ยี่สิบห้า บัวบาน

ทันใดนั้น กามนิต รู้สึกดูเหมือนว่ามีชีวิตินทรีย์อย่างหนึ่ง เคลื่อนไหวอยู่ใต้พื้นสระ มองดูน้ำใสปานแก้ว เห็นอะไรเป็นเงาๆ ขยับเขยื้อน น้ำเดือดพล่านพลุ่งเป็นฟองปุดโตๆ. ปรากฏดอกบัวแดงขนาดใหญ่ พุ่งสูงลอยอยู่เหนือน้ำ ดั่งว่าปลาผุดแล้วกะโดดขึ้นมาว่ายลอยอยู่. ที่ผิวน้ำเป็นลูกคลื่นขึ้นลง ขยายปริมณฑลแผ่กว้างออกไปทุกที แล้วก็สงบคงเคลื่อนไหวเพียงริ้วๆ เป็นแสงแวววาวราวกับน้ำเพ็ชร, ฉายเอาเงาแห่งดอกบัวเสื้อผ้าและวงพักตร์ขอผู้เสวยสุขลงไปเป็นรูปจำลองเห็นวาบๆ แวมๆ.

ส่วนกามนิตเองก็ให้มีใจตื่นเต้นวับๆ วาบๆ ราวกับจะได้พบปีติสุขของวิเศษ, ได้หันไปถามเทวดาเครื่องน้ำเงินที่อยู่ใกล้ว่า “นี่เกิดอะไรกัน?”

“ลึกลงไปข้างล่าง ในมนุษยโลกอันมืดครึ้ม มีมนุษย์ผู้หนึ่งตั้งจิตต์ปรารถนามุ่งมาเกิดในแดนสุขาวดีที่นี่อิก. เราควรคอยดูว่าดอกบัวนั้น จะงามดีอยู่จนกะทั่งบานบริบูรณ์หรือไม่. เพราะมีมนุษย์หลายคน ที่มุ่งแดนบรมสุขอันบริศุทธิ์นี้ แต่มิสามารถจะอยู่ได้ดั่งปรารถนา, ซ้ำตรงกันข้าม เข้าไปติดอยู่ในบ่วงตัณหาความร่านกระหายซึ่งถอนไม่ออก ตกเป็นเหยื่อในกามคุณ มีกิเลสมนทินเครื่องเศร้าหมองในโลกร้อยรัดไว้ เป็นเช่นนี้แล้ว ดอกบัวนั้นย่อมเหี่ยวไปในที่สุดก็อันตรธาน. ครั้งนี้ตามที่ท่านเห็นอยู่ เป็นวิญญาณผู้ชายจะถือปฏิสนธิ. แต่วิญญาณของเพศนี้ มักจะมาปฏิสนธิในทางสวรรค์ได้น้อย เพราะเมื่อมีชีวิตอยู่ในโลก มักประพฤติตนไปในทางอบายมุขทุจจริตล่วงเบ็ญจเวรเป็นอาทิ เหตุผลในข้อนี้ มีอยู่ที่จำนวนผู้ทรงเครื่องขาวและแดง ซึ่งท่านจะสังเกตเห็นได้ว่า แม้มีจำนวนไล่เลี่ยกัน, แต่ในหมู่ผู้ทรงเครื่องสีน้ำเงินอ่อนนั้น จำนวนผู้หญิงมากกว่าจำนวนผู้ชายหลายเท่านัก.”

กามนิตได้ฟังคำอธิบายอย่างนี้ รู้สึกใจสั่นผิดปกติ ดูประหนึ่งว่าความสุขและความทุกข์เข้ามาระดมกัน, ตาเพ่งดูดอกบัวซึ่งยังไม่ได้บาน คล้ายกับจะตีข้อปริศนาอะไรฉะนั้น, แล้วถามว่า “เมื่อดอกบัวตูมที่ข้าพเจ้าถือปฏิสนธิ กำลังโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำในครั้งแรก, ท่านจำได้หรือไม่ว่ามีอาการอย่างไรบ้าง?”

