชาติ, แล้วค่อย ๆเข้าใกล้กัน จนที่สุดรวมกันเป็นสายเดียวมีขนาดกว้างใหญ่.

ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามีใครมาตบไหล่, เหลียวไปดูก็เห็นท่านราชทูต. ข้าพเจ้าไม่ทันรู้สึกตัวเมื่อท่านเดิรเข้ามา. ท่านได้พูดว่า:-

“กามนิต, ที่เห็นเป็นแถบทองโน่น คือแม่น้ำยมุนาและแม่คงคาอันศักดิ์สิทธิ์. กระแสน้ำทั้งสองมารวมกันตรงหน้าเราอยู่นี้.”

ข้าพเจ้ายกมือขึ้นจบบูชา.

ท่านราชทูตกล่าวต่อไปว่า “ที่เจ้าแสดงเคารพเช่นนั้นเป็นการดีแล้ว เพราะแม่คงคามาจากแดนแห่งทวยเทพ อันอยู่ในกลางเขา ซึ่งมีหิมะปกคลุมทางอุตตรประเทศ แล้วไหลดุจกล่าวว่า มาจากแดนสวรรค์. ส่วนแม่น้ำยมุนานั้นเล่า ไหลมาจากแดนอันขจรนามแต่กาลไกลสมัยมหาภารตะ. น้ำแห่งแม่น้ำยมุนา ย่อมล้นไหลผ่านหัสดินปุระซึ่งปรักหักพังแล้ว, และท่วมลบทุ่งกุรุ ซึ่งปาณฑพพี่น้องกับพวกเการพ ได้ทำสงครามเพื่อชิงขัยในความเป็นใหญ่. ณ ที่ตรงนั้นพระกฤษณเป็นสารถีขับรถรบให้พระอรชุน และพระกรรณกำลังพิโรธอยู่ในค่าย. แต่เรื่องเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเล่าก็เห็นจะได้ เพราะเห็นว่าเจ้าเปรื่องโปร่งเจนใจอยู่แล้ว. ตัวเราเคยยืนอยู่บ่อย ๆ บนแหลมที่เห็นอยู่โน้น มองดูแม่น้ำยมุนาอันมีสีเขียวไหลเป็นลูกระลอกลดหลั่น แข่งไปกับน้ำแม่คงคาซึ่งมีสีเหลือง. ต่างสีต่างไหลไม่รวมกัน เขียวและเหลือง. ได้แก่กษัตริย์และพราหมณ์ อันอยู่ร่วมในมหาสมุทร์คือวรรณะด้วยกัน, ต่างจรร่วมทางไปสู่แดนแห่งพรหม, บางคราวเข้ามาใกล้ชิดกัน, บางคราวห่างกัน และบางคราวก็ร่วมกัน: เป็นดั่งนี้นิรันดร; เปรียบเหมือนแม่น้ำทั้งสองที่เห็นอยู่นี้. ครั้นแล้วเรารู้สึกว่าใจลอย. แว่วคล้ายได้ยินเสียงรบ, เสียงศัสตราวุธกะทบกัน, เสียงเป่าเขาเร้าเร่งพล, เสียงม้าร้อง, เสียงช้างแปร๋แปร้น: หัวใจของเราก็ตึ้กตั้กเต้นถี่เข้า เพราะรู้สึกว่าบรรพบุรุษของเราก็มาอยู่ที่นี่ด้วย, และโลหิตของท่านเหล่านั้นก็ไหลนองซึมไปในทรายแห่งทุ่งกุรุนี้.”

ข้าพเจ้ารู้สึกปลาบปลื้มในท่านราชทูต, เงยหน้าขึ้นดูท่านซึ่งเป็นผู้อยู่ในวรรณะกษัตริย์ สืบตระกูลนักรบเป็นทายาทมา.

ขณะนั้น ท่านราชทูตจูงมือข้าพเจ้า พลางกล่าววาจาว่า “มาทางนี้, ลูก, มาดูภูมิประเทศที่เราจะไปถึง.” ท่านพาข้าพเจ้าเดิรอ้อมไปทางสุมทุมไม้พ้นออกไปเพียง ๒-๓ ก้าวเท่านั้น ก็เห็นภูมิประเทศนั้นอยู่ทางเบื้องตะวันออก.

