สามสิบเอ็ด ปิศาจที่บนลาน

เมื่อสาตาเคียรได้ฉันเป็นภริยาสมประสงค์แล้ว ความรักที่มีอยู่ได้จืดจางไปโดยเร็ว ซ้ำจะเร็วยิ่งขึ้นเพราะฉันไม่มีความรักตอบเสียเลย. ฉันยอมสัญญาว่าจะเป็นภริยาที่ภักดี, และข้อนี้สาตาเคียรย่อมรู้ดีว่าฉันประพฤติตามสัญญา. ส่วนในข้ออื่นๆ นั้น ไม่อยู่ในอำนาจฉัน. ถึงจะทำอย่างไรที่จะให้เป็นไปตามใจนั้นไม่ได้เลย.

ฉันมีลูกหญิงด้วยสาตาเคียรคนหนึ่ง แต่พออายุได้สองขวบก็ตายไป. แล้วต่อมาสาตาเคียรมีภริยาอิกคนหนึ่ง. ข้อนี้ไม่มีใครเห็นว่าแปลก, ยิ่งสำหรับตัวฉันก็ยิ่งเห็นว่าไม่แปลกเลย เพราะความรักทั้งสองไม่มีอยู่แก่กัน. ภริยาคนใหม่เกิดลูกชายคนหนึ่งเป็นที่สมปรารถนาสาตาเคียรที่ต้องการอยู่แล้ว. ทั้งนี้เป็นเหตุให้ภริยาคนนั้นได้เป็นใหญ่ในบ้าน, ทั้งนางคนนี้ก็สามารถหาทางให้สาตาเคียรคลายความรักในตัวฉัน, ฝ่ายฉันก็เต็มใจยอมให้เป็นดั่งนั้นอิกอย่างหนึ่ง. ต่อมาเมื่อบิดาสาตาเคียรถึงแก่กรรมไปแล้ว, สาตาเคียรได้รับตำแหน่งแทน มีธุระในหน้าที่ซึ่งจะต้องจัดทำมากขึ้นทุกที. การติดต่อในส่วนตัวฉันจึ่งยิ่งเหิรห่างออกไป.

เรื่องราวได้เป็นไปอย่างนี้ ล่วงมาหลายปีไม่มีเหตุการณ์พิเศษ. ส่วนตัวฉันโดยมากอยู่ตามลำพัง สมแก่ที่ตั้งใจไว้เช่นนั้นด้วย. ฉันมอบจิตต์ใจไว้กับทุกข์โทรมนัสย์ หวนเอาความจำแต่ครั้งหลังมาเป็นเพื่อน และมีชีวิตอยู่ด้วยความหวังที่จะได้พบกับบันเทิงสุขเสวยสวรรค์ที่นี่, และก็เป็นความหวังที่ฉันมุ่งไว้ไม่เหลวเปล่า.

ปราสาทสาตาเคียร อยู่ที่หุบเขาเดียวกันกับที่เธอเคยปีนหน้าผาขึ้นบนลานอโศกอยู่บ่อยๆ ในครั้งกระโน้น แต่ว่าหน้าผาที่จะขึ้นยังปราสาทสาตาเคียรนั้นชันกว่า. ส่วนลานบนปราสาทนั้นคล้ายคลึงกับลานที่บ้านบิดาฉัน. ณที่นี้ เวลาเย็นอากาศโปร่งในฤดูร้อนฉันมักจะมานั่งเล่น บางทีก็อยู่จนกะทั่งกลางคืนตลอดไปจนสว่าง นอนบนแท่นที่ยกไว้. ซึ่งไม่มีทางที่น่ากริ่งเกรงว่า จะมีใครกล้าปีนขึ้นมา เพราะหน้าผาชัน ซ้ำยังก่อเป็นกำแพงสูงกั้นอิกที, ทั้งหน้าผาก็ลื่น ไม่มีใครๆ สามารถปีนขึ้นมาได้.

