- คำนำ
- ภาคหนึ่ง บนดิน
- หนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จกลับเบญจคีรีนคร
- สอง พบ
- สาม สู่ฝั่งแม่คงคา
- สี่ สาวน้อยผู้เดาะคลี
- ห้า รูปวิเศษ
- หก บนลานอโศก
- เจ็ด ในหุบเขา
- แปด ดอกฟ้า
- เก้า ใต้ดาวโจร
- สิบ รหัสยลัทธิ
- สิบเอ็ด งวงช้าง
- สิบสอง ที่ฝังศพของวาชศรพ
- สิบสาม เพื่อนบุณย์
- สิบสี่ ผู้เป็นสามี
- สิบห้า ภิกษุโล้น
- สิบหก เตรียมรับมือ
- สิบเจ็ด สู่ความเป็นผู้ละบ้านเรือน
- สิบแปด ในห้องโถงช่างปั้นหม้อ
- สิบเก้า พระศาสดา
- ยี่สิบ เด็กดื้อ
- ยี่สิบเอ็ด ในท่ามกลางความเป็นไป
- ภาคสอง - บนสวรรค์
- ยี่สิบสอง ภูมิสุขาวดี
- ยี่สิบสาม การต้อนรับแห่งชาวสวรรค์
- ยี่สิบสี่ ต้นปาริชาต
- ยี่สิบห้า บัวบาน
- ยี่สิบหก สร้อยแก้วตาเสือ
- ยี่สิบเจ็ด สัจจกิริยา
- ยี่สิบแปด บนฝั่งคงคาสวรรค์
- ยี่สิบเก้า ท่ามกลางกลิ่นหอมแห่งดอกปาริชาต
- สามสิบ มีเกิดก็มีตาย
- สามสิบเอ็ด ปิศาจที่บนลาน
- สามสิบสอง สาตาเคียร
- สามสิบสาม องคุลีมาล
- สามสิบสี่ นรกหอก
- สามสิบห้า การบูชาอันบริศุทธิ์
- สามสิบหก พระพุทธและพระกฤษณ
- สามสิบเจ็ด ดอกฟ้าเหี่ยว
- สามสิบแปด พรหมโลก
- สามสิบเก้า ความมืดแห่งโลกานุโลก
- สี่สิบ ในสุมทุมพุ่มไม้พระกฤษณ์
- สี่สิบเอ็ด โอวาทอย่างง่ายๆ
- สี่สิบสอง ภิกษุณีอาพาธ
- สี่สิบสาม มหาปรินิพพาน
- สี่สิบสี่ พินัยกรรมวาสิฏฐี
- สี่สิบห้า กลางคืนและรุ่งเช้าในสกลจักรวาล
สามสิบห้า การบูชาอันบริศุทธิ์
ฉันรู้ไม่ได้ว่านานกี่มากน้อยกว่าฉันจะเปิดปากขึ้น แต่เชื่อว่านานมากอยู่. ฉันนั่งฟังมิได้ปริปากออกสักคำ ปล่อยให้องคุลิมาลเล่าเรื่องโดยลำดับ, สำรวมใจตรองตามไป ยิ่งตรองก็ยิ่งเกิดความอัศจรรย์ใจ. จริงอยู่ ฉันเคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวอันเป็นของโบราณ ว่าทวยเทพกระทำปาฏิหาริย์พิลึกพิลั่น เช่นเรื่องพระกฤษณ์ครั้งอวตารมาในโลก. แต่ถ้าเอามาเทียบกับที่องคุลิมาลได้ประสพมาในป่าวันนั้น, รู้สึกว่าเรื่องขององคุลิมาลอัศจรรย์กว่ามาก.
