สี่สิบเอ็ด โอวาทอย่างง่ายๆ

บัดนี้ ฉันเป็นภิกษุณีในพระพุทธศาสนาแล้ว. เช้าตรู่ไปบิณฑบาตในกรุงโกสัมพี แวะบ้านนี้ไปบ้านนั้นจนได้อาหารพอเยียวยา. อันที่จริงสาตาเคียรยินดีอยากจะจัดอาหารส่ง จะได้ไม่ต้องเดิรบิณฑบาตให้ลำบาก.

เช้าวันหนึ่ง ฉันยืนคอยรับบิณฑบาตอยู่ที่หน้าบ้านสาตาเคียร เพื่อปฏิบัติตามคำแนะนำของภิกษุณีที่เจริญพรรษา ต้องการจะให้ฉันอดทน. ขณะนั้น สาตาเคียรโผล่ออกมาตรงประตูใหญ่ มองเห็นฉันแล้วก็ชะงักแล้วหลบหน้า มีอาการเศร้าๆ. สักครู่หนึ่ง คนใช้ดูแลบ้านออกมา มีอาการร้องไห้, และขอร้องว่าจะส่งเครื่องอาหารการบริโภคทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการทุกวัน ไปยังสำนัก ไม่ต้องลำบากมาทุกเช้า. แต่ฉันปฏิเสธบอกว่า จะต้องทำตามวัตรปฏิบัติที่มีพุทธานุญาตไว้.

เมื่อฉันกลับจากบิณฑบาตและเสร็จภัตตกิจเรียบร้อยแล้ว ก็ศึกษาพระธรรมวินัย ณสำนักภิกษุณีผู้แก่พรรษา. ถึงเวลาเย็นในที่ประชุมสงฆ์ ฉันไปฟังธรรมของพระพุทธเจ้า หรือบางคราวก็ไปฟังพระสาวก เช่นพระศารีบุตรหรือพระอานนท์เป็นผู้แสดง. เมื่อเสร็จการฟังธรรมแล้ว โดยปกติ พวกภิกษุณีไปชุมนุมณธรรมสภาสนทนาธรรมกัน ตามอัธยาศัย.

ความเป็นไปที่ได้อบรมตนในที่แจ้งอากาศปลอดโปร่ง ปฏิบัติธรรมอยู่สม่ำเสมอ และสนทนาแลกเปลี่ยนความคิด ก็ด้วยเรื่องธรรมเป็นเหตุให้ไม่ได้โอกาสคิดถึงเรื่องความทุกข์โทรมนัสย์ที่มีอยู่ หรือนึกคิดเรื่องที่ไม่มีสาระ ซึ่งในที่นั้นเรียกว่าวิสภาคารมณ์; เป็นอันว่าได้เผยอตนชำระมลทินความขุ่นมัวในดวงจิตต์ให้เบาบางลง, กระทำให้กำลังใจกล้าแข็งต้านทานเครื่องเศร้าหมองอึดอัดได้อย่างประหลาด, รู้สึกได้รับชีวิตใหม่ อันเป็นชีวิตที่กอปรด้วยศานติสุขปลอดโปร่งจริง ๆ, ซึ่งก่อนหน้านี้เพียงสองสามสัปดาหะ ฉันไม่เคยพบอารมณ์ประณีต เห็นปานนี้.

ครั้นเข้าฤดูฝน ที่อาศัยของภิกษุณี ซึ่งพระเจ้าอุเทนโปรดให้สร้าง ก็เสร็จเรียบร้อย, มีห้องกลางกว้างขวางเป็นที่ประชุม และมีห้องน้อยฉะเพาะภิกษุณีอาศัยตามลำพังรูปละห้อง. สามีฉันและเศรษฐีหลายคนที่ในกรุง ซึ่งเป็นญาติเกี่ยวข้องหรืออุปฐากแห่งภิกษุณี นำเอาพรมเจียมและเข้าของบางอย่างที่ควรอุปโภคบริโภคมาถวาย เป็นอันว่าไม่ขาดแคลนในอติเรกลาภเหล่านี้ แต่ไม่ถึงกับฟุ่มเฟือย ระยะเวลาที่จำพรรษาอยู่นี้ ได้ล่วงไปราบรื่นตามควรแก่อัตตภาพ มีปกติคือบำเพ็ญภาวนา หรือสนทนาไต่ถามข้ออรรถธรรม, ตกเพลาเย็น ถ้าอากาศโปร่ง ก็พากันไปฟังธรรมที่พระพุทธเจ้า และบางทีก็มีสาวกมาแสดงในที่ประชุมของเรา.