ครั้งหนึ่ง เป็นเวลากลางคืนเดือนหงายปลอดโปร่ง ฉันนอนอยู่บนแท่น แต่ไม่หลับกำลังนึกถึงเธอ, นึกมากที่สุดก็คือคืนแรกซึ่งได้พบปะกัน; นึกถึงขณะที่ฉันนั่งอยู่กับเมทินีที่แท่นหินอ่อนบนลาน ตั้งตาคอยเธอมาหา, นึกเห็นติดตาเอาจริงๆ, แล้วเห็นเธอโผล่เหนือกำแพงขึ้นมาก่อนโสมทัตต์ เพราะอำนาจความรักอันแรงกล้า ทำให้ป่ายปีนขึ้นมาได้เร็ว.

กำลังนึกเพลิดเพลินเจริญใจอยู่อย่างนี้ ตาเหม่อมองไปทางช่องปลายกำแพง. ทันใดนั้นเห็นรูปคนโผล่ขึ้นมา.

ฉันเชื่อแน่อยู่แก่ใจว่า ถ้าเป็นมนุษย์คงไม่สามารถปีนกำแพงตอนนี้ขึ้นมาได้ อย่างไรก็คงเป็นวิญญาณเธอลอยขึ้นมาหาเพราะอำนาจความนึกของฉัน แล้วจะได้นำข่าวจากสถานบรมสุขซึ่งเธอไปอยู่คอยท่าแล้ว มาบอกเล่า. เพราะเหตุฉะนี้ ฉันไม่รู้สึกตกใจเลย ซ้ำลุกขึ้นอ้ามือเดิรเข้าไปรับ.

ครั้นเมื่อรูปที่เห็น ปีนขึ้นมาถึงบนลานแล้วก็รีบสาวก้าวเดิรมาที่ฉัน. สังเกตดูรูปร่างมีขนาดสูงกว่าเธอมากนัก สัณฐานออกจะใหญ่โตปานยักษ์ด้วย. ฉันได้สติขึ้นว่ารูปที่เห็นคงเป็นวิญญาณหรือปิศาจองคุลิมาล, หาใช่เธอไม่ ตกประหม่าเป็นกำลัง ผงะแทบหงาย ค่อยถัดถอยไปเกาะอยู่มุมแท่นเพื่อไม่ให้ซวนตัว.

รูปปิศาจอันน่ากลัวเดิรรี่เข้ามาใกล้ หยุดทักว่า “หล่อนต้องการพบใคร?”

ฉันตอบว่า “พบปิศาจตนอื่น, ไม่ใช่ท่าน.”

“ปิศาจกามนิตกระมัง?”

ฉันผงกศีรษะ.

ปิศาจนั้นพูดต่อไปว่า “เมื่อฉันเห็นกิริยาต้อนรับแห่งเธอเมื่อกี้นี้, เข้าใจว่าเธอคงมีคู่รักที่ขึ้นมาหาเธอที่นี่ในเวลากลางคืน. ถ้าเป็นเช่นนั้น, เธออาจช่วยฉันด้วยบ้าง เพราะฉันต้องการความช่วยเหลือจากเธอ ไม่น้อยไปกว่าที่เธอต้องการจะให้ฉันช่วยด้วยเวลานี้.”

เมื่อฉันได้ฟังเสียงที่พูดแปลกหูเช่นนี้ ก็แข็งใจจ้องดู, รู้สึกว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้ามีลักษณะเป็นคนจริงๆ หาใช่ผีปิศาจไม่. เวลานั้นพระจันทร์ขึ้นอยู่ข้างหลังชายคนนั้น, ประกอบทั้งมีความตกใจกลัวด้วย, จึ่งทำให้มองดูหน้าตาเห็นไม่ทันชัด นอกจากเห็นรูปร่างด้วยตาพร่า ซึ่งเลยเป็นปิศาจไปได้.