ฉันมารำพึงอยู่ว่า มหาบุรุษใด สามารถบำราบบรมโจรแห่งมหาโจรทารุณหินชาติ ให้กลับเป็นผู้มีใจบุณย์สุนทรที่พูดกับฉันอยู่นี้สำเร็จในชั่วเวลาสองสามชั่วโมงเช่นนี้, มหาบุรุษนั้นก็ย่อมจะบำราบ สิ่งดุร้ายของสิ่งดุร้ายที่สุดแห่งธรรมชาติซึ่งมีในสกลจักรวาลได้ง่ายดาย. นั่นแปลว่า พระองค์จะสามารถบันดาลให้ดวงใจของฉัน ซึ่งเจ็บปวดร้อนรุมอยู่เสมอให้สงบเย็นได้หรือไม่หนอ? จะทรงกำจัดเมฆในราตรีกาล คือ ความกลุ้มกลัดเหี่ยวแห้งใจ ซึ่งผ่านมาบดบังปะทะดวงจิตต์ให้กระจายหายศูนย์ไป เพราะแสงสว่าง คือ พระโอวาทจะได้หรือไม่หนอ? หรือว่าบางทีการกำจัดอารมณ์ร้ายให้เหือดหายได้นี้ เป็นของยากกว่าการบำราบโจร ซึ่งที่จริงก็เป็นปัญหาที่ดูเหมือนจะพ้นความสามารถแห่งนักพรตผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด จะแก้ตกได้.
สำหรับฉันเองนึกท้อใจ คิดเห็นเสียว่าโรคอย่างฉันเป็นสิ่งที่แก้ยาก, แต่ก็ยังอยากจะให้สบายใจเหมือนเขา จึ่งอดซักไม่ได้ว่า นักบวชที่องคุลิมาลเรียกว่าพระบรมศาสดานั้นอยู่ที่ไหน, จะไปขอความช่วยเหลือบางอย่างจะได้หรือไม่.
องคุลิมาลตอบทันทีว่า “ถูกแล้ว. เธอควรจะไต่ถามความนี้เป็นข้อแรกที่สุด. อันที่จริงเมื่อไม่ถามข้อนี้ ก็จะถามข้อไรเล่า? และเพราะเหตุข้อนี้เองที่ฉันมาหาเธอ. เราทั้งสองต่างเข้าใจกันว่า เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในเรื่องก่อกรรมทำเข็ญ ก็เป็นการสมควรที่จะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกันในเรื่องดี ๆ แต่บัดนี้. พระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังเสด็จประทับอยู่ในป่าประดู่ลายซึ่งเธอเคยพูดถึง. รีบไปเฝ้าเสียในวันพรุ่งนี้, แต่ควรไปในเวลาเย็น. เพราะในเวลานั้น พระภิกษุสงฆ์ออกจากที่เร้นประชุมกันอยู่ที่เทวสถานเก่าพระกฤษณ์ เพื่อสดับพระธรรมเทศนา, และผู้อื่น ๆ ก็พากันไปฟัง. เพราะในเวลานั้น มีสัตบุรุษทั้งหญิงชายชาวกรุง พากันไปเฝ้า เพื่อสดับพระธรรโมวาทอันสว่างรุ่งเรืองปานดวงประทีป. ในเวลาเช่นกล่าวนี้ ยิ่งนานวันก็ยิ่งมีสัตบุรุษไปฟังกันมากขึ้น, บางวันชุมนุมกันจนดึกดื่น. เรื่องเหล่านี้ ฉันทราบมาแต่ก่อนอย่างถี่ถ้วน. เพราะเมื่อครั้งยังเป็นคนมืดโมหันธ์ใจบาปหยาบช้าอยู่ เคยคิดกะการไว้ว่า จะยกพวกไปปล้นสัตบุรุษที่ไปชุมนุมกัน เพราะเห็นว่าข้าวของต่าง ๆ ที่พวกสัตบุรุษนำไปถวายพระภิกษุสงฆ์ ก็มีราคาไม่น้อย ซึ่งไม่ควรจะละเลยเสีย. แต่ข้อใหญ่ใจความที่มุ่งหมายจะไปปล้น คือประสงค์จะจับตัวคนสำคัญ เรียกเอาค่าถ่ายเป็นจำนวนมาก. ทั้งยังนึกหวังไว้ในคราวเดียวกัน ว่าเมื่อเกิดมีเหตุอุกฉกรรจ์ขึ้นในที่ใกล้ประตูเมืองเช่นนี้ คงจะเป็นทางให้สาตาเคียรต้องออกมานอกเมืองเป็นแน่. ความที่คิดไว้นี้ คิดไว้เมื่อก่อนที่ยังไม่ทราบว่าสาตาเคียรมีราชการจะต้องออกไปในเวลาไม่สู้ช้านัก. ดูก่อนนางผู้เจริญ, เธอจงอย่าได้ละเลยไปสู่เทวสถานพระกฤษณ์ในเวลาเย็นพรุ่งนี้ เพราะจะเป็นทางปลดเปลื้องความทุกข์เธอได้. ฉันจะต้องรีบกลับไปเสียแต่เดี๋ยวนี้. นี่ก็ยังไม่แน่ว่าจะไปทันฟังพระธรรมเทศนาบ้างหรือไม่ แต่กระนั้น ในกลางคืนเดือนหงายอย่างนี้ พระสงฆ์ท่านมักจะชุมนุมสนทนาปัญหาธรรมอันลึกซึ้งกันอยู่, และอนุญาตให้ชาวบ้านฟังได้”
องคุลิมาลก้มลา แล้วก็รีบไปทันที.