ครั้นสิ้นฤดูฝน ต้นไม้ในป่า ซึ่งเป็นที่ประทับสำราญแห่งพระพุทธเจ้ากำลังแตกดอกออกช่อละออตา. พระภิกษุภิกษุณีซึ่งจำพรรษาอยู่ในเสนาสนะของตน ต่างก็มาชุมนุมกันในที่แจ้ง ได้ข่าวอันควรจะอาลัย ว่าพระศาสดาเตรียมจะเสด็จจารึกไปยังแคว้นแดนตะวันออก. จริงอยู่ ไม่มีใครจะนึกหวังว่าพระองค์คงเสด็จประทับอยู่จังหวัดกรุงโกสัมพีตลอดไป, และเราก็ไม่บังควรจะเกิดความเสียใจเพราะเหตุนี้.

ด้วยประการฉะนี้ ตกเวลาบ่ายวันหนึ่ง พวกเราพากันไปสู่เทวาลัยพระกฤษณ์ เพื่อฟังพระปัจฉิมเทศนาในระยะนี้ ซึ่งบางทีจะนานอิกหลายปีกว่าจะได้ฟังใหม่ และทั้งเพื่อจะส่งเสด็จด้วย.

พระศาสดาเสด็จจากพระคันธกุฎีมาประทับยืนอยู่บนขั้นบันไดเทวสถาน ตรัสเทศนาถึงความไม่คงที่แห่งบรรดาสิ่งที่มีความเกิด ตรัสถึงความดับไปแห่งสิ่งทั้งปวงที่ธรรมชาติปรุงแต่งขึ้น ตรัสถึงลักษณะความล่วงไปเรื่อย เป็นกระแสน้ำแห่งบรรดารูปและนาม, สรรพสังขารธรรมล้วนเป็นของไม่คงที่ เลือกเอาอย่างใจไม่ได้ทั้งนั้น, แล้วทรงแสดงให้เห็นว่า ความปรารถนาเพื่อเกิดในภพใหม่ใด ๆ ภพนั้น ๆ ย่อมไม่ถาวรคงที่อยู่ได้เลย; แล้วทรงกล่าวประโยค ที่เธอเห็นว่าเป็นการทำลายความหวังเสียหมด แต่ก็เป็นความจริงที่ประจักษ์อยู่ในขณะนี้ คือ-

“สูงลิ่วไปจนถึงความสว่างไสวอันล้ำเลิศแห่งสวรรค์ มีเกิดแล้วก็มีดับ.”

“จงรู้ไว้เถิดว่า ความเป็นไปในอนาคตนั้นแลย่อมดับเสียกะทั่งรัศมีมหาพรหม.”

พระสาวกองค์หนึ่งได้ประกาศแก่เราเหล่าภิกษุณีว่า เมื่อจบพระธรรมเทศนาแล้ว ให้เราเข้าไปเฝ้าถวายอภิวาทคราวละคน เพื่อรับพระพุทธวจนะ สำหรับเป็นเครื่องมือใส่ใจภาวนาต่อไปในเบื้องหน้า, ส่วนตัวฉันมีอาวุโสน้อยจึ่งอยู่สุดท้ายแถว. เมื่อฉันเข้าไปถวายอภิวาทแทบเบื้องพระบาท, พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรมาที่ฉัน, รู้สึกว่าแววพระเนตรฉายซึ้งอ่านเข้าไปในดวงจิตต์. พระองค์ตรัสว่า-

“วาสิฏฐี, เราขอให้ภาวนาบทธรรมนี้ไว้ คือ: ที่ใดมีความรัก, ที่นั้นมีความทุกข์.”

“เท่านั้นหรือพระเจ้าข้า?”

“เท่านั้น พอแก่การย์แล้ว.”

“เมื่อข้าพระองค์เข้าใจในพระโอวาทนี้ดีแล้ว, จะประทานอนุญาตให้ข้าพระองค์จารึกไปเฝ้า เพื่อรับพระโอวาทสูงขึ้นไปอิกได้หรือไม่?”