ผู้นั้นอ่านความคิดของฉันถูก จึ่งบอกว่า “ตัวฉันไม่ใช่ปิศาจองคุลิมาล, แต่ว่าเป็นตัวองคุลิมาลจริงๆ ยังมีเนื้อหนังเป็นมนุษย์เหมือนอย่างเธอบริบูรณ์.”

ฉันสั่นระรัวไปทั้งตัว ไม่ใช่เป็นเพราะความกลัว, เป็นเพราะรู้สึกว่าได้มายืนเผชิญหน้าอยู่กับผู้ร้ายฆ่าคู่รักของตนอย่างใจดำอำมะหิต.

องคุลิมาลพูดต่อไปว่า “นางผู้เจริญ, อย่าได้วิตกสะทกสะท้านเลย, เธอไม่มีอะไรจะต้องเกรงฉัน. ฉันเสียอิก รู้สึกว่าเธอคนเดียวเท่านั้น ที่ฉันเคยกลัวจนไม่กล้ามองหน้าอย่างที่เธอเคยพูดไว้ เพราะว่าฉันเป็นผู้ลวงเธอจริง.”

ฉันตกตะลึง ออกอุทานว่า “แกหรือเป็นผู้ลวงฉัน?” แล้วรู้สึกปีติดีใจ คล้ายกับมีความหวังขึ้นอิก ว่าคู่รักยังคงมีชีวิตอยู่. องคุลิมาลพูดสืบไปว่า “เรื่องเป็นเช่นนั้น. และเพราะเหตุนี้ประโยชน์ของเราร่วมกัน เพราะเราทั้งสองมีเรื่องที่จะต้องทำการแก้แค้นด้วยกัน, และคนที่เราจะแก้แค้นก็เป็นคนเดียวกัน คือ อ้ายสาตาเคียร.”

ครั้นแล้ว องคุลิมาลมหาโจรผู้มีกิริยาท่าทางเป็นสง่าผ่าเผย ก็ยกมือเป็นสัญญาณให้ฉันนั่งลง ดูประหนึ่งว่ามีเรื่องจะพูดจากันมากมาย. อันที่จริง ฉันยืนทรงตัวอยู่ต่อไปไม่ค่อยไหวอยู่แล้ว จึ่งทรุดลงนั่งเอง. ฉันจ้องมองดูองคุลิมาล มีอาการกระหายอยากจะฟังเรื่องถึงคู่รักเป็นกำลัง.

องคุลิมาลพูดต่อไปว่า “กามนิตและกองเกวียนตกมาอยู่ในเงื้อมมือฉันที่แดนป่าเวทิส. เขาได้ต่อสู้ฉันอย่างกล้าหาญ, แต่ถูกจับตัวได้ไม่มีอันตรายอย่างไร, เมื่อฉันได้ค่าถ่ายตัวตามกำหนดเวลาแล้ว, ก็ปล่อยตัวไปไม่ได้รบกวนอะไรอีก; และได้ไปถึงอุชเชนีโดยสวัสดิภาพ.”

เมื่อฉันฟังมาถึงตอนนี้ ก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งใจ เพราะรู้สึกว่าคู่รักยังมีชีวิตอยู่. ที่จริงคิดเช่นนี้เท่ากับเป็นบ้า. เพราะแม้ยังมีชีวิตอยู่, ก็นับว่าอยู่ห่างไกลจากกันยิ่งเสียกว่าที่ตายไปแล้ว.

