สี่สิบ ในสุมทุมพุ่มไม้พระกฤษณ์

นับแต่เย็นวันแรกที่ได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ฉันไม่ละเลยที่จะไปยังเทวสถานพระกฤษณ์, ยิ่งได้ฟังพระธรรม ซึ่งพระองค์เทศนาโปรด หรือพระสาวกองค์ใดองค์หนึ่งแสดง ความเลื่อมใสก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น.

ระวางที่สามีฉันไม่อยู่ ความที่ประชาชนในกรุงโกสัมพีหวาดสะดุ้งกลัวองคุลิมาลจอมโจรก็ยิ่งทวีขึ้น. เมื่อไม่ได้ข่าวคราวองคุลิมาลว่าได้ไปปล้นสะดมขึ้นใหม่ที่ไหนแล้ว, ประชาชนก็ปรับทุกข์กันจ้อกแจ้กคิดไปต่าง ๆ นานา. ขณะนี้มีข่าวกระจายมาว่า องคุลิมาลจะไปปล้นที่สุมทุมพุ่มไม้พระกฤษณ์ในเย็นวันหนึ่ง ต้องการจับเอาคนสำคัญที่ไปชุมนุมกันรวมทั้งพระพุทธเจ้าด้วย. ถึงตอนนี้ราษฎรตื่นเต้นตกใจเป็นอลหม่าน, ต่างเป็นทุกข์ร้อนอย่างยิ่งว่า ถ้ามีเหตุภัยอะไรขึ้นแก่พระพุทธเจ้า ปล่อยให้โจรใจทมิฬเข้าไปทำร้ายถึงบริเวณใกล้ประตูเมืองได้แล้ว, เทวดาจะพิโรธลงโทษคนในกรุงวินาศหมด.

ประชาชนเป็นจำนวนมาก พากันไปอออยู่ที่ลานหญ้าหน้าพระราชวัง ร้องทุกข์ขอให้พระเจ้าอุเทน ทรงบำบัดเหตุร้ายนี้ให้จงได้ และกำจัดองคุลิมาลอย่าให้มีความเดือดร้อนอุกฉกรรจ์อิกต่อไป.

ในวันรุ่งขึ้นสาตาเคียรกลับมา. พอถึงก็ยกบุณย์ยอคุณฉันเสียขนานใหญ่ ว่าได้รับคำแนะนำอย่างวิเศษจากฉัน เขาจึ่งพ้นภัยอันตรายมาถึงบ้านได้โดยสวัสดี. นางวชิราภริยาคนที่สองอุ้มบุตรชายน้อยมาต้อนรับ, แต่สาตาเคียรพูดด้วยสองสามคำ บอกว่ามีธุระสำคัญที่จะต้องพูดกับฉัน.

ครั้นอยู่ด้วยกันสองต่อสอง สาตาเคียรก็เริ่มพูดถึงความรักความใคร่อิก ซึ่งกลับทำให้ฉันรำคาญขยะแขยงใจ, ได้บอกว่าตั้งแต่จากไปให้คิดถึงตลอดทาง พอกลับมาเห็นหน้าก็แสนจะปลื้มใจที่ได้อยู่ร่วมกันอิก

กำลังฉันจะบอกข่าวที่เกิดตื่นเต้นขึ้นในกรุงเพื่อให้เขาเปลี่ยนเรื่องพูด, ก็พอดีคนใช้นำจางวางมหาดเล็กเข้ามาหา บอกว่าพระเจ้าแผ่นดินมีโองการให้เข้าไปเฝ้าเดี๋ยวนี้.

ล่วงมาสักชั่วโมง สาตาเคียรกลับ มีอาการกิริยาเป็นคนละคน: หน้าซีดบูดบึ้งเข้ามาหาฉัน กระแทกตัวลงบนเก้าอี้ตัวต่ำ ถอนใจใหญ่คร่ำครวญว่า เขาเป็นคนมีทุกข์ร้อนที่สุดในกรุงโกสัมพี คือ จะต้องพลัดตกจากตำแหน่งสูงลงไปเป็นยาจก, หรือยิ่งไปกว่านั้น จะต้องโทษขังคุกเข้าเครื่องจองจำ, หรือไม่เช่นนั้นก็ถูกเนรเทศ. และต้นเหตุที่จะเป็นขึ้นทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพราะเคราะห์กรรมที่มีความรักใคร่ปานชีวิตในส่วนตัวฉัน, แต่ฉันมิได้ตอบแทนความรักเขาแม้สักน้อย.

