สี่สิบสี่ พินัยกรรมวาสิฏฐี

พระปัจฉิมพุทธพจน์ที่ฉันได้ยินกับหูจริง ๆ เมื่ออยู่ในมนุษยโลกเป็นดั่งที่เล่าแล้วนั้น.

กำลังร่างกายที่ฉันจะทรงชีพอยู่ต่อไป เป็นอันหมดเสียแล้ว. ความไข้เข้ามาสู่ตนหนักลงจนเพียบไม่รู้สึกสติ. ฉันได้เห็นหน้าคนที่มารุมรอบตัวฉัน เป็นเงา ๆ คล้ายในความฝัน, ที่จำเค้าได้แน่นอน คือหน้าเมทินีซึ่งประจำอยู่เสมอ. ครั้นแล้วก็วูบมืดไปหมด. และในทันใดนั้น ดูเหมือนมีน้ำอันเย็นชุ่มมาชะโลมให้พิษไข้ที่ร้อนแรงจางหายไป เหมือนดั่งเดิรทางมายืนอยู่ริมขอบสระภายใต้แสงแดดที่แผดจัด, แล้วรู้สึกว่าตนเองเป็นดอกบัวภายในน้ำอันเย็นฉ่ำ ได้รับความชุ่มชื่นตลอดถึงก้าน. และในคราวเดียวกัน น้ำหนักที่มีอยู่ข้างบนค่อยเบาลงทุกที, เห็นดอกบัวสีแดงขนาดใหญ่ลอยอยู่เหนือตน, ที่ริมขอบดอกบัว เห็นแววหน้าอันงามของเธอกำลังชะโงกลงมาดู, ครั้นแล้วฉันก็ลอยขึ้นมาเหนือน้ำได้อย่างสบาย, เมื่อตื่นขึ้นก็เห็นมาอยู่ใกล้เธอ ในสวรรค์สุขาวดี.

กามนิต- “ขอความเจริญจงมีแก่หล่อนเถิด ที่ความรักของหล่อนชักนำให้ขึ้นมาอยู่บนนี้ได้. ถ้าหล่อนไม่ตามขึ้นมาด้วย, ป่านนี้ฉันจะไปอยู่ในภพไหนอีกต่อไปก็ทราบไม่ได้. จริงอยู่ ในเวลานี้เรายังไม่รู้ว่าจะสามารถช่วยตัวเองให้พ้นภัยในคราวที่โลกานุโลกถึงการประลัยได้อย่างไร. แต่กระนั้น ถ้อยคำที่หล่อนกล่าวมาแล้ว ทำให้ฉันมีความเชื่อมั่นในใจ: เพราะดูหล่อนมิได้มีความวิตกหวาดสะดุ้งต่อสิ่งที่จะถึงกาลประลัยไปอยู่แล้วแม้แต่น้อย, เปรียบเหมือนแสงแดดอยู่ในกลางพายุ จะสะเทือนด้วยก็หาไม่.”