รุ่งขึ้นก่อนเที่ยง ฉันชวนเมทินีซึ่งเวลานี้ไปอยู่กับโสมทัตต์ผู้สามี. เมทินีรับปากว่าจะไปด้วย เหมือนที่เคยพากันไปเมื่อครั้งกระโน้น. อันที่จริง เมทินีเคยขอให้สามีพาไปที่นั่นในเวลาเย็นสักวันหนึ่ง, แต่เกรงพราหมณ์ที่บ้านจึ่งไม่กล้าไป. คราวนี้มีโอกาส เพราะภริยาเสนาบดีมาชวน, พวกพราหมณ์ไม่กล้าขัดข้อง.
เราพากันไปที่ตลาด โสมทัตต์คอยอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว เพื่อจัดหาของที่สมควรแก่สมณบริโภคสำหรับถวายพระภิกษุและภิกษุณี, ได้ซื้อยาแก้โรคไปด้วยเป็นอันมาก. จ่ายของเสร็จแล้วกลับบ้าน, ค้นหาภาชนะสำหรับบรรจุน้ำมันเนยอย่างดี น้ำผึ้ง น้ำตาล และของอื่น ๆ อิกหลายอย่าง. แล้วจัดเครื่องหอม มีน้ำอบ ผงไม้จันทน์ กำยาน, และเลือกสรรดอกไม้ในสวนอย่างงาม. เตรียมเสร็จแล้ว, ถึงเวลาเย็นที่กำหนดไว้ ให้คนขนของถวายพระขึ้นบนเกวียนเทียมด้วยลา. ส่วนเรานั่งในเกวียนอิกเล่มหนึ่งมีหลังคา เทียมด้วยม้าคู่พันธุ์สินธูสีขาวสะอาด ซึ่งเลี้ยงด้วยข้าวเปลือกค้างสามปีด้วยมือของฉันเอง; แล้วเคลื่อนออกประตูเมืองไป.
พระอาทิตย์ตกต่ำถึงยอดหอคอยของเมืองแล้ว ส่องแสงจับผงธุลีที่ปลิวฟุ้งไปตามทางเห็นเป็นปรมาณูทอง. ในทางตลอดไปมีผู้คนเป็นอันมาก พากันไปเฝ้าพระพุทธองค์อย่างเดียวกับเรา. ล่วงมาไม่ช้าก็ถึงปากทางที่จะเข้าสู่สวนป่า, หยุดเกวียนลงเดิรไป; ส่วนเข้าของก็ให้บ่าวไพร่แบกตามหลัง.
จำเดิมแต่คืนที่เราต้องจากกันไปณที่ตรงนี้ ฉันไม่ได้ย่างเหยียบในป่านี้อีก, ครั้นบัดนี้ได้มากับผู้ที่เคยมาด้วยกัน. เข้ามาถึงแดนอันร่มรื่น รู้สึกชุ่มชื่นซาบซึ้งเข้าไปในดวงใจ. คล้ายกับว่าความหอมซึ่งอัดเก็บไว้ภายในนานมาแล้วจนกลิ่นนั้นงวดข้นเข้า เมื่อระเบิดออกมา ก็กลายเป็นกลิ่นมีพิษ กระทำให้ฉันหยุดนิ่งจังงัง. ดูเหมือนว่า ความรักของฉันจะกลับฟื้นขึ้นมาอย่างพรั่งพรูเต็มที่แล้ว มีศัตรู คือ ความระทมมากั้นขวางไว้. ฉันยืนรวนเรใจว่าจะเดิรต่อไป หรือจะหันหลังกลับเสียดี. เพราะที่มานี่ไม่ใช่มาฟื้นความรักของเก่าแก่, แต่เพื่อแก้ไขความรักนั้น กลับมีอาการรี ๆ รอ ๆ เช่นนี้ กระทำให้เมทินีเกิดความรำคาญใจ เพราะเห็นคนอื่นเขามาทีหลังขึ้นหน้าไปหมด.
