ยี่สิบแปด บนฝั่งคงคาสวรรค์

เมื่อกามนิตรู้สึกเห็นว่า แม้แต่ในสถานอันเป็นบรมสุขนี้ ยังมีเหตุกระทำให้คู่รักของตนรับความเศร้าระทมใจเมื่อมาระลึกถึงความหลัง จึ่งจูงมือคู่รักออกเสียจากที่นั้น เลื่อนลอยไปสู่เขาอันงาม ซึ่งตนเคยนอนพักเล่นที่ลาดไหล่และมองดูผู้อื่นร่าเริงเล่นรำกัน.

ถึงที่นั่นแล้ว ทั้งสองก็หาที่พัก. เห็นตามสุมทุมและสนามหญ้า มีผู้อื่นๆ เลื่อนลอยไปมาอยู่แล้วนับจำนวนไม่ถ้วน ทรงพัสตราภรณ์เ บ้างแดงบ้างเขียวขาว. พวกเหล่านั้นเป็นหมู่ๆ เข้ามาทักทายปราศรัยผู้อุบัติใหม่ทั้งสองซึ่งดั่งพึ่งตื่นขึ้น. ผู้อุบัติใหม่ทั้งสองก็เข้าร่วมเล่นรำปนไปกับพวกเหล่านั้น.

เลื่อนลอยเยื้องไปกรายมาเป็นเวลานาน เฉียดสุมทุมแล้วร่อนเวียนรอบเขา ผ่านทุ่งตัดละเมาะข้ามสระบัว สุดแล้วแต่ว่าหัวหน้าแถวจะนำไปทางไหน. ทันใดนั้นกามนิตไปพบเทพธิดาพัสตราภรณ์ขาวที่เคยรู้จักกันมาแต่ครั้งแรก และเคยชวนกามนิตไปที่แม่คงคา. เมื่อได้จับมือกันเล่นรำกันแล้ว, เทพธิดาพัสตราภรณ์ขาวผู้นั้นก็ถามกามนิตมีอาการยิ้มๆว่า-

“นี่ท่านไปที่ฝั่งคงคาแล้วหรือยัง? อ้อ! มีเพื่อนแล้ว.”

กามนิตตอบว่า “ยังไม่ได้ไป.”

วาสิฏฐี - “อะไรกัน!”

กามนิตเล่าเรื่อง

วาสิฏฐี - “อย่างนั้นก็ไปกันสักทีจะดี. เมื่อครั้งยังอยู่ในมนุษยโลกอันเต็มด้วยทุกข์ทรมาน, ฉันได้เคยแหงนดูคงคาสวรรค์นี้อยู่บ่อยๆ และยังนึกถึงแดนอันเป็นบรมสุขที่แม่คงคาไหลผ่านไป ว่าทำไฉนเราจะได้ขึ้นไปอยู่ด้วยกันบนนั้นสักวันหนึ่ง. เวลานี้ฉันรู้สึกมีอะไรบังคับหัวใจให้อยากไปที่นั้น ไปเลื่อนลอยอยู่กับเธอที่ฝั่งนั้น.”

ทั้งสองออกจากกลุ่มผู้เล่นรำ เลื่อนลอยไปทางห่างไกลจากสระที่ตนอยู่, มาได้สักครู่ ก็ไม่เห็นสระบัวหรือดอกบัวซึ่งมีผู้เกิดอยู่ในนั้นอิกต่อไป, ยิ่งมาไกลดอกไม้ต่างๆ ที่เคยผ่านมาเนืองแน่นค่อยเบาบางลงไป, ผู้เสวยบรมสุขที่ได้พบก็มีน้อยลง, คงเห็นแต่ฝูงเนื้อทรายพลุกพล่านอยู่ในทุ่ง. ตามสระมีหงส์ลงว่ายเล่นลอยล่อง, เห็นน้ำแหวกเป็นทางมีแสงประกาย. ส่วนภูเขาก็สูงตระหง่านขึ้นทุกที และมีหินล้วน. ครั้นแล้วก็ถึงที่เวิ้งว้างไม่มีเขาเลยทีเดียว.