“จำได้ดี เพราะโผล่ขึ้นพร้อมกับดอกขาวซึ่งท่านกำลังเหม่อมองอยู่เดี๋ยวนี้. ข้าพเจ้าได้เฝ้าดูดอกบัวคู่นี้ตลอดมา บางครั้งก็ให้มีใจหวั่นๆ. เพราะเมื่อดอกบัวของท่านโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ ในไม่ช้ามีอาการเหี่ยว แทบว่าจะกลับจมลงไปอิก, แต่ครั้นแล้วกลับฟื้นขึ้น คราวนี้สดใสดีกว่าคราวแรก, แล้วเจริญขึ้นเป็นลำดับจนบานอย่างงดงาม. ส่วนดอกขาวนั้นเจริญช้า ค่อยเจริญทีละน้อย, พอจวนจะถึงเวลาบาน ก็เหี่ยวลงคล้ายถูกหนอนบ่อนไส้, แต่แล้วก็กลับฟื้นขึ้นโดยเร็ว และบานงามดั่งที่ท่านเห็นอยู่ต่อหน้าบัดนี้.”

กามนิตได้ฟังดั่งนี้ บังเกิดปีติซาบซ่าน ดูเหมือนว่าแต่เดิมมาตนได้อยู่ในที่อันเต็มไปด้วยทุกข์ ครั้นหลุดมาบัดนี้มีความเบิกบานเฟื่องฟูใจอยู่รอบข้าง. เมื่อเพ่งมองดอกบัวขาวซึ่งกำลังขยายกลีบออกทุกที จนกลีบนอกห้อลงมาเรี่ยน้ำ บานแผ่แลดูงดงามอยู่รอบด้าน, ขณะนั้น ได้เห็นรูปวาสิฏฐีสถิตอยู่กลางดอกบัว ดวงตาลืมโต มีวงหน้าอันเปล่งปลั่งยิ้มแย้มน่ารัก ชะม้ายตามาประสพตากามนิต.

ในเวลาเดียวนั้น กามนิตและวาสิฏฐีก็กางมือเข้าหากัน, แล้วจูงมือพากันเลื่อนลอยออกจากแดนสระไปสู่ฝั่ง.

กามนิตสังเกตเห็นวาสิฏฐีว่ายังระลึกความหลังจำตนไม่ได้, ที่หันมาหาตนก็มาทั้งไม่รู้สึกตัว เท่ากับดอกทานตะวันที่หันหาดวงตะวันฉะนั้น. วาสิฏฐีจะจำได้อย่างไร เพราะผู้ถือปฏิสนธิในแดนนี้ เมื่อมีความรู้สึกในครั้งแรก ที่จะระลึกจำความหลังได้ทันทีนั้นไม่ได้. ถึงแม้จะเห็นหน้ากัน ก็ระลึกได้รางๆจับไม่ได้มั่น เพียงแต่เลือนๆ แล้วก็หายไป คล้ายกับที่กามนิตเองได้ยินพูดถึงแม่คงคาสวรรค์ในครั้งแรก.

กามนิตชี้ให้วาสิฏฐีดูแม่น้ำที่เห็นสกาววาวและไหลลงสู่สระอย่างเงียบๆ-

“อันน้ำขาวดั่งเงินยวงของแม่คงคาสวรรค์นี้ ย่อมหล่อเลี้ยงสระต่างๆ ซึ่งอยู่ในแดนอันบรมสุขนี้”

“คงคาสวรรค์” วาสิฏฐีออกอุทานดั่งนี้ เป็นทีว่าจะซักถาม, แต่แล้วก็เอามือแตะหน้าผากนิ่งอึ้ง.

“เราพากันไปที่ต้นปาริชาตเถิด.”

“แต่สุมทุมพุ่มไม้ที่ตรงนั้นงดงามมาก เขากำลังมีการเล่นรื่นเริงกันอยู่;” วาสิฏฐีชี้ไปเสียอิกทางหนึ่ง.

“แล้วค่อยไปที่นั้นทีหลังก็ได้. ในชั้นแรกเราควรจะไปที่ต้นปาริชาต เพื่อจะได้สูดกลิ่นหอมอันแปลกประหลาดให้ชุ่มชื่นใจเสียก่อน.”