องคุลิมาลเล่าสืบไปว่า “เมื่อฉันตกอยู่ในเงื้อมมือสาตาเคียร, มันเห็นสร้อยแก้วตาเสือของกามนิตคล้องคอฉันอยู่ ก็จำได้ทันทีว่าเป็นของใคร. ในเวลาเย็นวันรุ่งขึ้น มันเข้าไปในคุกตามลำพัง และให้สัญญาต่อฉันว่า ถ้าฉันกล้าปฏิญญาศาบานต่อหน้าหญิงสาวคนหนึ่ง ว่าฉันเป็นผู้ฆ่ากามนิตตาย, มันจะปล่อยตัวให้หนีไปได้. ฉันรู้สึกประหลาดใจ. แต่สาตาเคียรพูดต่อไปว่า ถ้าจะศาบานอย่างเดียว หญิงสาวคนนั้นคงไม่เชื่อ, จะต้องทำสัจจกิริยาด้วยจึ่งจะสำเร็จผล. แล้วมันแนะนำอุบายให้ว่า ในเวลาตอนหัวค่ำ จะคุมตัวไปที่ลานแห่งหนึ่ง ซึ่งจะได้พบกับหญิงสาวคนนั้นอยู่ที่นั่น. มันจะจัดการตะไบตรวนไว้ให้เกือบขาด, เพื่อฉันกระชากก็จะขาดสะบั้นออกได้ง่ายดาย, แล้วต่อไปก็โดดทางหน้าผาลงไปถึงหุบเขาหนีไปได้สะดวก, แล้วลงลำธารน้อยลอดกำแพงเมืองออกไปได้ถึงแม่คงคา. มันได้ให้สัตย์ปฏิญญาว่าจะไม่กีดขวางการหนีแห่งฉันที่จะออกจากกรุงโกสัมพีไป.

“ที่มันให้สัตย์ปฏิญญานี้, จริงอยู่ ฉันไม่สู้จะเชื่อถือนัก, แต่ก็ไม่เห็นทางอื่นที่จะรอดไปได้ ส่วนการกระทำสัจจกิริยา แต่ว่ากล่าวเท็จ เป็นตายอย่างไรฉันก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเท่ากับเตือนให้เจ้าแม่กาลีพิโรธลงโทษฉัน ในฐานที่สบประมาทต่อพระองค์. แต่ฉันเห็นอุบายที่จะเลี่ยงกล่าวคำปฏิญญาไปเสียอย่างหนึ่ง คือกล่าวกล้อมแกล้มด้วยโวหารอันล่อให้ผู้ฟังเข้าใจว่าฉันได้เป็นผู้ฆ่ากามนิตจริง. และฉันหวังอยู่ว่า เจ้าแม่กาลีผู้โปรดต่อการเป็นเจ้าเล่ห์เจ้าอุบายหลีกเลี่ยงให้พ้นภัยคงจะทรงช่วยเหลือ ให้พ้นจากบ่วงบาศของสาตาเคียรที่อาจดักไว้.

เหตุการณ์ต่อไปก็เป็นเหมือนอย่างที่ได้ตกลงกันไว้ และเธอได้เห็นฉันกะชากตรวนขาด. แต่ว่าจนกะทั่งทุกวันนี้ก็ยังทราบไม่ได้ว่าที่กะชากตรวนขาด เป็นเพราะสาตาเคียรได้ปฏิบัติตามสัญญา คือตะไบสำรองไว้ หรือว่าเจ้าแม่กาลีทรงโปรดเป็นพิเศษ. เมื่อฉันหลุดออกจากเครื่องจองจำ หนีลงไปข้างล่างแล้ว, ว่ายน้ำลอดออกไปถึงแม่คงคาไม่ทันไร, ก็ไปพบคนเต็มลำเรือมีอาวุธครบคอยดักจับ: ดั่งนี้จะเห็นได้ว่าสาตาเคียรเล่นหักหลังฉันในตอนนี้. เดชะพระกรุณาเจ้าแม่กาลี, โซ่ซึ่งติดอยู่ที่ข้อมือเพียงเส้นเดียวก็ได้ใช้เป็นอาวุธ ฆ่าพวกเหล่านั้นหมด เพราะเรือล่มในระวางต่อสู้กัน. และเป็นคราวเคราะห์ดี ฉันหนีขึ้นบกทางฝั่งเหนือได้ แต่ได้รับบาดแผลฉกรรจ์อยู่หลายแห่ง ต้องนอนเจ็บอยู่ตั้งปี. ระวางที่ป่วยอยู่ได้ศาบานไว้ว่า จะแก้แค้นอ้ายสาตาเคียร ให้มันใช้โทษทรยศของมันจงได้. และบัดนี้ ก็ถึงเวลาแล้ว”