กามนิตกับวาสิฏฐีลอยมาถึงที่ราบแห่งหนึ่งดูราวกับทะเล, มีแต่หญ้าหนามต่ำเตี้ยเป็นพง, ถัดไปทางหน้าเป็นป่าตาล แลดูเป็นรูปโค้งอยู่ระกะ เห็นเป็นพืดไป. ลอยมาถึงป่านั้น, รู้สึกว่ามีเงาบังมืดครึ้มขึ้นทุกที. ลำต้นตาลมีแสงคล้ายโลหะ, บนยอดมีเสียงคล้ายโลหะกะทบกัน. มองไปข้างหน้า เห็นแสงสว่างฉูดขึ้นเป็นลำๆ พุ่งปลายแหลมเต้นส่ายอยู่ปลาบแปลบ จนเคืองนัยน์ตาต้องเอามือปิด, คล้ายๆ กับว่าที่ในป่านั้น มีเสาเงินมหึมา ถูกแสงสูรย์ในตอนเช้าแผดมากะทบแล้ว กะท้อนแสงแทงตาแปลบๆ. ภายหลัง เมื่อทั้งสองแข็งใจเปิดหน้า ก็เห็นตนกำลังเลื่อนลอยออกจากเขตต์ป่าตาลมาแล้ว, เห็นคงคาสวรรค์อยู่ข้างหน้า มีกระแสน้ำแผ่ไปดั่งเงินยวงจนจดขอบฟ้า ริมฝั่งมีระลอกน้อยๆ เป็นประกายราวกับดาวร่วงลอยมาติดบนหาดทรายฉายแสงพร่างพราวเป็นประพาล ส่วนท้องฟ้านั้นเล่า ตามปกติควรจะแจ่มใสขึ้นเมื่อจวนจะถึงขอบฟ้า, แต่ในที่นี้ตรงกันข้าม ในชั้นต้นเป็นสีครามอ่อนแล้วเข้มเข้าทุกที จนในที่สุดถึงตอนขอบฟ้าเลยทึบเป็นสีดำสนิท จดกับสายน้ำซึ่งมีแสงขาวเห็นเป็นแนวชัด.

กลิ่นหอมแห่งดอกฟ้า ในที่นี้ไม่มีเลย, ไม่เหมือนกับในหุบเขาซึ่งมีต้นปาริชาต อันมีความหอมอบอวลอยู่ทั่วไป. แต่ว่าในที่นี้ มีแม่น้ำแห่งสกลจักรวาล ซึ่งประกอบด้วยอากาศเย็นสดชื่น กลืนเอากลิ่นหอมไปเสียสิ้น คงเหลือแต่ความบริศุทธิ์อันแท้อยู่เท่านั้น. วาสิฏฐีพยายามตั้งหน้าสูดอากาศอันสดชื่นนี้เสียจริงๆ, ส่วนกามนิตรู้สึกว่าหายใจแทบไม่ทัน.

อีกอย่างหนึ่ง ในสถานที่นี่ เสียงดนตรีชาวสวรรค์มิได้ยินมาแม้แต่น้อย, มีแต่เสียงกระแสน้ำที่ทดถั่งหลั่งไหลดังราวกับฟ้ากระหึม.

วาสิฏฐียกมือขึ้น และกระซิบว่า “ฟังซี.”

กามนิต “แปลกจริง ครั้งหนึ่งเมื่อฉันเที่ยวจารึกไป, ได้พบที่พักเป็นกระท่อมน้อยอยู่ปากช่องหุบเขา. ถัดกระท่อมเข้าไปหน่อย มีลำธารน้อยน่ารักอยู่สายหนึ่ง น้ำใสไหลรินๆ. ฉันได้ลงไปล้างเท้า. ถึงเวลากลางคืน ฝนตกห่าใหญ่, ฉันนอนลืมตาอยู่ในกระท่อม ได้ยินเสียงน้ำในลำธาร ซึ่งเมื่อตอนเย็นยังไหลรินๆ กลายเป็นเสียงไหลพุ่งพล่านโครมครามหนักขึ้นทุกที. และในคราวเดียวกันนี้ ได้ยินเสียงอะไรกะแทกดังราวฟ้าผ่า ไม่ทราบว่าเป็นเสียงอะไร. รุ่งเช้า ได้เห็นลำธารน้อยนั้น กลายเป็นโกรกกรากที่เดือดพล่าน, เป็นน้ำไหลดันกันมาราวกับเทตรงลงจากฟ้า กะทบถูกแก่งผาแตกกระจายเป็นฟองขาว, มีกำลังแรงดันก้อนหินมหึมากลิ้งกะทบกัน. นี่เองคือเสียงที่ดังเป็นฟ้าผ่า. เมื่อได้มาเห็นที่นี่อันมีเสียงดังเช่นเดียวกัน, ทำให้ระลึกถึงที่ได้เห็นในคราวนั้นได้ทันที: ดั่งนี้จะว่ากระไร?”