“ผู้เคยพบเหตุการณ์ที่ใหญ่กว่า ย่อมไม่มีความหวั่นสะเทือนแม้แต่น้อย. เหตุการณ์ครั้งนี้ คือสกลจักรวาลจะต้องถึงปางประลัยไป. แม้ดูเป็นใหญ่เหลือประมาณ, ถ้าเปรียบกับเหตุการณ์ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จเข้าปรินิพพาน, ก็นับว่าเล็กน้อย. เพราะบรรดาที่เราเห็นอยู่โดยรอบนี้ เป็นแต่อาการที่เปลี่ยนไปตามธรรมดาเท่านั้น. แล้วชีพทั้งหลายเหล่านี้ก็จะเข้าสู่แดนแห่งความเกิดอิก, ท้าวมหาพรหมที่เห็นอยู่โน่น กำลังเป็นบ้าพยายามต้านทานต่อสิ่งที่ต้านทานไม่ได้, และบางทีจะมองดูเราด้วยริษยา ที่เห็นเรายังส่องแสงอยู่เรื่อย ๆ ไม่มีลดลง. ท้าวมหาพรหมนี้ซึ่งเผอิญมาสิ้นบุณย์ เมื่อถึงกาลประลัยแล้ว คงจะไปเกิดใหม่ในภูมิต่ำลง. และมีผู้ที่ตั้งประณิธานจะได้จุติมาเป็นท้าวมหาพรหมต่อไป. บุุทคลจะไปสู่ภพใด ก็ด้วยมีประณิธานอันแน่วแน่ประกอบด้วยกรรมเป็นเครื่องนำไป. โดยสรูปสิ่งทั้งหลายก็เป็นไปตามสภาพของมันไม่ดีไม่ชั่ว เกิดมาจากธาตุเดียวกัน: ฉันจึ่งว่าเป็นสิ่งเล็กน้อย. และเพราะด้วยเหตุเดียวกันนี้ ฉันไม่เห็นเป็นของน่าตกใจกลัวอย่างไร, ซ้ำจะเป็นที่น่ายินดีที่เผอิญได้มีชีวิตอยู่เห็นในระวางกาลประลัย. เพราะถ้าหลงไปว่า พรหมโลกเป็นอนันตะไม่มีเขตต์สุดแล้ว, ก็จะเลยไม่มีญาณความหยั่งรู้สิ่งไรที่เลิศกว่า.”

“เช่นนั้น หล่อนก็รู้สึกสิ่งซึ่งเลิศกว่าพรหมโลกนี้ อย่างนั้นหรือ?”

“พรหมโลกนี้ กำลังจะสิ้นไปเธอก็เห็นอยู่. แต่มีแห่งหนึ่ง ไม่มีความสิ้นไป ไม่มีเบื้องต้นและเขตต์สุด. ซึ่งพระบรมศาสดาเคยตรัสว่ามีอายตนะ (แดน) อันหนึ่ง, ไม่ใช่ดินน้ำไฟลม ไม่ใช่นามธรรมมีอารมณ์ยึด ไม่ใช่โลกนี้โลกหน้า ไม่ตั้งอยู่ในทิศไหน ตำบลไร ไม่ใช่เมืองแก้ววิเศษรุ่งเรืองไพศาล ไม่ใช่ที่ไปที่มาที่เคลื่อนที่หยุด ไม่มีที่ยึดเกาะเกี่ยว ไม่มีเกิดไม่มีตาย, แต่เป็นที่สุดแห่งทุกข์ เรียกว่าพระนิพพาน, เป็นของลึกซึ้ง นึกเห็นเอาด้วยยาก นึกรู้ตามด้วยยาก คาดคะเนเอาไม่ได้ เป็นของประณีตละเอียด, เพราะรำงับสังขารทั้งปวง เพราะสลัดคืนกิเลสทั้งปวง เพราะสิ้นความแส่อยาก, จึ่งเป็นที่สงบเงียบ เป็นที่ดับเย็นสนิท, บัณฑิตก็พึงทราบได้เอง.”

“ดูก่อนเจ้าผู้เป็นที่น่าชื่นใจ เป็นผู้มีความบริศุทธิ์, จงช่วยฉันด้วย เราทั้งสองจะได้ลอยเด่นขึ้นอิก เพื่อไปสู่แดนแห่งศานตินั้น.”

“พระบรมศาสดาเคยตรัสว่า ที่ว่าเราจะลอยเด่นขึ้นอิกนั้น, ไม่เป็นความจริงแห่งแดนนั้น. ที่ว่าเราจะไม่ลอยเด่นขึ้นอิกนั้น, ก็ไม่เป็นความจริงฉันเดียวกัน. ท่านจะสมมุติบัญญัติสิ่งใด ที่ท่านทำขึ้นหลาก ๆ ยุ่งเหยิงอย่างไร ๆ และสามารถจะจับถือได้, ย่อมไม่เป็นความจริงแห่งแดนนั้น.”

“อ้าว! แล้วมีประโยชน์อะไรแก่ฉัน ในสิ่งซึ่งฉันจับถือเอาไม่ได้?”

“ขอในสิ่งที่จับถือได้ จะมีค่าควรกับยื่นมือออกไปรับหรือ?”

