ยี่สิบเก้า ท่ามกลางกลิ่นหอมแห่งดอกปาริชาต

อันความจริง ผู้อุปะปาติกะใหม่ทั้งสองมิได้เยี่ยมฝั่งคงคาสวรรค์อันไม่น่าดูน่าชมอิกต่อไป, เป็นแต่เลื่อนลอยไปสู่หุบเขาต้นปาริชาตเนืองๆ ได้ไปนั่งพักนอนเล่นอยู่ควงปาริชาตอันแผ่กิ่งก้านสาขา, สูดเอากลิ่นหอมอันตระหลบมาจากดอกแดงดั่งแสงชาด, กระทำให้ระลึกถึงชาติก่อนๆ แจ่มแจ้งขึ้นเป็นลำดับ ย้อนหลังล่วงไปในอดีตชาติอันไกลแสนไกล.

ได้เห็นตนบางชาติอยู่ในปราสาท บางชาติอยู่ในกระท่อม. ไม่ว่าจะไปเกิดเป็นกุฎุมพีหรือเขญใจ ก็เห็นความรักทั้งสองได้มีต่อกันเสมอ. ในชาติหนึ่ง ทั้งสองมีความรัก และความสุขอันเต็มเปี่ยมตลอดกาล, แต่อิกชาติหนึ่งต้องตายจากกันไปตามกรรมที่ทำไว้ แต่อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะเป็นชาติใด จะได้รับสุขหรือตกทุกข์ ความรักของทั้งสองคงมีน้ำหนักเท่ากันเป็นอย่างเดียวทุกๆ ชาติ.

๏ ๏ ๏

ในชาติที่เหนือขึ้นไป ครั้งเมื่อมนุษย์ยังมีฤทธิ์เดชและกำลังมากกว่าเวลานี้ ในสมัยมีวีรบุรุษแกล้วกล้าสามารถ คือ ครั้งมหาภารตะ, กามนิตเกิดเป็นวีรบุรุษคนหนึ่ง ได้ผละจากนางที่ยอดรัก ขึ้นช้างศึก, ยกทัพไปสู่หัสตินาปุระเพื่อช่วยกษัตริย์ปาณฑพผู้สหายรบกับพวกเการพ. ขณะกามนิตเข้าสู่สงครามอยู่ข้างพระอรชุนและพระกฤษณ์ณทุ่งกุรุ, ได้ต่อสู้ศัตรูจนตัวตายลงในสมรภูมิในวันที่สิบแห่งมหาสงครามครั้งนั้น; ฝ่ายนางผู้ชายา ทราบว่ากามนิตถึงแก่ความตาย, ก็เข้าสู่กองเพลิงพร้อมกับนางบริวาร และนางเป็นผู้จุดกองเพลิงนั้นด้วยตนเอง.

๏ ๏ ๏

ครั้งหนึ่งทั้งสองได้เห็นตนไปเกิดอยู่ในแดนอันแปลกประหลาด มีภูมิประเทศเป็นอิกอย่างหนึ่ง, กล่าวคือ ไม่ได้ไปเกิดในแดนอันเป็นลุ่มน้ำแม่คงคาหรือยมุนา ซึ่งมีปราสาทราชมนเทียรและบ้านเมือง มีวีรบุรุษสรวมเกราะอยู่ขวักไขว่ มีพราหมณ์ที่ผึ่งผาย มีเศรษฐีและมีพวกศูทร, แต่ว่าไปเกิดอยู่ในแดนอันเป็นลำเนาไพร มีความเป็นไปแห้งแล้งอัตคัดกันดาร.