ฉันวิงวอนให้เขาเล่าเหตุการณ์ เป็นหลายครั้งหลายหน, จนเขาสงบสติอารมณ์ลงบ้างแล้ว จึงได้เล่าเรื่องที่ไปเฝ้า, พูดพลางแสดงอาการโทรมนัสย์เสียใจเช็ดเหงื่อที่ไหลเยิ้มหน้าผากไม่หยุดมือ.

เรื่องเป็นดั่งนี้ พอไปถึงและเข้าเฝ้า พระเจ้าแผ่นดินมิได้ทรงต้อนรับตามเคย แม้แต่เรื่องที่ไปชำระสะสางคดีที่หมู่บ้านวิวาทกัน ก็ไม่ทรงฟัง, เริ่มขึ้นก็ตรัสให้สาตาเคียรรับสารภาพเรื่ององคุลิมาลตามสัตย์จริง มิฉะนั้นจะลงราชอาญาอย่างหนัก สาตาเคียรเข้าตาจนต้องกราบทูลตามความจริงโดยชื่นตา. ซ้ำมาสารภาพรับผิดต่อฉันด้วย โดยไม่สำคัญคิดแม้นิดหนึ่ง ว่าฉันทราบมาดีแล้ว. ลงท้ายบอกว่า ที่ทำไปแล้วทั้งนี้ ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นความรักของเขาว่ามีอยู่แก่ฉันล้นเหลือเพียงไร, แล้วพูดข่มความรักที่ฉันมีอยู่ในเธอว่าเป็นความรักเพียงหนุ่มสาวที่กำลังแรง ย่อมเป็นไปชั่วแล่นเท่านั้น.

เหตุที่เรื่องจะไปทรงทราบถึงพระเนตรพระกรรณพระเจ้าอุเทน เป็นดั่งนี้:

ระวางเวลาที่สาตาเคียรไม่อยู่ในกรุง, เจ้าหน้าที่ตำรวจจับพรรคพวกองคุลิมาลได้คนหนึ่ง. เมื่อได้ไต่สวนปากคำกันอย่างถี่ถ้วน, จึ่งได้ความแน่ว่าโจรที่ให้เกิดตื่นเต้นกันอยู่นี้ คือองคุลิมาลนั่นเอง. ความจริงองคุลิมาลไม่ได้ถูกทรมานตาย อย่างที่ประธานมนตรี คือสาตาเคียรเพ็ดทูลไว้ แต่ทว่าหนีไปได้. กับยังได้สารภาพตลอดถึงข่าวที่ทราบว่าองคุลิมาลดำริจะไปปล้นเทวาลัยพระกฤษณ์. พระเจ้าอุเทนทรงทราบความจริง ก็ทรงพิโรธเป็นที่สุด เพราะสาตาเคียรจงใจปล่อยให้ผู้ร้ายสำคัญหนีไปได้เป็นข้อที่หนึ่ง, แล้วตั้งใจหลอกลวงคนทั้งกรุง ตลอดจนพระเจ้าแผ่นดิน โดยเอาศีรษะปลอมไปเสียบแทน ว่าเป็นศีรษะองคุลิมาล เป็นประการที่สอง. พระองค์ไม่ทรงฟังคำแก้ตัวอย่างไรหมด, นอกจากฆาฏโทษว่า ถ้าภายในสามวันไม่กำจัดองคุลิมาลได้ ดั่งประชาชนต้องการ, สาตาเคียรเป็นต้องได้รับความไม่พอพระหฤทัยอย่างยิ่ง อันเป็นผลที่จะมาสู่ตนอย่างอุตกฤษฏ์.