วาสิฏฐี - “เป็นเพราะมีเสียงอย่างเดียวกัน. แต่ว่าเสียงที่ได้ยินครั้งโน้น เป็นเสียงหินกระทบกัน. ส่วนเสียงที่ได้ยินในแม่คงคาบนสวรรค์นี้ เป็นเสียงจักรวาลต่างๆ ที่หมุนลอยไปแล้วกะทบกัน, จึ่งดังเป็นฟ้าผ่า.”

กามนิตแสดงกิริยาตกใจ - “จักรวาลหรือ?”

วาสิฏฐียิ้ม ทันทีตัวก็เลื่อนลอยไป. กามนิตตกใจคว้าวาสิฏฐีไว้ แล้วพูดว่า “วาสิฏฐี, ระวังให้ดี. ขืนเลื่อนลอยไป จะไปตกอยู่ในอำนาจอะไรก็ไม่รู้ได้. ออกวิตกอกสั่นอยู่แล้วละ ไม่อยากจะให้พลัดกันไป.”

วาสิฏฐี - “ก็อย่างนั้น, เธอจะตามฉันมาไม่ได้หรือ?”

กามนิต - “ขอยอมตามไปจริง ๆ. แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าไม่มีเหตุเภทภัยทำให้เราต้องพลัดกัน? ถึงว่าเราจะอยู่ต่อไปในที่นี้, ก็ยังรู้ไม่ได้ว่าอาจจะต้องพรากกันไกลจากแดนบรมสุขนี้ ไปสู่แดนอันหาเขตต์มิได้ แล้วจะได้รับทุกข์ทรมานสักปานไร?”

วาสิฏฐี - “แดนอันหาเขตต์มิได้” แล้วนางเหม่อมองดูไปทางแม่คงคาจนสุดสายตาเห็นเป็นเส้นเขตต์ดำจดขอบฟ้า มีอาการดั่งจะคิดชำแรกเลยเขตต์นั้นเข้าไปดูอิก, แล้วพูดว่า “อันบรมสุขในสวรรค์จะมีเขตต์สุดบ้างไหมหนอ?”

กามนิต - “วาสิฏฐีที่รัก, ฉันนึกๆ ก็ไม่อยากจะพาเธอมาที่นี้ ทำให้คิดยุ่งไปต่างๆ นานา. กลับกันเถิด.”

ทั้งสองก็พากันผ่านดงตาลกลับมา แต่ยังอาลัยเหลียวไปดูลำคงคาสวรรค์อิกครั้งหนึ่ง.

เมื่อทั้งสองกลับสู่ที่สถิตดอกบัวกลางสระอันใสปานแก้วแล้ว ก็เลื่อนลอยไปอิก สู่บริเวณหมู่ไม้ซึ่งออกดอกล้วนเป็นมณีรัตน์, เข้าร่วมเล่นรำร่าเริงอยู่ในหมู่ชาวสวรรค์ เสวยความสุขวิเศษ มีความรักอันปราศจากเครื่องกีดขวางเหมือนแต่ก่อน

ครั้งหนึ่ง ขณะเล่นรำกันอยู่ ได้พบเทพธิดาพัสตราภรณ์ขาวสหายเก่า. นางผู้นั้นปราศรัยว่า “อ้อ! นี่ไปที่ฝั่งคงคาสวรรค์มาแล้ว?”

“ไฉนจึ่งทราบว่าไป?”

“ง่ายนิดเดียว, เพราะถ้าใครเคยไปแล้ว ก็มีวงหน้าแสดงเค้าความทุกข์ความวิตกติดมา เพราะเหตุนี้ ตัวฉันเองจึ่งไม่อยากไป. และท่านทั้งสองคงไม่ไปเป็นครั้งที่สองอีก, ใครๆ ก็ไม่ไปเป็นครั้งที่สองเลย.”

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