อันภูมิภาพในป่า เวลาแดดตอนเย็นส่อง มีสีดั่งแสงทองอ่อน ๆ ลอดเข้ามาตามช่องต้นไม้, เสียงลมพัดต้องใบไม้ดังกระเส่าคล้ายคนกระซิบ, ประกอบทั้งผู้ย่างเข้ามาในเขตต์ ก็สงัดเสียงมีกิริยาสงบเสงี่ยม, ตามโคนไม้ มีนักบวชนุ่งห่มเหลือง นั่งขัดสมาธิเจริญภาวนาแน่วนิ่ง, ช้า ๆ นาน ๆ บางรูปก็ลุกขึ้น มิได้เหลียวซ้ายแลขวา เดิรมุ่งไปสู่ที่เดียวกัน: ลักษณะเหล่านี้ ยังปีติให้เกิดขึ้น เห็นความผิดปกติอันเป็นไปในทางศักดิ์สิทธิ์ บังเกิดความเลื่อมใส เกิดกำลังวังชาเดิรต่อไปได้, ทั้งพระวาจาที่พระบรมศาสดาตรัสกะองคุลิมาลว่า มนุษยชาติที่เกิดมา ล่วงกาลหลายร้อยชั่วอายุคนนักที่ได้พบพระพระพุทธเจ้าตรัสในโลก, และน้อยคนนักที่เกิดในสมัยพุทธกาล จะได้เห็นพระโฉมและฟังพระพุทธโอวาทจากพระโอฐโดยตรง. ดั่งนี้ เข้าไปกรอกอยู่ในโศรตรประสาทของฉัน ดังเหมือนระฆังตีในอาราม. ฉันรู้สึกว่าจะได้ประสพมงคลที่ผู้เกิดมาภายหลังนึกริษยา.
ครั้นมาถึงที่ว่างกลางป่า ซึ่งมีเทวาลัยร้างตั้งอยู่, ก็เห็นพระภิกษุภิกษุณีและคฤหัสถ์มาประชุมกันอยู่เป็นอันมาก, ยืนเป็นหมู่อยู่ใกล้บริเวณเทวาลัยร้าง ซึ่งเห็นอยู่ตรงหน้า. ณที่ใกล้แห่งหนึ่งอยู่ในทางที่เราจะเข้าไป มีพระภิกษุหมู่ใหญ่. ในจำนวนนั้นมีองค์หนึ่งรูปร่างสูงอวบผิดปกติ เมื่อเห็นเข้าก็จำได้ทันทีว่าเป็นใคร. ขณะเรายืนหาโอกาสว่าจะเดิรต่อไปทางไหนดี, ก็เห็นพระภิกษุสูงอายุองค์หนึ่งออกมาจากป่า ทรวดทรงผึ่งผายสมเป็นเชื้อชาติกษัตริย์ มีลักษณะสูง พระพักตร์อิ่มด้วยศานติ. ทันใดนั้นฉันก็นึกขึ้นทันทีว่าองค์นี้กระมังหนอ คือพระมุนีศากยบุตร ซึ่งเขาขนานพระนามว่า พระพุทธเจ้า.
ในพระหัตถ์กำใบประดู่ลาย ทรงหันไปทางหมู่พระภิกษุ ซึ่งฉันกล่าวเมื่อกี้นี้, และตรัสว่า-
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, อันใบไม้ที่เรากำไว้นี้ กับใบไม้ที่มีอยู่ในป่าโน้น ข้างไหนจะมากกว่ากัน?”