เมื่อสาตาเคียรเล่าเรื่องให้ฟังแล้ว, ก็ตีอกชกหัวตัวร้องให้คล้ายคนไม่มีสติ.

ฉันจึ่งพูดว่า “ขอให้ระงับทุกข์ร้อนเสียเถิด. ถ้าทำตามฉันบอก, อย่าว่าแต่สามวันเลย, เพียงพรุ่งนี้เท่านั้น ก็จะกลับเป็นผู้ที่พระเจ้าแผ่นดินโปรดปราณอิก และจะมีโชคลาภดียิ่งขึ้นไปกว่าเก่าด้วย.”

สาตาเคียรเผยอตัวขึ้นนั่งตรง จ้องมองดูฉัน คล้ายกับได้เห็นอะไรแปลกผิดปกติ, รีบถามว่า.

“ที่ว่าจะแนะนำนั้น คือให้ทำอย่างไร?”

“ขอให้เธอกลับไปเฝ้า ทูลเชิญเสด็จไปยังป่าประดู่ลายที่อยู่พ้นประตูเมืองให้จงได้. เมื่อไปถึงแล้ว ให้เสด็จเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่เทวาลัยโบราณ แล้วทูลถามขอพระอนุเคราะห์จากพระพุทธองค์. ส่วนอะไร ๆ นอกนั้นก็จะเป็นไปตามเรื่องเอง.”

“หล่อนเป็นหญิงที่มีปัญญามาก. จะอย่างไรก็ตาม คำแนะนำของหล่อนนับว่าประเสริฐอย่างยิ่ง. เพราะพระพุทธเจ้า เขาลือกันว่าเป็นผู้ทรงพระปัญญายอดเยี่ยมกว่ามนุษย์ทั้งหลาย. ถึงจะไม่ได้ผลอะไร ก็น่าจะลองดู.”

“สำหรับผลที่จะได้ ขอรับรองด้วยเกียรติยศของฉัน.”

สาตาเคียรลุกขึ้นจับมือฉัน พลางพูดว่า “วาสิฏฐี, ฉันเชื่อหล่อน: มีอย่างที่ไหนจะไม่เชื่อ? หล่อนเป็นหญิงวิเศษแท้ ๆ. เดี๋ยวนี้ ฉันมารู้สึกว่าเดิมฉันเข้าใจผิดถนัด เพราะเวลานั้นยังหนุ่มมีความคิดน้อย. แต่ก็เป็นด้วยบุพเพสันนิวาส ที่จำเพาะเจาะจงเลือกเธอในหมู่นางงามของกรุงโกสัมพี. ถึงว่าเธอไม่สู้มีมิตรจิตต์แก่ฉัน, ที่ฉันจะเหิรห่างจากความรักในตัวเธอต่อไปเป็นไม่มีอีกแล้ว.”

อาการกิริยาที่เขาแสดงความชมเชย ให้ออกรำคาญ เกือบนึกเสียใจที่ไม่ควรจะแนะนำให้อย่างนี้. แต่ถ้อยคำที่เขาพูดต่อไป ทำให้ฉันค่อยโล่งใจ เพราะเขาแสดงความขอบคุณไม่มีที่สิ้นสุด จะขออะไรเป็นยอมให้ทั้งนั้น. เพื่อพิสูจน์วาจาที่พูดนี้. ฉันจึ่งพูดว่า “ฉันมีสิ่งที่จะขออยู่อย่างหนึ่ง ถ้าให้, ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ความขอบคุณได้เพียงพอ.”

“บอกมาเดี๋ยวนี้ได้. ถึงจะขอร้องให้ส่งวชิรากับลูกชายกลับไปอยู่บ้านเดิมของเขา ก็ยินดียอมทำตามทันที.”

“ฉันขอสิ่งที่เป็นธรรม, หาใช่อย่างโหดเหี้ยมไม่. แต่ฉันอยากขอต่อเมื่อคำแนะนำของฉันสำเร็จผลได้แน่นอนโดยบริบูรณ์แล้ว. เธอควรจะรีบไปเฝ้าทูลเชิญเสด็จพระราชดำเนิรเสียเดี๋ยวนี้เถิด.”