วาสิฏฐียอมไปโดยดี คล้ายกับเด็กที่ผู้ใหญ่ให้สัญญาว่าจะให้ตุ๊กตาอย่างใหม่ ในเมื่อยังไม่ต้องการให้ไปเข้าฝูงเล่น. ขณะกลิ่นหอมเลื่อนลอยมา, ดวงหน้าวาสิฏฐี อิ่มเอมยิ่งขึ้นทุกที.

กำลังพากันมาถึงหัวเลี้ยวซอกเขา, วาสิฏฐีถามว่า “นี่ท่านจะพาไปไหน ไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นใจเหมือนคราวนี้เลย เมื่อก่อนๆ นี้ก็เคยตื่นเต้นใจอยู่บ่อยๆ ได้เห็นท่านยิ้มทำให้ระลึกความหลังได้เงาๆ คล้ายกับเมื่อตื่นขึ้นในทีแรก นี่เห็นจะไปผิดทางเสียแล้วกระมัง เพราะดูเหมือนจะไม่มีทางไปได้ต่อไป?”

กามนิตยิ้ม “ไปได้ ไปได้อิกไกล, วาสิฏฐียอดที่รัก. บางทีความที่พูดเมื่อกี้นี้จะระลึกขึ้นได้กระมังในเวลานี้?”

พอพูดขาดคำ ก็มาถึงหุบเขากว้างท่ามกลางหินผา. มีต้นปาริชาติสีแดง และท้องฟ้าเขียวเป็นสีน้ำเงินแก่. ครั้นแล้วก็ได้กลิ่นหอมตลบอบอวนอยู่รอบตัววาสิฏฐี

วาสิฏฐีเอามือกดทรวงอก คล้ายกับจะผ่อนลมปราณที่หัวใจเต้นแรง ดวงหน้าเปลี่ยนจากปกติอย่างรวดเร็ว. กามนิตสังเกตเห็นว่า ถึงคราวที่นางจะระลึกความหลังในชาติก่อนๆ อยู่แล้ว.

ทันใดนั้น นางยกแขนขึ้น และโผตัวลงแนบอุระกามนิต, ปากก็พูดว่า “กามนิตยอดที่รัก.”

แล้วกามนิตก็ประคองวาสิฏฐี กลับไปทางซอกเขาโดยเร็ว.

ครั้นมาถึงทุ่งกว้างที่ร่มรื่น มีฝูงเนื้อทรายโลดเต้น, แต่จะหามนุษย์สักคนเดียว เพื่อทำลายความวิเวกก็ไม่มี. ทั้งสองลอยลงหาที่พักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่.

วาสิฏฐี เริ่มพูดขึ้นก่อนว่า “กามนิตยอดรัก, น่าสงสารเธอจริงที่ได้รับทุกข์มาแล้ว ครั้งที่ได้ทราบว่า ฉันตกไปเป็นภริยาสาตาเคียร. เธอจะรู้สึกคิดเห็นเป็นอย่างไรบ้าง?”

กามนิตเล่าให้วาสิฏฐีฟังว่า เรื่องที่นางตกไปเป็นภริยาสาตาเคียรนั้น ไม่ใช่ทราบจากคำบอกเล่า, แท้จริงได้ไปเห็นด้วยตาเองที่ในถนนกรุงโกสัมพี. ขณะกระบวนแห่ผ่านมา ได้เห็นดวงหน้าวาสิฏฐีมีแต่ทุกข์แสนสาหัส กระทำให้รู้สึกเชื่อแน่ว่า วาสิฏฐีคงยอมตามเพราะถูกผู้ใหญ่บังคับไม่สามารถจะขัดได้.

วาสิฏฐีพูดว่า “ถ้าฉันไม่ถูกหลอกโดยได้รับหลักฐานเป็นพะยานแน่นแฟ้นบังคับให้ต้องเชื่อ ว่าเธอได้ถึงแก่ความตายเสียแล้ว, ก็เป็นไม่ยอมให้ใครในโลกบังคับได้.”

ครั้นแล้ว วาสิฏฐี เริ่มย้อนเล่าเรื่องความหลัง.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