พระภิกษุเหล่านั้น กราบทูลว่า
“ใบไม้ในพระหัตถ์มีจำนวนน้อยกว่าที่มีอยู่ในป่าโน้น, พระเจ้าข้า,”
ณบัดนี้ ฉันทราบแล้วว่าผู้กล่าวนั้นคือพระพุทธเจ้า. พระองค์ตรัสต่อไปว่า-
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ความจริงก็เช่นนั้น. สิ่งที่เราตถาคตได้เห็นแจ้งแล้ว แต่มิได้แสดงแก่พวกท่าน ยังมีมากกว่าที่ได้แสดงแล้ว, มีอุปมาเหมือนใบประดู่ลายที่อยู่ในมือเรา กับที่มีอยู่ในป่าฉะนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, เป็นไฉนเราจึ่งไม่แสดงให้ฟังทั้งหมด? ก็เพราะไม่เป็นสาระประโยชน์เพื่อความหลุดพ้น, ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์, ไม่เป็นไปเพื่อความหน่ายในโลกีย์, ไม่เป็นไปเพื่อจืดจางความรักใคร่ยินดี, ไม่เป็นไปเพื่อความเย็นใจ, ไม่เป็นไปเพื่อความสงบ, ไม่เป็นไปเพื่อความรู้แจ้ง, ไม่เป็นไปเพื่อความตื่นเต็มที่, และในที่สุด ก็ไม่เป็นไปเพื่อนิรพาณ.”
กามนิตออกอุทานขึ้นว่า “อย่างนี้แหละ ตาขรัวแก่ที่เคยอธิบายให้ฉันฟัง ก็พูดถูกแล้ว.”
วาสิฏฐี- “ตาขรัวแก่ที่ไหน?”
กามนิต- “ก็นักบวชแก่ ที่ฉันเคยเล่าให้เธอฟังว่า เมื่อครั้งฉันยังมีชีวิตอยู่ในมนุษยโลก ได้สนทนากันในบ้านช่างหม้อใกล้กรุงราชคฤห์คืนหนึ่ง ได้เป็นผู้อธิบายหลักลัทธิของพระบรมศาสดาให้ฟัง. ถ้อยคำอธิบายมีหลายประการที่เหมือนกับเธอเล่านี้.”
วาสิฏฐี - “บางทีจะเป็นพระสาวกองค์ใดองค์หนึ่งแห่งพระองค์. แล้วพระบรมศาสดาตรัสต่อไปว่า-
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย, ก็สิ่งใดแล ที่เราได้แสดงแก่ท่าน, สิ่งนั้นคือความจริง. เราได้แสดงแก่ท่านแล้วว่า ความทุกข์คืออะไร เหตุแห่งทุกข์คืออะไร ความดับทุกข์คืออะไร และทางดับทุกข์คืออะไร. เหล่านี้เราได้แสดงแล้ว. ภิกษุทั้งหลาย, สิ่งใดเราได้แสดงแล้ว ก็เป็นอันแสดงจบแล้ว, สิ่งใดเราไม่ได้แสดง ก็คงเป็นรายย่อยรวมอยู่ในความจริงสี่ประการนี้.”
เมื่อพระองค์ตรัสดั่งนี้แล้ว ก็แบพระหัตถ์ให้ใบไม้ร่วงลง. ใบไม้เหล่านี้ใบหนึ่ง ปลิวลอยลมหมุนติ้วมาใกล้ตัวฉัน. ฉันรีบขมีขมันออกไปรับใบไม้นั้นมาได้ยังไม่ทันตกถึงดิน เป็นเสมือนว่า ฉันได้รับตรงจากพระหัตถ์. ประคองเก็บแนบไว้ที่ทรวงอก, นับว่าเป็นของที่ระลึกหาค่าเปรียบมิได้ ในการที่มาได้ฟังพระธรรมเทศนาฉะเพาะพระพักตร์. และใบไม้นี้จะเป็นเครื่องหมายที่ระลึกติดตัวอยู่สืบไปจนกว่าชีวิตจะออกจากร่าง.
อาการกิริยาที่ฉันได้กระทำไปนี้ เป็นเหตุให้พระบรมศาสดาทรงเหลียวมาทอดพระเนตร. ขณะนั้น พระภิกษุองค์ที่สูงใหญ่ราวกับยักษ์ ลุกขึ้นถวายอภิวาทแล้วเข้าไปกราบทูลกะซิบ. พระบรมศาสดาทรงหันมาทางฉันอิกครั้งหนึ่ง แล้วประทานสัญญาณอะไรอย่างหนึ่งแก่พระภิกษุองค์นั้น. เธอก็เข้ามาหาฉัน พูดว่า “ดูก่อนนางผู้เจริญ, พระบรมศาสดาทรงคอยต้อนรับอยู่แล้ว.” เสียงนี้ฉันจำได้ทันที ว่าเป็นพระองคุลิมาล.