“วาสิฏฐี, ฉันเชื่อแน่ว่า ในชาติใดชาติหนึ่ง ฉันคงได้ฆ่าพราหมณ์ หรือกระทำอกุศลอุกฉกรรจ์ ที่คล้ายคลึงอนันตริยกรรม. ผลนั้นจึ่งตามสนองอย่างรุนแรงไปถึงในถนนน้อยในกรุงราชคฤห. เพราะถ้าฉันไม่ประสพภัยตายไปในปัจจุบันทันด่วนณที่ตรงนั้น, ฉันก็คงได้ไปเฝ้าแทบบาทพระพุทธเจ้าแล้ว, แล้วคงจะได้เฝ้าอยู่อย่างเดียวกับหล่อน ในเวลาที่เสด็จเข้าปรินิพพาน, แล้วจะได้มีใจสงบเหมือนกับหล่อนในบัดนี้. มาเถิด, วาสิฏฐี, ในขณะที่เรายังมีสติสัมปชัญญะอยู่นี้, ขอหล่อนเห็นแก่ความรักซึ่งมีแก่ฉัน, จงอธิบายพุทธลักษณะให้ฉันเห็นขึ้นในใจให้ถี่ถ้วนถูกต้องตามความเป็นจริง เพื่อฉันจะได้ชมพระลักษณะซึ่งฉันไม่มีโอกาสได้เห็นเมื่อครั้งอยู่ในมนุษยโลก, จะได้ช่วยให้ฉันได้รับศานติสุข”

“ยินดี ที่จะพรรณนาให้เธอฟัง,” แล้ววาสิฏฐีก็จาระไนพุทธลักษณะโดยละเอียดถี่ถ้วน.

กามนิตตอบด้วยยังมีความไม่พอใจอยู่มากว่า “มีประโยชน์อะไรที่บอกมา? เพราะเท่าที่รำพันให้ฟังทั้งหมด ไม่ผิดแม้แต่นิดเดียวกับรูปพระภิกษุชรา ที่ฉันร่วมแรมคืนอยู่ด้วยในห้องโถงชายปั้นหม้อ ณกรุงราชคฤห, ที่ฉันเล่าให้หล่อนฟังแล้ว และซึ่งฉันได้เข้าใจว่าเป็นผู้ไม่รู้อะไร. แต่บัดนี้รู้สึกว่า ที่พระภิกษุชราองค์นั้นกล่าวไว้ เป็นความจริงทุกประการ. แต่ช่างเถิด, วาสิฏฐี, ไม่ต้องชี้แจงอิกต่อไปดอก. เป็นแต่ขอให้หล่อนนึกเพ่งเป็นนิมิตต์ขึ้นในมนัสของตนเอง ซึ่งภาพพระพุทธเจ้า จนเด่นชัดเท่ากับได้อยู่ฉะเพาะพระพักตร์. และอาศัยที่เรามีฉันทฤทธิ์ร่วมกันในวิถีฌาน ฉันก็อาจมีส่วนเห็นด้วยพร้อมไปกับหล่อน.”

วาสิฏฐียินดีตามที่ขอ, แล้วก็สำรวมจิตต์แน่วแน่ประมวลอารมณ์ให้เป็นหนึ่ง นึกหน่วงถึงพระรูปพระพุทธเจ้า ตามที่ตนเคยเห็นในขณะที่จวนเสด็จเข้าพระปรินิพพาน.

“เธอเห็นพระรูปหรือยัง?”

“ยัง, วาสิฏฐี.”

วาสิฏฐีคิดว่า “จำเราต้องให้รูปนิมิตต์ที่เกิดในดวงจิตต์นี้ สมานกับชีวรูปอื่นรวบเข้ากันให้สนิทเสียก่อน.” นางมองไปในอากาศธาตุซึ่งหาเขตต์ไม่ได้โดยรอบ ในที่ซึ่งพรหมโลกกำลังอยู่ในอาการจะแตกทะลายไป.