ณแดนนี้ ในฤดูร้อนแสงแดดแผดเผาจนน้ำในลำธารแห้งเหือดหญ้าตายเกรียน, ครั้นตกฤดูหนาว ก็เย็นเฉียบแทบเท่ากับตกอยู่ในหิมะ, เพราะเป็นทุ่งกว้างใหญ่โล่งโถงเปลี่ยวเปล่าใจ จะหาบ้านเมืองสักแห่งหนึ่งก็ทั้งยาก, จะมีก็แต่หมู่บ้านห่างไกลระยะกันนานๆ จะพบสักหย่อมหนึ่ง. ประชาชนที่อยู่ตามหมู่บ้านเหล่านี้ เป็นพวกเลี้ยงปศุสัตว์ มีใจดุร้ายเป็นชาตินักรบ. ถัดออกไปในราวไพรมีฝูงศุนักป่าอยู่ชุกมุม. ถัดไปอิกผู้เดิรทางไกลจะได้ยินเสียงสีห์คำราม. กามนิตซึ่งในชาตินั้นเกิดเป็นนักขับร้อง เดิรท่องเที่ยวไปในแดนต่างๆ เรียกสีห์นี้ว่าเจ้าสัตว์ร้ายเร่ร่อนดุบ้าน่ากลัวยิ่ง มีสำนักในภูเขา.

กามนิตเดิรทางเมื่อยล้ามาเป็นเวลานานจนลุหมู่บ้านแห่งหนึ่ง. ชาวบ้านเหล่านั้นไม่รู้จักกามนิต, แต่ว่ายินดีรับรอง เพราะนักขับร้องย่อมเป็นผู้ที่คนพอใจต้อนรับอยู่ทั่วไป. เครื่องมือกามนิตมีพิณขนาดเล็กสะพายบ่ามาหนึ่งคันเท่านั้น, แต่ว่าเรื่องราวตำนานต่างๆ อันเป็นมฤดกตกทอดมา ย่อมมีอยู่ในความทรงจำของกามนิตมากมาย เช่น บทบูชาพระอัคนี พระอินทร์ พระวรุณ และพระมิตรผู้เป็นเทพสมัยพระเวท, บทขับว่าด้วยสงครามและวีรบุรุษ, บทขับเรื่องรัก และเรื่องอื่นๆ อิกมาก. เมื่อมีความรู้เป็นคลังคัมภีร์สามารถขับบรรยายเรื่องให้ฟังได้มากมายดั่งนี้, ใครเล่าจะไม่ยินดีต้อนรับผู้เป็นนักขับ?

กามนิตเดิรทางไปถึงหมู่บ้าน เป็นเวลาเย็น ชาวบ้านกำลังต้อนสัตว์เลี้ยงกลับ ที่ข้างหน้าฝูงสัตว์หมู่หนึ่ง มีสาวน้อยร่างระหงเดิรตามโคเชื่องตัวหนึ่ง. เสียงกะดึงที่คอโคตัวนั้นดังเป็นจังหวะให้โคตัวอื่นเดิรตามมา, ช้าๆ นานๆ โคเชื่องตัวนั้นก็แลบลิ้นเลียมือนายสาวของมัน. กามนิตชายพเนจรปราศรัยกับสาวน้อยตามธรรมเนียม. สาวน้อยตอบรับด้วยอาการยิ้มแย้ม. ทั้งสองก็สบตากัน, มีลักษณะอาการไม่ผิดจากที่ได้เคยพบกันในสวนกรุงโกสัมพีเมื่อในชาติหลัง.

๏ ๏ ๏

พ้นชาตินั้นก็เห็นชาติที่ถัดขึ้นไป คราวนี้ไม่ใช่เกิดอยู่ในแดนแม่น้ำทั้งห้าหรือในลุ่มแม่คงคา, แต่เป็นแดนอื่นอันมีประชาชนและขนบธรรมเนียมทรามกว่าที่แล้ว.

