สามสิบเจ็ด ดอกฟ้าเหี่ยว

วาสิฏฐีกล่าวเพิ่มเติมว่า “ดูสิเธอ. เมื่อฉันได้ยินคำตรัสของพระพุทธเจ้าดั่งกล่าวมาแล้ว, ถ้าพูดสำหรับเธอก็จะเป็นวาทะทำลายความหวังเสียหมด. ฉันรู้สึกปีติยินดี ที่เห็นว่า คำนั้นเป็นของแท้จริง เพราะถึงแม้ในสวรรค์นี้ ก็เป็นมายาไม่คงที่เราได้เห็นประจักษ์อยู่ในบัดนี้.”

ระวางเวลาที่วาสิฏฐีเล่าอยู่นี้ ความทรุดโทรมในสวรรค์ก็ยังเกิดเรื่อยไปไม่ขาดสาย ได้ดำเนิรไปเงียบ ๆ ไม่มีหยุด เป็นอันไม่มีข้อสงศัยแล้ว ว่าบรรดาสิ่งที่อยู่บนนี้ ตลอดจนสรรพสิ่งที่แวดล้อมอยู่ ย่อมมีความทรุดโทรมเข้าครอบงำ ในที่สุดก็จะย่อยยับศูนยสลายไปไม่ผิดจากธรรมดา ซึ่งมีอยู่ทั่วทุกแห่งหน.

ดอกบัวณบัดนี้ มีกลีบโรยร่วงลงไปลอยอยู่ในน้ำมากกว่าครึ่งแล้ว; ยังร่วงลงไปใหม่ก็มี. กระทำให้ผู้อยู่บนดอกบัว ซึ่งบัดนี้เหลือแต่ฝัก บังเกิดสลดใจ เห็นความอวสานพินาศจะมาสู่ตนอยู่ชัดแจ้งแล้ว. บางผู้นั่งคอพับ, บ้างก็เอียงคอตกไปทางไหล่, กายสั่นสะท้านคล้ายเป็นไข้. ทุกคราวที่มีลมหนาวเฉียบ เริ่มโชยมา, ดวงหน้าซึ่งเคยมีรัศมีรุ่งเรืองก็ค่อยจางแสงมัวซัวไปทีละน้อย, ดอกไม้ที่เคยหอมก็ค่อยคลาย กลายเป็นกลิ่นที่ทำให้อึดอัดงงงวยไป.

กามนิตชี้ไปทางสิ่งเหล่านี้ ที่มีอาการวิปริตไปหมด และพูดว่า “วาสิฏฐี, เห็นอยู่แก่ตาอย่างนี้ ใครเล่าจะยินดี?”

วาสิฏฐีตอบว่า “เพราะเหตุนี้ บุุทคลจึ่งพอจะรู้สึกยินดีต่อสิ่งที่แลเห็นอยู่นี้ได้ ถ้าหากว่าสภาพที่เป็นอยู่นี้ไม่มีอาการผันแปรต่อไป และไม่มีสภาพอื่นที่สูงกว่านี้. แต่ความจริงหาเป็นอย่างนั้นไม่. ยังมีสภาพที่สูงขึ้นไปกว่านี้. เพราะสภาพที่เป็นอยู่ย่อมมีความทรุดโทรม, แต่สภาพที่เหนือนั้นขึ้นไป หามีความทรุดโทรมหรือมูลเหตุแห่งความทรุดโทรมไม่. สภาพที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ พระบรมศาสดาตรัสว่า เป็นสภาพแห่งความสุขอันไม่คงที่, และเพราะเหตุนี้ พระองค์จึ่งตรัสว่า ถ้าเห็นแจ้งว่าสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นย่อมถึงความสลายในที่สุด, ก็เท่ากับได้รู้ถึงสิ่งที่ไม่เกิด.”

กามนิตได้ฟังดั่งนี้ ดวงหน้าค่อยแจ่มใส เหมือนดอกไม้ที่กำลังเหี่ยวเพราะขาดน้ำ ต้องฝนโปรยลงมากลับสดชื่นฉะนั้น, ได้พูดว่า-

“วาสิฏฐี, ขอความสวัสดีจงมีแก่หล่อนเถิด. ฉันจะพ้นความทุกข์ได้ก็เพราะหล่อน. เวลานี้รู้สึกในความจริงขึ้นมาบ้างแล้ว. เราหลงผิดมาแล้วแต่เดิมก็ด้วยข้อนี้ คือข้อปรารถนาสุขสมบัติชะนิดที่ไม่สูงพอ; เรามัวปรารถนาแต่ความสุขในสวรรค์ ซึ่งตามสภาพย่อมมีความทรุดโทรมและทำลายไป. สิ่งที่ทรงความเป็นอยู่คงที่ ก็เห็นจะเป็นจำพวกดาว ซึ่งโคจรไปตามวิถีแห่งกฎที่ยั่งยืน ดูซิ, วาสิฏฐี, สิ่งทั้งหลายที่เห็นอยู่รอบตัวเรา ปรากฏว่ามีความทรุดโทรมเข้าครอบงำ. แต่แม่น้ำน้อยนั้น ซึ่งเป็นกิ่งลำธารของคงคาสวรรค์ไหลมาสู่สระของเรา มีน้ำขาวบริสุทธิ์รุ่งเรืองดั่งดวงดาว จำนวนน้ำก็ไม่บกพร่อง คงมีสมบูรณอยู่เสมอ ก็เพราะน้ำนี้ไหลมาจากโลกดาว. น่าจะพยายามตั้งความปรารถนาไปเกิดอยู่ในหมู่เทพประจำดาว เพื่อหนีให้พ้นจากโลกที่ตายได้.”