เขาออกไปไม่ช้าก็กลับมา มีสีหน้ายิ้มแย้ม, บอกว่า “พระเจ้าแผ่นดินเต็มพระหฤทัย เสด็จพระราชดำเนิร โดยมีรับสั่งว่า ถ้าคำแนะนำนี้ไม่ใช่ออกจากหล่อน ก็ไม่ยอมเสด็จเป็นอันขาด. แต่พระองค์ทรงพระกรุณาหล่อน ทรงเชื่อถือในสติปัญญาของหล่อน, จึ่งโปรดเสด็จตามที่แนะนำ. นับว่าฉันมีภริยาที่น่าปลื้มน่ายินดีมีเกียรติยศแท้ ๆ.”

ถ้อยคำเหล่านี้ และถ้อยอื่นๆ ในชะนิดเดียวกัน ที่สาตาเคียรสรรเอามากล่าวในเวลาปลื้มใจมากมายดูเหมือนไม่รู้จักหมด แต่ว่าเป็นถ้อยคำที่ยั่วให้ฉันเคียดแค้นเสียจริง ๆ ถ้าไม่มีความมุ่งหมายในใจที่คิดไว้, ก็เห็นจะเดือดดาลยิ่งกว่านี้. แล้วเราพากันไปในพระราชวัง, ซึ่งในขณะนั้นเจ้าหน้าที่เตรียมการเสด็จพระราชดำเนิรไว้พร้อมสรรพแล้ว.

พอแสงแดดอ่อนลงบ้าง พระเจ้าอุเทนเสด็จขึ้นนางพญาภัทรวติกา พระกริณีคชาธารตัวลือชื่อ. ช้างทรงนี้มีอายุมากแล้ว, จึ่งใช้แต่ในคราวมีงานสำคัญ. ฝ่ายเราพร้อมด้วยจางวางมหาดเล็กขุนคลังขุนเสนาและมุขมนตรีชั้นผู้ใหญ่นั่งเกวียนตามเสด็จมาในกลางกระบวน มีขุนอัสสดรนำกองอัศวานึกตามเสด็จทั้งหน้าและท้ายกระบวน กองละสองร้อย.

ถึงราวป่าอุปจารเทวาลัย โปรดให้หยุดกระบวนแล้วเสด็จลงจากช้างพระที่นั่ง, ส่วนพวกที่ตามเสด็จลงจากเกวียน. พระเจ้าอุเทนทรงดำเนิรด้วยพระบาทไปสู่เทวาลัยพระกฤษณ์ ซึ่งพระพุทธเจ้าประทับคอยรับเสด็จอยู่ เพราะมีผู้ทูลทรงทราบล่วงหน้าไว้แล้ว.

พระผู้มีพระภาคเจ้าโดยที่ใด, พระเจ้าอุเทนเสด็จเข้าไปใกล้โดยที่นั้น, ครั้นเข้าไปใกล้แล้ว ทรงอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสัมโมทนียกถากะพระเจ้าอุเทนผู้ประทับนั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง แล้วตรัสถามว่า “ดูก่อนมหาราช, พระองค์เสด็จมาด้วยพระธุระสำคัญอะไร, หรือว่าพระเจ้ากรุงพาราณสีหรือเจ้าสามนตประเทศ กรีธาทัพมาเพื่อพระราชสงคราม?”