“ถ้าเห็นจำเป็น, ก็อนุญาต.”

“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค, ไฉนข้าพระองค์จะรู้สึกว่าจำเป็นหรือไม่? ก็พระองค์ไม่ใช่เป็นที่พึ่งของพวกข้าพระองค์ดอกหรือ?”

“จงถือเอาตนเองเป็นที่พึ่ง จงถือเอาพระธรรมเป็นที่พึ่ง, เท่านั้น. วาสิฏฐี, จงทำในใจซึ่งวจนะของเรานี้ให้จงดี.”

ขณะนี้พอดี พระเจ้าแผ่นดินพร้อมด้วยราชบริพารมากมาย เข้ามาเฝ้าเป็นการส่งเสด็จพระพุทธเจ้า. ส่วนตัวฉันถอยออกไปอยู่ที่ชุมนุมห่างไกลไปทางข้างหลังที่สุด ไม่มีแก่ใจดูเหตุการณ์ที่มีอยู่ต่อไปในเย็นวันนั้น เพราะฉันปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่รู้สึกน้อยใจ ในข้อที่ได้รับพระโอวาทอย่างง่าย ๆ ต่ำตื้น. ส่วนภิกษุณีได้รับโอวาทที่มีน้ำหนักในการภาวนาดีกว่านี้ ก็มีอยู่หลายท่าน. แต่มานึกตรองดูให้ซึ้ง ก็ออกจะเห็นว่า พระพุทธเจ้าคงมีพระญาณหยั่งเห็นความในใจของฉันอยู่ จึ่งประทานอนุศาสน์ข้อนี้ เพื่อกำจัดความรักอันเกรอะกรังใจฉันอยู่จริง ๆ ให้หมดไป. สำนึกได้อย่างนี้ ก็เกิดมานะที่จะภาวนาธรรมข้อนี้ไว้ให้เจนใจ. และเมื่อสามารถรู้แจ้งโอวาทนี้ดีแล้ว จะไปเฝ้าทูลขอข้อปฏิบัติใหม่ ให้สูงขึ้นไปกว่านี้อีกเมื่อไรก็ได้.

ฉันตรองเห็นแน่ชัดอย่างนี้ จึ่งไปส่งเสด็จในวันรุ่งขึ้นเวลาเช้า, ได้เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จออกเดิรทางจารึก มีพระสาวกหลายองค์เป็นบริวาร รวมทั้งพระอานนท์ ซึ่งเป็นพุทธอุปฐากคอยปฏิบัติไม่ห่างไกลด้วยองค์หนึ่ง พระอานนท์องค์นี้ เคยมีความกรุณาแก่ฉันเป็นพิเศษมาก, ฉันจึ่งเสียดายด้วย ดูเหมือนจะเสียดายยิ่งไปกว่าพระศารีบุตรเสียอิก อันที่จริงพระศารีบุตรก็ได้เคยช่วยเหลือแสดงข้ออรรถธรรมอันลึกซึ้งให้ฉันฟังเข้าใจได้ง่าย ๆ. ณบัดนี้ ฉันเป็นอันว่าอยู่ลำพังตน และต้องพึ่งตนเอง.

เมื่อฉันกลับจากบิณฑบาต และกระทำอาหารกิจเสร็จแล้ว, ก็ไปสู่ควงไม้ใหญ่กลางทุ่งน้อยในป่า เพื่อถือเอาความวิเวกเจริญภาวนาให้สะดวก. ฉันได้ดำเนิรการปฏิบัติภาวนาพระโอวาทที่ได้ประทานไว้, ถึงเวลาเย็นกลับไปสู่ห้องประชุม. ให้รู้สึกว่ายังไม่พอใจในผลที่ทำมาตลอดวัน เพราะไม่เข้าใจความหมายในพุทธวจนะบทนั้น. รุ่งขึ้นอิกวันก็ไปประพฤติสมณธรรมเช่นเดียวกัน, เมื่อสิ้นเวลากลับสู่ห้อง ตอนนี้จึ่งรู้แจ้งในพระพุทธวจนะนั้น ว่ามีความทรงมุ่งหมายไว้อย่างไร.