อันว่านายช่างหล่อผู้สามารถยอดเยี่ยม จัดทำแม่พิมพ์มหาเทวรูปอันทรงสง่าสำเร็จแล้ว, แต่มารู้สึกว่ามีโลหธาตุที่จะหล่อไม่เพียงพอแก่แม่พิมพ์นั้น, เที่ยวมองหาโลหธาตุที่มีอยู่ในโรงงานของตน, พบวัตถุที่กระจายเกลื่อนอยู่รอบตัว มีเทวรูปน้อย ๆ และรูปอื่นต่าง ๆ ที่เป็นโลหธาตุ ซึ่งตนได้ทำมาแล้วทั้งหมด, ก็เอามารวมเข้าในเบ้าหลอมด้วยความพอใจ เพื่อสามารถหล่อรูปทิพย์ให้ได้บริศุทธิ์เลิศเพียงรูปเดียว, ดั่งนี้มีอุปมาฉันใด. วาสิฏฐีมองหาในอากาศอันหาเขตต์มิได้อยู่รอบตัว แล้วเอาบรรดาสิ่งที่เหลือจากรัศมีอันกำลังอ่อนแสง และรูปพรรณสัณฐานต่าง ๆ ในพรหมโลก ซึ่งกำลังจะสลายไป เข้ามาไว้ในดวงจิตต์ด้วยอำนาจมโนมยฤทธิ์ รวมลงเบ้าคือห้องมนัสของนางหลอมลงสู่แม่พิมพ์. ก็เกิดพระรูปสมบัติครบถ้วนมหาบุรุษลักษณะมีสิริมหิมา แห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในขณะที่จะเข้าพระปรินิพพาน, ก็มีอุปมัยฉันเดียวกัน, ปรากฏแจ่มจ้าดั่งเดือนเพ็ญเด่นอยู่กลางโพยม.

และขณะที่ได้เห็นพระรูปนี้อยู่ฉะเพาะหน้าแล้ว, วาสิฏฐีบังเกิดความรู้ สิ้นความกระหายอันหมักหมม และความทุกข์อาลัย, แล้วเพ่งดิ่งแน่วแต่จะให้ กามนิตเห็นพระรูปโฉมนั้นด้วย.

ครั้นแล้วกามนิตก็พูดขึ้นว่า “ฉันเริ่มจะเห็นรูปขึ้นบ้างแล้ว. จงรวมกำลังใจให้มั่น ให้พระรูปเปล่งรัศมีให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น.”

วาสิฏฐีก็เบ่งอำนาจแห่งฤทธิวิธี นำเอารูปท้าวมหาพรหมที่เหลืออยู่สู่เบ้าหลอมเข้าแม่พิมพ์ คือ ห้องมนัสอีก เพิ่มประกอบพระศรีรรูปให้ชัดเจนที่สุด.

ขณะนั้นกามนิตก็พูดขึ้นว่า “เดี๋ยวนี้ฉันเห็นชัดขึ้นแล้ว.”

ส่วนวาสิฏฐี รู้สึกประจักษ์แก่ฌาน เป็นพระพุทธเจ้า อย่างที่ทรงศัยยาสน์จะเสด็จปรินิพพาน ทรงชำเลืองเห็น และทอดพระเนตรเพ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตรัสกะนางว่า “มาแล้วหรือ? บทโอวาทที่ให้ไว้ระลึกแจ้งจบแล้วหรือ?”

กราบทูลสนองในวิถีจิตต์ว่า-

“จบแล้ว พระเจ้าข้า.”

“ดีแล้ว, วาสิฏฐี. หนทางอันไกลที่ต้องเดิรทรมานกายมา ไม่ทำให้เหนื่อยบ้างหรือ? ยังต้องการให้ตถาคตช่วยเหลืออยู่อิกหรือไม่?”

“พอความต้องการแล้ว, พระเจ้าข้า.”

“ดีแล้ว. ตัวท่านยังยึดถือตนอยู่หรือเปล่า?”