พระเจ้าอุเทน- “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า, พระเจ้ากรุงพาราณสี หรือเจ้าสามนตประเทศ มิได้ยกรี้พลมารบกวน. แต่บัดนี้ มีมหาโจรในดินแดนข้าพเจ้าอยู่คนหนึ่ง ชื่อองคุลิมาลเป็นอ้ายเสือดุร้ายหยาบช้าทารุณฆ่าผู้ฟันคนไม่เลือกหน้า ปล้นสะดมเผาผลาญบ้านช่องอาณาประชาราษฎร ทำให้รกร้างพินาศอยู่ทั่วไป; ได้ฆ่าคนตัดเอานิ้วแม่มือร้อยเป็นมาลาสวมคอ. ด้วยสันดานทารุณของมัน มันกำลังกะการย์จะมาปล้นที่นี้ แล้วจับพระองค์และพระสาวกไป. ประชาชนพลเมืองตกใจกันอลหม่าน ไปร้องทุกข์ข้าพเจ้าถึงหน้าพระลานหลวง แทบจะถล่มทะลายพระราชวัง คาดคั้นให้กำจัดองคุลิมาลเสียจงได้. ต่อข้าพเจ้ารับปากคำแล้ว, จึ่งกระจายกลับกันโดยสงบ. ที่ข้าพเจ้ามาเฝ้าก็เพราะเรื่องนี้.”

“ดูก่อนมหาราช, หากพระองค์ทอดพระเนตรเห็นองคุลิมาล ปลงผมและหนวด นุ่งห่มกาสาวพัสตร์ ละเลิกการฆ่าฟันปล้นสะดมได้เด็ดขาด ถือมักน้อยบริโภคอาหารแต่มื้อเดียว ประพฤติอยู่ในทางที่ชอบ มุ่งแต่ทางบุณย์กุศล ดั่งนี้, พระองค์จะทรงทำประการไร?”

“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค, ข้าพเจ้าจะทำการเคารพนับถือเธอ ลุกขึ้นต้อนรับ, นิมนต์ให้เธอนั่ง; แล้วถวายปัจจัยอันควรแก่สมณบริโภค, จัดหาที่อยู่อาศัย ป้องกันภัยที่จะมีมาสู่เธอ. ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า, ไฉนบุุทคลผู้ที่มีใจทมิฬหินชาติ จะกลับเป็นคนเรียบร้อยเห็นแก่ธรรมได้เล่า?”

ขณะนั้น องคุลิมาลซึ่งมีผู้เกรงกลัวกันมาก นั่งเฝ้าอยู่ไม่สู้ห่างจากพระพุทธเจ้านัก. พระพุทธเจ้ายกพระหัตถ์ขวาทรงชี้ไปที่องคุลิมาล, แล้วตรัสบอกพระเจ้าอุเทนว่า-

“บพิตร, นี่คือ องคุลิมาล.”

ทันใดนั้น พระเจ้าอุเทนแลตะลึงตกพระทัยกลัวจนพระพักตร์เผือด. แต่ที่ตกใจยิ่งกว่าพระเจ้าอุเทนหลายเท่า คือ สาตาเคียร, ลูกตาถลนคล้ายจะปะทุออกมา ผมลุกชันเหงื่อไหลอาบหน้าผากไม่ขาดสาย, ร้องออกมาว่า “ตายจริง! องคุลิมาลแน่เสียด้วย. เคราะห์ร้ายเหลือประมาณ ที่พาเสด็จมาให้ตกในอำนาจมัน.”

สาตาเคียร ร้องพลางตัวสั่นเทิ้มหนักขึ้นทุกที เพราะเข้าใจว่าตกเข้าในเงื้อมมือศัตรูตัวฉกาจแล้ว. และพูดต่อไปว่า “อ้ายคนชั่วช้าแสนอุบาทว์นี้ มันลวงเราหมดทุกคนจนกะทั่งพระพุทธเจ้า และภริยาข้าพระเจ้า ซึ่งเป็นคนเชื่อง่ายตามนิสสัยผู้หญิง ตกลงเราทั้งโขยงพากันไหลเข้ามาหากับที่มันดักเอาไว้เอง.”

สาตาเคียรมองกวาดไปรอบๆบริเวณ คล้ายกับตรวจเห็นพวกโจรซุ่มซ่อนอยู่ตามต้นไม้ตั้งครึ่งค่อนโหล ปากสั่นมือสั่น ทูลพระเจ้าอุเทนให้รีบเสด็จหนีโจรภัยไปเสียทันที.