เมื่อฉันได้ฟังเรื่องที่องคุลิมาลเล่า, ในใจให้โกรธแค้นจนเดือดพล่าน เพราะรู้สึกถูกหลอกลวงเอาซึ่งหน้า. จะติเตียนนายโจรก็ไม่ถนัด เพราะเป็นการรักษาชีวิตให้พ้นภัย, ทั้งองคุลิมาลก็ไม่ได้เป็นผู้ฆ่าคู่รักเลย ลืมนึกถึงการทารุณที่องคุลิมาลทำแก่คนอื่นๆ มาแล้วมากมาย, กลายเป็นรู้สึกไม่เกลียดกลัวองคุลิมาลเสียแล้ว เพราะเห็นเป็นผู้นำข่าวสารเรื่องคู่รักมาบอกว่ายังมีชีวิตอยู่. แต่ในคราวเดียวกันนี้ ให้เกลียดชังฉุนเฉียวต่อผู้ที่ทำให้เราต้องพลัดพรากจากกันไป, และเมื่อได้ยินองคุลิมาลพูดจามีท่าทางกิริยาจะทำร้ายผู้นั้น ยิ่งให้นึกสมใจโดยไม่รู้สึกตัวว่าดีชั่วอย่างไร ด้วยได้ยินองคุลิมาลพูดมีอาการตื่นเต้น. เขาพูดต่อไปว่า-

“ดูก่อนนางผู้เจริญ, สังเกตดูกิริยาเห็นว่าเธอกระหายที่จะแก้แค้น. ความกระหายนี้ก็จะได้สมประสงค์ไม่ช้า. เพราะด้วยเหตุอันนี้ ฉันจึ่งมาหา. ฉันได้คอยดักสาตาเคียรที่นอกกรุงโกสัมพีมาหลายสัปดาหะแล้ว. บัดนี้ได้ข่าวมาแน่นอนว่าอิกสองสามวัน มันจะออกจากกรุงไปทางหุบเขาทิศตะวันออก เพื่อไปตัดสินคดีพิพาทกันด้วยเรื่องที่ดินในระวางหมู่บ้านทั้งสอง. ความคิดเดิม ที่กะไว้ก่อนทราบเรื่องนี้ คือจะล่อให้มันออกมาจับฉัน. แต่เมื่อมาทราบเรื่องที่มันจำเป็นจะออกจากกรุงอยู่แล้ว, เห็นว่าง่ายขึ้น. ที่จริงเมื่อฉันหลุดจากที่คุมขังมา ก็ไม่ได้ปิดบังใคร. ได้กระทำการปล้นสะดมให้เห็นกันเองว่าเป็นฝีมือของใคร; เวลานี้ก็ลือกันกะฉ่อนมานานแล้ว ว่าฉันเกิดมีตัวขึ้นอิก.

“ถึงแม้คนโดยมากจะถือว่า คงมีใครคนหนึ่งรับสมอ้างเป็นองคุลิมาลขึ้นใหม่, กระนั้น ประชาชนก็ยังเกรงขามไปตามๆ กัน. ถ้าใครจะเดิรทางไปในป่าทางทิศตะวันออก ซึ่งฉันมีสำนัก, ก็ต้องไปกันมากๆ มีอาวุธครบ. เรื่องนี้สังเกตดูเห็นว่าเธอคงไม่ทราบ. บางทีจะเป็นเพราะว่า ธรรมดาสตรีผู้สิ้นความสุขความอาลัยในตัวแล้ว ก็ไม่อยากคิดถึงอะไรอย่างอื่น นอกจากหมกมุ่นอยู่แต่ความทุกข์ความเสียใจ.”