วาสิฏฐี - “เหตุไฉนเราจะสามารถไปโลกนั้นไม่ได้? เพราะฉันได้ยินมาแน่นอน ว่าพระโยคาวจรผู้มีเพียรทำความบำเพ็ญโยคะเพ่งเล็งต่อพรหมโลก ย่อมไปเกิดในแดนนั้นได้. ถึงเวลานี้ ก็ยังไม่ล่วงเวลาที่เราควรมุ่งหมายไปเกิดในโลกนั้น. เพราะในบทสังคีตของพระภควัต (ภควัทคีตา) มีอยู่บทหนึ่งว่า-

“เมื่อปรารถนาภพหน้าใด ขณะจะตายจงเพ่งไว้ในใจให้แน่วแน่, จิตต์ก็จะไปจุติในภพ ตามที่ลักษณะที่ปรารถนาไว้.”

กามนิต- “วาสิฏฐี, หล่อนให้สติฉัน ให้มีกำลังใจกล้ายิ่งกว่าอะไรหมด. ขอให้เราตั้งดวงจิตต์เพ่งเพื่อให้ไปเกิดใหม่ในพรหมโลกเถิด.”

เมื่อทั้งสองตกลงใจในทันใดนั้น มีพายุใหญ่พัดมาทางสุมทุมพุ่มไม้และในสวนกระทำให้ดอกไม้และใบร่วงหล่นปลิวว่อน. ผู้อยู่บนฝักบัวก็ชักเครื่องนุ่งห่มชิดสนิทกาย มีอาการสั่นเทิ้ม.

กามนิตและวาสิฏฐีรู้สึกอึดอัดใจคล้ายถูกสำลักกลิ่นหอมที่อัดแน่นอยู่ในห้อง. ครั้นแล้วก็รู้สึกชุ่มชื่นใจ คล้ายลักษณะที่เปิดหน้าต่างห้องให้อากาศใหม่เข้าไปสู่, เพราะได้กลิ่นอากาศอันบริสุทธิ์ที่มาจากฝั่งคงคาสวรรค์ ซึ่งเคยสูดมาแล้วครั้งหนึ่ง.

วาสิฏฐี - “เธอสังเกตอะไรหรือไม่?”

กามนิต - “เป็นอาการเชื้อเชิญแห่งคงคาสวรรค์. ฟังซิเธอ, มาเชิญเราแล้ว.”

ขณะที่กามนิตพูด เสียงโอดครวญของผู้อยู่ในสวรรค์ก็หายไป เพราะมีเสียงกึกก้องมากลบไว้. เสียงนี้เขาทั้งสองจำได้เป็นอย่างดีว่าเป็นเสียงคงคาสวรรค์.

วาสิฏฐีพูดว่า “ก็ดีแล้ว; เรารู้ทางไปอยู่แล้ว. เธอยังกลัวอยู่หรือ?”

กามนิต - “กลัวทำไม? เราไปกันเถิด.”

แล้วทั้งสองก็ลอยลิ่วไป, ประดุจนกคู่ผัวตัวเมียที่บินแล่นออกจากรังทวนลมไปฉะนั้น.

บรรดาผู้อยู่ในสวรรค์ตะลึงมองเขาทั้งสองด้วยความประหลาดใจ ที่เห็นว่าทั้งสองยังมีกำลังกล้าหาญเลื่อนลอยไปได้อิก.

ครั้นทั้งสองเลื่อนลอยฝ่าพายุไป, ทางด้านหลังเกิดพายุบรรลัยยุคหวนพัดหอบเอาสิ่งต่างๆ ในแดนสุขาวดี รวมทั้งผู้อยู่ในนั้น ถึงความสิ้นลง เพราะความทรุดโทรมเข้าครอบงำรุกเงียบๆ มานานแล้วด้วยประการฉะนี้.

ทั้งสองเลื่อนลอยลิ่ว ๆ ไม่ช้านาน ผ่านดงตาลแล้วเลยไป เห็นทางข้างหน้า เป็นผืนน้ำแห่งแม่น้ำของแสนโกฏิจักรวาลขาวดั่งเงินยวง มีขอบเขตต์จดไปถึงขอบสวรรค์อันอยู่ไกลแสนไกลเห็นเป็นเส้นสีน้ำเงินแก่. แล้วทั้งสองลอยข้ามน้ำนั้นไป, ในทันใดก็ถูกกระแสซึ่งมีอยู่แต่ในที่นั้น พัดพาไปรวดเร็ว ด้วยความเร็วแห่งพายุที่พัดแรง.

เมื่อถูกความเร็ววับเป็นเครื่องบังคับให้แล่นฉูดไปปานสายฟ้า ประกอบกับได้ยินเสียงอู้แห่งพายุ ซึ่งดังคล้ายเสียงฟ้าร้องระคนกับเสียงระฆังขึ้นในทันทีทันใดไม่ทันจะรู้ตัวฉะนี้ ต่างก็สิ้นสมฤดีดับปวัตติจิตต์พร้อมกันทั้งคู่.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