ฉันเชื่อแน่แก่ใจว่า ได้เดิรสู่ทางตรงแห่งศานติสุขแล้ว เพราะได้ข่มความรักความอาลัยที่กลุ้มรุมใจทั้งหมดให้เซาลงแล้ว แต่ที่จริง ความรักซึ่งเป็นเจ้าหัวใจหาอะไรมาเปรียบไม่ได้นั้น ไม่ใช่จะยอมหมดหายไปได้ง่าย: เมื่อเห็นว่าฉันดำเนิรตนอย่างใหม่, มันก็หนีหลบไปอยู่ก้นบึ้งสุดหัวใจชั่วขณะหนึ่ง รอให้จนกว่าจะมีลาดเลาออกมาทำฤทธิ์อิก. ความประสงค์ของพระพุทธเจ้า ซึ่งทรงรู้แจ้งในข้อนี้คือ รั้งความรักที่ซ่อนเร้นดองหมักในหัวใจออกมาให้เด่น แล้วพยายามประหารมันขยี้มันกำจัดมันให้จงได้ แต่ทีนี้ ครั้นความรักก็ออกมาเด่นจริงแล้ว, กลับทำให้อารมณ์ปั่นป่วนรวนเรหนักขึ้นไปได้, ตกลงการที่จะเอาชนะความรักไม่เป็นการกระทำได้ง่ายๆเลย.

อันข่าวซึ่งไม่นึกคาด คือที่ได้ทราบว่าคนที่รักของฉันหาได้ถูกฆ่าตายไม่ ยังคงมีชีวิตอยู่ในโลกเดียวกับฉัน. ณบัดนี้เป็นเวลาที่ได้ทราบมาเกินกว่าครึ่งขวบปีแล้ว. อดีตอารมณ์ที่ได้เห็นองคุลิมาลว่าเป็นปิศาจขึ้นมาบนลานบ้าน ก็ผุดขึ้นในมโนวิถีของฉันอีก, เห็นความคิดแค้นพยาบาท, เห็นองคุลิมาลกลายเป็นพระภิกษุ, เห็นตัวฉันได้ฟังพระธรรมของพระพุทธเจ้า บังเกิดความเลื่อมใส, เห็นความไม่คงที่แห่งสรรพสิ่งในโลก ซึ่งมีเกิดแล้วมีตาย: อารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้นแล่นมารวดเร็วโดยลำดับ. แล้วหวนกลับมาคิดถึงคู่รักที่ยังมีชีวิตในโลกนี้ แต่ว่าอยู่ห่างไกลกัน. บทพระธรรมพุทธโอวาทที่ประทานให้ท่องไว้เลยหายไปหมด!.

เขายังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้จริงหรือ? และเขายังคงรักเราอยู่หรือไม่หนอ?

ความผูกใจใฝ่ฝันในปัญหาข้างต้นนี้ ค่อยๆเพิ่มกำลังความรักความคิดถึงกลุ้มรุมใจยิ่งขึ้น, แล้วก็จืดจางการบำเพ็ญภาวนาลง, หมกมุ่นครุ่นคิดอยู่แต่เรื่องรัก, เลยไม่มีทางบรรลุความเห็นแจ้งซึ่งความดับทุกข์ตามความมุ่งหมายเดิม.

อาการรัญจวนป่วนปั่นนี้ คงไม่ซ่อนเร้นอยู่ภายในใจ น่าจะปรากฏให้เพื่อนภิกษุณีเห็น, ถึงกับโพนทะนากันว่า-

“ภิกษุณีวาสิฏฐี เดิมเป็นภริยาประธานมนตรี ซึ่งพระศารีบุตรผู้เคร่งครัดในพระวินัยสรรเสริญอยู่เนือง ๆ ว่าเป็นผู้มีเชาวน์ปัญญาดี เข้าใจข้ออรรถธรรมอันลึกซึ้งได้ฉับไว; บัดนี้สิไม่สามารถยึดหน่วงเอา มาตรว่าพระโอวาทเพียงข้อเดียว และง่าย ๆ.”

คำครหานี้ ทำให้ฉันเกิดความอับอายจนท้อถอยทอดธุระพรหมจรรย์, ในที่สุดก็เหลือที่จะทนทานต่ออาการที่งุ่นง่านใจอยู่อย่างนี้.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