ฉันตอบองคุลิมาลว่า “ที่จริงก็ได้ยินเรื่องโจรใจกล้าอยู่เหมือนกัน, แต่ไม่ได้ยินออกชื่อท่าน. เพราะฉะนั้นเมื่อได้เห็นตัวในคราวแรก, จึ่งเข้าใจว่าเป็นปิศาจ.”

องคุลิมาลตอบว่า “แต่สาตาเคียรได้ยินชื่อฉันอยู่แล้ว, และต้องเข้าใจว่ามันรู้อยู่ดีๆ ว่าเป็นองคุลิมาลจริงหรือไม่. เพราะฉะนั้นเป็นอันเชื่อได้ว่า เมื่อมันจะไปไหนต้องมีบริวารไปด้วยเป็นจำนวนมาก และคงหาอุบายระวังตัวร้อยอย่างต่างวิธี เพื่อไม่ไห้จับเค้าเงื่อนที่มันงำไว้ได้. คนของฉันที่มีอยู่เดี๋ยวนี้มีจำนวนไม่มากมายนัก, แต่ไม่เป็นไร ขอให้รู้ว่ามันจะไปทางไหนและเวลาไรเท่านั้นเป็นพอ. เพราะฉะนั้นที่มานี่ ก็เพื่อจะมาขอทราบทางเธอ.”

แม้ฉันจะนิ่งฟังมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ มีอาการตกตะลึงจนพูดไม่ออก เพราะเห็นว่าถลำตัวยอมฟังมาเสียนานแล้วก็ดี, แต่กระนั้นก็ยังอดโทษะไว้ไม่อยู่ ลุกผลุนขึ้นถามว่า มีสิทธิ์อย่างไรที่มาเข้าใจว่าฉันเลวทรามถึงกับร่วมคิดกับโจรวายร้าย.

องคุลิมาลตอบอย่างหน้าตาเฉยว่า “ในส่วนที่เป็นผู้ร่วมคิดกัน ข้อสำคัญอยู่ที่ต้องไว้ใจกันได้. และฉันเชื่อว่าเธอคงเห็นแล้วว่า เธออาจมอบความไว้ใจแก่ตัวฉันได้. อิกประการหนึ่ง ฉันต้องการความช่วยเหลือจากเธอจริงๆ เพราะเป็นทางเดียวที่ฉันอาจรู้ในสิ่งที่ต้องการรู้ได้แน่นอน. จริงอยู่ ฉันมีทางอื่นที่จะทราบเรื่องได้แน่นอนเหมือนกัน, แต่ถ้าสาตาเคียรกลับใจเปลี่ยนทางเสีย ก็ยากที่จะทำอะไรได้ทันการณ์. จึ่งมีทางจะสอบให้แน่นอนได้ก็ที่เธอ ผู้ซึ่งมีใจอันสูงประสงค์จะทำการแก้แค้นคนทรยศอยู่เหมือนกัน หากว่าเธอเป็นผู้ชาย ป่านนี้เธอคงฆ่ามันเสียเองแล้ว, แต่นี่เธอเป็นผู้หญิง จึงจำต้องอาศัยมือฉันแทน.”

ฉันนึกฉุน ขยับท่าจะไล่ให้ไปเสีย. แต่องคุลิมาลโบกมือห้ามด้วยอาการผึ่งผาย บอกว่ายังพูดไม่หมดกระแสความ. ส่วนตัวฉันถึงจะไม่เต็มใจ ก็ต้องฝืนฟังต่อไป.