ทันใดนั้น ฉันเข้าไป จับตัวสาตาเคียรสั่นและพูดว่า-

“ขอให้เธอสงบสติอารมณ์เถิด. ฉันอาจแสดงให้เห็นได้ว่า ไม่มีการดักกับหรืออันตรายอย่างไรขึ้นเลย.”

แล้วฉันก็เล่าเรื่องที่องคุลิมาลกับฉันเคยปรึกษาหารือกันจะฆ่าสาตาเคียร, แต่ความคิดนั้นเป็นอันล้มเลิกไป เพราะด้วยคู่คิดของฉันกลับใจในเวลาหวุดหวิด.

เมื่อสาตาเคียรได้ทราบเรื่องว่าตนจักแหล่นถึงความตาย ก็เป็นลมแทบล้มพับถึงกับเกาะแขนจางวางมหาดเล็กไว้แน่น.

ฉันกราบลงฉะเพาะพระเจ้าแผ่นดิน ทูลขออภัยโทษสามีในความผิดที่พลาดมาแล้ว ดั่งที่ฉันเคยยกโทษมาแล้ว, และกราบทูลชี้แจงต่อไปว่า ทั้งนี้เป็นเพราะสามีถูกความโง่เขลาเบาปัญญาเข้าครอบงำไม่รู้สึกตนว่าได้ทำความชั่วร้ายอะไรไว้. แต่ว่าเป็นผลดีอยู่ประการหนึ่ง ที่โจรใจร้ายไม่ต้องถูกประหาร แต่กลับเป็นผู้สำเร็จขึ้น

เมื่อพระเจ้าอุเทนประทานอภัยแก่สามีฉัน และทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเดิม, ฉันก็หันมาพูดกะสาตาเคียร ว่า-

“ฉันได้จัดทำไปตามสัญญาแล้ว, เพราะฉะนั้นขอให้เธอทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้แก่ฉันบ้าง: คือฉันขออนุญาตออกบรรพชาเป็นภิกษุณีในพระศาสนา.”

สาตาเคียรจำให้อนุญาตด้วยอาการก้มศีรษะดุษณี เพราะที่จริงเขาจะปฏิเสธเป็นอย่างอื่นหาได้ไม่.

ครั้นแล้วพระเจ้าอุเทน ซึ่งในบัดนี้ทรงแน่พระหฤทัยว่าไม่มีเหตุเภทภัยอะไรแล้ว ก็เสด็จเข้าไปหาองคุลิมาล, ตรัสประทานอภัยและอารักขา แก่องคุลิมาล, แล้วเสด็จเข้าไปถวายอภิวาทแทบเบื้องบาทพระพุทธเจ้า กราบทูลว่า-

“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค, เป็นการมหัศจรรย์น่าพิศวงนักหนา ที่พระองค์ทรงฝึกผู้ไม่น่าเชื่องให้เชื่องได้. เพราะองคุลิมาลนี้ ข้าพเจ้าไม่สามารถบำราบได้ด้วยทัณฑกรรม, แต่พระองค์ทรงบำราบเสียได้โดยไม่ต้องใช้ทัณฑกรรมอย่างไร. ข้าพเจ้าขออุททิศสถานที่นี้ อันมีความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นถึงสามครั้ง ให้เป็นสำนักที่บำเพ็ญพรหมจรรย์ของพระภิกษุสงฆ์แต่วันนี้เป็นต้นไป. อิกประการหนึ่ง ข้าพเจ้าขอประทานพุทธานุญาตจัดสร้างสถานสังฆนิวาสขึ้นในที่นี้ เพื่อประโยชน์แห่งพระภิกษุและภิกษุณี.”

พระพุทธเจ้าทรงอนุโมทนาราชบรรณาการนี้. พระเจ้าอุเทนกราบทูลลา เสด็จคืนสู่พระราชวังพร้อมด้วยราชบริพาร. ส่วนตัวฉันคงอยู่ต่อไปในที่นั้น ณภิกษุณีอุปัสสัย, และในวันรุ่งขึ้น ก็ถวายตนบรรพชาทีเดียว.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