“ข้าพระองค์รู้แจ้งซึ่งตนแล้ว, พระเจ้าข้า, เหมือนผู้ลอกกาบกล้วยออก จะไม่พบแก่นต้นกล้วยนั้นฉันใด. ข้าพระองค์ก็ได้เรียนรู้แจ้งซึ่งตนว่า เป็นสภาพแปรปรวน ไม่คงที่ถาวร เพราะหาแก่นสารมิได้, แล้วข้าพระองค์ก็ย่อมละความอาลัยยึดถือดื้อดึงเสีย ด้วยความหยั่งทราบเท่าที่เป็นจริง ว่า ‘นี้ไม่ใช่ของเรา, นี้ไม่ใช่เรา, นี้ไม่ใช่อาตมันของเรา, มีแต่มายาเท่านั้น.’”

“ดีแล้ว. บัดนี้ท่านยังยึดถืออยู่แต่พระธรรมอย่างเดียวหรือ?”

“ข้าแต่พระองค์, พระธรรมเป็นเครื่องนำให้ข้าพระองค์ไปสู่จุดที่หมาย, เปรียบเหมือนผู้ที่ข้ามลำธารโดยอาศัยแพเป็นเครื่องข้าม, ครั้นเมื่อถึงฝั่งที่หมายแล้ว, ก็ไม่ข้องแวะแพนั้นต่อไป หรือไม่ลากเอาแพนั้นขึ้นไปด้วย. เพราะฉะนั้น ในบัดนี้ได้ปล่อยอะไร ๆ ทั้งสิ้น จนพระธรรมนั้นแล้ว ไม่ได้เกาะเกี่ยวอะไรอิกต่อไป.”

“ดีแล้ว เมื่อไม่เกาะเกี่ยวในสิ่งไร ปราศจากความพัวพันในสิ่งไร ๆ มีสติรู้ตัวอยู่เสมอว่ามีแต่มโนธาตุ นั่นเพียงเป็นคู่สำหรับญาณ คือความรู้อันแจ่มใสและสำหรับสติโดยฉะเพาะ, ทั้งไม่อาศัยเกาะเกี่ยวอะไร ๆ ในภพเลย ดั่งนี้, ท่านก็จะขึ้นไปสู่ที่อันเป็นศานติอย่างตถาคตได้.”

ขณะนั้น กามนิตพูดขึ้นว่า “บัดนี้ ฉันอาจเห็นพระพักตร์พระพุทธเจ้าแล้ว, แต่จำได้ราง ๆ คล้ายเห็นในน้ำไหล.”

วาสิฏฐี ก็เบ่งอำนาจมโนมยิทธิไปในอากาศอันว่างเปล่าจนสุดสามารถอิก.

กามนิตสังเกตเห็นวาสิฏฐี บัดใจก็อันตรธานวับไป, แต่ก็อันตรธานเหมือนดั่งผู้กำลังจะตาย ได้ทำพินัยกรรมเป็นมฤดกไว้ให้. กล่าวคือวาสิฏฐีได้มอบพระรูปโฉมซึ่งเหมือนดั่งองค์พระพุทธเจ้าให้ไว้แก่กามนิตอยู่ในท่ามกลางแห่งความว่างเปล่า, ซึ่งบัดนี้กามนิตเห็นได้ชัดเจน และจำได้.

“อ้อ! พระภิกษุชราที่อาตมาได้แรมคืนร่วมอยู่อยู่ในกรุงราชคฤห และดูหมิ่นว่าโง่เซอะ คือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง. อาตมานี้ชั่งเขลาเสียจริง ๆ จะมีใครโง่เขลาเหมือนอย่างอาตมานี้บ้างไหมหนอ? สิ่งที่อาตมาปรารถนาคือความสุขอันสูงสุด เพื่อความหลุดพ้นนั้น ก็มีอยู่ในญาณแห่งอาตมาแล้วนับได้หลายอสงไขยกัลป์.”

ครั้นแล้วพระรูปพระพุทธเจ้าก็เข้ามาใกล้มโนวิถีกามนิตเด่นขึ้นทุกที จนดูประหนึ่งว่าเป็นเมฆเลื่อนลอยเข้ามา, แล้วหุ้มกามนิตเป็นดั่งหมอกที่มีรัศมีรุ่งเรืองใสกระจ่าง ฉะนั้น.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