พอข้าพเจ้าเห็น ก็ออกอุทาน, เพราะมองไปทางหัวเลี้ยวแม่คงคา ก็เห็นกรุงโกสัมพีดูงดงามมาก. เห็นกำแพงปราการ บ้านเรือนสลับสล้างดูเป็นลดหลั่น มีเชิงเทินท่าน้ำท่าเรือ ต้องแสงแดดในเวลาอัสดง ดูประหนึ่งว่าเป็นเมืองทอง. ส่วนยอดปราสาทที่เป็นทองแท้ ก็ส่องแสงดูดั่งว่ามีอาทิตย์อยู่หลายดวง. ควันไฟสีดำแดงพลุ่ง ๆ ขึ้นจากลานเทวสถาน. ถัดลงไปข้างล่างริมฝั่งน้ำ เห็นควันสีเขียวอ่อนลอยขึ้นมาจากอศุภที่กำลังเผา. ในลำน้ำอันศักดิ์สิทธ์ ซึ่งฉายเงาแห่งสถานต่าง ๆ ลงไปเห็นกระเพื่อม ๆ, มีเรือน้อยใหญ่นับไม่ถ้วน มีใบและธงทิวสีต่าง ๆ แลดูงามตา. ตรงท่าน้ำเห็นอยู่ไกล ประชาชนอาบน้ำอยู่มากมาย. นาน ๆ ได้ยินเสียงคนพูดดังหึ่ง ๆ คล้ายเสียงผึ้ง.

ขอให้ท่านผู้เจริญคิดดูเถิด. ข้าพเจ้ารู้สึกคล้ายกับว่าได้มองเห็นเทวโลก ยิ่งกว่าได้เห็นเมืองมนุษย์. แท้จริงลุ่มน้ำแม่คงคาทั้งหมดนี้ มีความงามดูเป็นสรวงสวรรค์ อันปรากฎให้เห็นขึ้นแก่ตาข้าพเจ้า.

ในคืนนั้นเอง ข้าพเจ้าไปถึงเมือง และพักอยู่ที่บ้านท่านประณาท ผู้สหายเก่าแก่ของบิดา.

รุ่งเช้าตรู่ ข้าพเจ้ารีบไปยังท่าน้ำที่ใกล้ที่สุด. เมื่อกำลังลงขั้นบันได รู้สึกเบิกบานใจไม่ทราบว่าจะอธิบายได้อย่างไร เพราะได้มีโอกาสมาสนานกายในน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมิใช่แต่จะชำระล้างฝุ่นธุลีที่ติดต้องตัวเพราะไปเดิรทางมาเท่านั้น, ยังเป็นน้ำที่สามารถชำระบาปมลทินให้หมดสิ้นไปได้ด้วย. ข้าพเจ้าจึ่งไม่แต่จะอาบอย่างเดียว, ได้เอาขวดไปบรรจุน้ำศักดิ์สิทธิ์สำหรับไปฝากท่านบิดาด้วย. อนิจจา ! ขวดน้ำนี้หาได้ไปถึงท่านไม่, ด้วยเหตุไร จะได้ทราบในภายหลัง.

ถัดจากอาบน้ำแล้ว ท่านผู้เฒ่าประณาทศีรษะหงอก มีท่าทางน่านับถือ ได้พาข้าพเจ้าไปเที่ยวตลาดในเมือง. และอาศัยความช่วยเหลือของท่าน เพียง ๒-๓ วันเท่านั้น ข้าพเจ้าขายสินค้าที่บรรทุกมาได้หมดมีกำไรอย่างงาม, และกว้านซื้อสินค้าพื้นประเทศสระสมไว้เป็นจำนวนมากที่ชาวเมืองของข้าพเจ้านิยมให้ราคาสูง.

เมื่อการค้าขายของข้าพเจ้าได้ผลดีอย่างเร็ววัน มีเวลาว่างเหลืออยู่มากกว่าท่านราชทูตจะกลับ ดั่งนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจมาก จะได้เที่ยวชมบ้านเมืองหาความสนุกสำราญตามอำเภอใจได้บริบูรณ์, ซึ่งความจริงก็เป็นเช่นนั้น เพราะได้โสมทัตต์บุตรท่านประณาทเป็นผู้นำเที่ยว.

  1. ๑. ดูเรื่องในภาคผนวกท้ายพระราชนิพนธ์บทละคอนศกุนตลา.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