องคุลิมาลพูดว่า “นางผู้เจริญ, ฉันได้พูดเรื่องแก้แค้นมาก็มากแล้ว, แต่มีเรื่องที่สำคัญกว่าซึ่งจะต้องเล่าให้ฟัง. สำหรับตัวเธอก็เพื่อประโยชน์ความสุขที่จะได้รับในภายหน้า, ส่วนตัวฉัน ก็เพื่อล้างบาปที่ทำมาแล้ว. ที่เขาว่าฉันเป็นคนดุร้ายไร้กรุณาต่อสัตว์และมนุษย์เป็นความจริงโดยแท้. ฉันได้ทำกรรมไว้แล้วตั้งพันครั้ง, กรรมครั้งหนึ่งเขาว่าจะต้องใช้โทษบาปในนรกก้นบึ้งตั้งร้อยปีพันปี. จริงอยู่ ฉันมีสหายนักปราชญ์อยู่แต่เดิมคนหนึ่ง ชื่อวาชศรพ ซึ่งประชาชนในเวลานี้นับถือบูชาว่าเป็นผู้สำเร็จคนหนึ่ง และฉันได้ไปเซ่นบูชาที่ปากหลุมศพอยู่เสมอ. เขาเคยอธิบายให้ฟังว่านรกนั้นไม่มีจริง ซ้ำบอกว่าผู้เป็นโจร ก็คือเป็นพราหมณ์อย่างวิเศษ เป็นยอดของสิ่งที่พระเป็นเจ้าทรงสร้างขึ้นไว้. ความข้อนี้ ฉันยังไม่สนิทใจนักที่จะลงเนื้อเห็นด้วย. แต่จะอย่างไรก็ตาม นรกจะมีหรือไม่ ขอยกไว้ที. แต่ข้อหนึ่งนั้นเป็นของมีแน่ คือในบรรดากรรมทั้งหมดที่ฉันได้ทำไว้แล้ว ไม่มีกรรมใดที่ทำให้วิตกต่อความผิด เท่ากับครั้งกระทำสัจจกิริยาด้วยเล่ห์ลวงเธอ. ถึงว่าในครั้งนั้นยังไม่กล้ามองหน้าเธออยู่แล้ว. และต่อมาก็นึกถึงความผิดมิรู้หาย คล้ายมีหนามยอกอยู่ในเนื้อ. เพราะฉะนั้นความผิดที่ฉันได้ทำแก่เธอไว้, ก็อยากจะแก้ตัวเพื่อลบล้างให้หมดไปตามแต่จะสามารถ. เธอต้องพรากจากกามนิตคู่รัก ก็เพราะฉันเป็นผู้ทำผิดไว้ ให้เธอเข้าใจว่ากามนิตนั้นตายเสียแล้ว จึ่งจำใจยอมตนเป็นภริยาสาตาเคียรชายทรยศ เท่ากับถูกล่ามโซ่ตรวนไว้. โซ่ตรวนนี้แหละฉันประสงค์จะปลดให้หลุดจากเธอ เพื่อจะได้สมสู่อยู่กับคู่รัก. ฉันจะไปกรุงอุชเชนีเอง และจะไปพาตัวกามนิตมาให้ได้ ไม่ให้มีอันตรายอย่างใดอย่างหนึ่ง. บัดนี้ ขอให้ทำหน้าที่ของเธอ. ส่วนตัวฉันก็ทำหน้าที่ในส่วนของฉัน. สำหรับผู้หญิงที่ทรงความงามย่อมจะไม่มีความลำบากยากเย็นอะไรในอันจะล้วงเอาความลับจากสามี. พรุ่งนี้ พอมืดลง ฉันจะกลับมารับข่าวอันจำเป็นจากเธอ.”

องคุลิมาล กล่าวดั่งนี้แล้ว ก้มศีรษะคำนับจนต่ำ. กว่าฉันจะหายตกใจตะลึง องคุลิมาลก็อันตรธานวับไปจากลาน เหมือนอย่างที่โผล่แวบขึ้นมาให้เห็นตัวในครั้งแรกฉะนั้น.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