พวกเราทั้งหมดพากันเข้าไปเฝ้า ในระยะอุปจารสองสามก้าว ถวายอภิวาทโดยเคารพยิ่ง ด้วยเบญจางคประดิษฐ. ในใจฉันเปี่ยมปีติจนตื้นอก.
พระองค์ตรัสว่า “ดูก่อนนางผู้เจริญ, สิ่งของที่นำมาบูชาเป็นของมีค่ามาก, ส่วนพระภิกษุสาวกของเราเป็นผู้มักน้อย เป็นทายาทแห่งสัจธรรม หาใช่เป็นทายาทแห่งทรัพย์สมบัติไม่. แต่ทว่า พระพุทธเจ้าในปางก่อนทรงอนุมัติรับเครื่องสักการบูชาจากสัตบุรุษผู้เลื่อมใสใจบุณย์ เพื่อจะให้เขาเหล่านั้นมีโอกาสได้บำเพ็ญทานมัยการกุศล. เพราะถ้าสัตว์ทั้งหลายรู้แจ้งซึ่งผลทาน อย่างที่เราแจ้งอยู่ไซร้, แม้มีข้าวเหลืออยู่เพียงฟายมือเดียว ก็ย่อมแบ่งเป็นทานให้แก่ผู้ที่อัตคัดกว่า หาได้บริโภคเสียทั้งหมดแต่คนเดียวไม่ เมื่อรู้แจ้งและประพฤติอยู่อย่างนี้เป็นอาจิณ, มัจฉริยความตระหนี่ ที่รัดรึงดวงจิตต์ให้เหนียวแน่นก็จะคลายหายไป. เพราะฉะนั้นสักการวรามิษที่นำมาบูชานี้ คณะสงฆ์ย่อมรับไว้ด้วยดี เราเรียกว่าเป็นการบูชาอันบริศุทธิ์ เพราะทายกผู้บริจจาคก็มีใจบริศุทธิ์และปฏิคาหกผู้รับก็มีขันธสันดานบริศุทธิ์รองรับถูกส่วนกัน.”
ครั้นแล้วหันไปตรัสกะพระองคุลิมาลว่า “ท่านจงนำสิ่งของเหล่านี้ไปมอบแก่ภัตตุเทสก์ (ภิกษุเจ้าหน้าที่แจกของสงฆ์). แต่ก่อนที่จะไป จงจัดหาที่นั่งให้แก่พวกสัตบุรุษ เพื่อเราจะได้แสดงธรรโมวาทแก่ผู้มาฟังในวันนี้.”
เมื่อพระองคุลิมาลพาเราไปหาที่นั่งได้, พวกเราลาดอาสนะลงตรงขั้นบันไดเทวาลัย แล้วเอาพวงมาลัยสวมตามเสาเชิงบันไดซึ่งปรักหักพังแล้ว. ครั้นแล้วฉันกับเมทินีหยิบดอกกุหลาบที่บรรจุอยู่ในตะกร้าจนพูนล้นมากระจายกลีบโปรยลงบนบันไดขั้นต้น ๆ ตอนที่พระบรมศาสดาจะเสด็จยืนประทับแสดงพระธรรมเทศนา.
ระวางนี้ สัตบุรุษผู้มาฟัง ก็รวมพวกนั่งเป็นกลุ่ม ๆ ล้อมกันเป็นวงอรรธจันทร์. อุบาสกอุบาสิกาอยู่ทางซ้าย, พระภิกษุภิกษุณีอยู่ทางขวา ของเทวาลัย, พวกชาวบ้านที่มาใหม่อยู่ตอนกลางนั่งบนหญ้า, ส่วนเราอยู่ข้างเสาที่ปรักหักพัง ห่างจากบันไดไปไม่กี่ก้าว.
ผู้มาเฝ้าฟังพระธรรมเทศนา มีหมดด้วยกันประมาณห้าร้อย, ล้วนมีกิริยาสงบนิ่งตลอดไป เงียบเชียบปราศจากเสียงต่าง ๆ นอกจากเสียงลมที่กระพือมาเป็นคราว ๆ แล้วกะทบใบไม้สั่นกระเส่าอยู่เท่านั้น.