เห็นภาพเป็นทุ่งกว้าง มีคนขี่ม้า กองเกวียน และคนเดิรมาเป็นแถวไม่ขาดสาย. ภูมิประเทศขาวสล้างด้วยหิมะ, ในอากาศมีละอองเป็นปุยขาวอยู่ทั่วไป, ภูเขาสูงตระหง่านแลถมึนทึน. ในเกวียนเทียมโคเล่มหนึ่ง มีผ้าคลุมเป็นหลังคาคล้ายกระโจม. สาวน้อยคนหนึ่งผลุนผลันชะโงกหน้าออกมานอกเกวียน เร็วจนหนังแกะที่คลุมร่างกายไว้ตกเลื่อนลงเห็นผมสยายยาวลงมาประกระทั่งอุระ, มีอาการวิตกจ้องมองและยกมือชี้ไปทางที่คนอื่นก็มองและชี้นิ้วเช่นเดียวกัน. เห็นเป็นพวกคนขี่ม้าวิ่งห้อกระบวนหนึ่งตรงมายังที่ตนอยู่, แต่สาวน้อยมองไปที่ชายหนุ่มคนหนึ่งขี่โคดำอยู่ในพวกเดียวกัน, มีอาการยิ้มเป็นเชิงไว้ใจในชายหนุ่มคนนั้น. อาการมองแห่งสาวน้อย กระทำให้ชายหนุ่มนั้นมีน้ำใจและเหิมกำลังยิ่งขึ้น, แกว่งขวานที่ถือเป็นอาวุธ ร้องเสียงดังแล้วเข้าพวก, ต้านทานศัตรูที่ขี่ม้ายกเข้ามาตีปล้น, ได้ต่อสู้จนถูกลูกธนูเหล็กของชาติตากศักะตัวปรปักษ์ ถึงแก่ความตาย.

อาศัยกลิ่นปาริชาตทำให้ระลึกชาติเหนือๆ ขึ้นไปได้ในอดีตภพนานไกล. คราวนี้เห็นตนทั้งสองเกิดเป็นกวางสองตัวผัวเมีย อยู่ในป่ากว้างใหญ่แห่งหนึ่ง อันความรักของทั้งสองในชาตินั้นเป็นไปในความรักเพียงนัยน์ตาเท่านั้น: จะแสดงกันด้วยวาจาหาได้ไม่. แต่กระนั้นความรักที่เคยมีอยู่ในชาติหลังมั่นคงเพียงใด ก็ย่อมมีอยู่ในชาตินั้นมั่นคงปานๆ กัน. กวางทั้งสองแสวงหาหญ้ากินเป็นอาหารด้วยกัน, ลุยข้ามลำธารอันใสเย็นที่ในป่าก็ด้วยกัน, เวลาพักนอนอยู่บนหญ้าอ่อนที่ขึ้นสูงระหงก็ด้วยกัน, มีความสุขร่าเริง หรือตกใจหวาดต่อภัยอันตราย เมื่อได้ยินเสียงแกรกกรากก็ด้วยกัน, เป็นดั่งนี้มาช้านานหลายปี. จนวันหนึ่งถึงคราวจะต้องพรากจากกันไป, นางกวางเข้าไปติดข่ายนายพราน, กวางผัวพยายามเอาเท้าเขี่ยเพื่อให้ข่ายหลุด: พยายามแล้วพยายามเล่าไม่สำเร็จผล. จนนายพรานมา, กวางผัวก็มิได้หวาดกลัว เข้าเผชิญหน้าก้มศีรษะลงจะขวิด. แต่ในไม่ช้าก็ต้องหอกของนายพราน ถึงแก่ความตายไปทั้งคู่.

๏ ๏ ๏

ถัดขึ้นไปอิก ทั้งสองเกิดเป็นนกอินทรีผัวเมีย มีรังอยู่บนยอดเขาอันสูงตระหง่านแสนกันดารยากที่ใครๆ จะขึ้นถึง. เมื่อมองลงมาจากที่นั้น จะเห็นเป็นเหวลึกลงมา. นกทั้งสองได้ร่อนเร่ไปในอากาศด้วยความบันเทิงใจจนจวบกาลอายุขัย.

๏ ๏ ๏

ทั้งสอง อาศัยอำนาจแห่งกลิ่นดอกปาริชาต ได้เห็นเหตุการณ์ต่างๆ ที่มีอยู่แก่ตนในภพที่แล้วมาอเนกชาติ, บังเกิดความเบิกบานสำราญใจ พร้อมด้วยความพิศวงไม่น้อย. แล้ววาสิฏฐีจึ่งพูดว่า “เราทั้งสองนี้มีอายุไม่น้อยไปกว่าอายุของโลก”

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