- คำนำ
- ภาคหนึ่ง บนดิน
- หนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จกลับเบญจคีรีนคร
- สอง พบ
- สาม สู่ฝั่งแม่คงคา
- สี่ สาวน้อยผู้เดาะคลี
- ห้า รูปวิเศษ
- หก บนลานอโศก
- เจ็ด ในหุบเขา
- แปด ดอกฟ้า
- เก้า ใต้ดาวโจร
- สิบ รหัสยลัทธิ
- สิบเอ็ด งวงช้าง
- สิบสอง ที่ฝังศพของวาชศรพ
- สิบสาม เพื่อนบุณย์
- สิบสี่ ผู้เป็นสามี
- สิบห้า ภิกษุโล้น
- สิบหก เตรียมรับมือ
- สิบเจ็ด สู่ความเป็นผู้ละบ้านเรือน
- สิบแปด ในห้องโถงช่างปั้นหม้อ
- สิบเก้า พระศาสดา
- ยี่สิบ เด็กดื้อ
- ยี่สิบเอ็ด ในท่ามกลางความเป็นไป
- ภาคสอง - บนสวรรค์
- ยี่สิบสอง ภูมิสุขาวดี
- ยี่สิบสาม การต้อนรับแห่งชาวสวรรค์
- ยี่สิบสี่ ต้นปาริชาต
- ยี่สิบห้า บัวบาน
- ยี่สิบหก สร้อยแก้วตาเสือ
- ยี่สิบเจ็ด สัจจกิริยา
- ยี่สิบแปด บนฝั่งคงคาสวรรค์
- ยี่สิบเก้า ท่ามกลางกลิ่นหอมแห่งดอกปาริชาต
- สามสิบ มีเกิดก็มีตาย
- สามสิบเอ็ด ปิศาจที่บนลาน
- สามสิบสอง สาตาเคียร
- สามสิบสาม องคุลีมาล
- สามสิบสี่ นรกหอก
- สามสิบห้า การบูชาอันบริศุทธิ์
- สามสิบหก พระพุทธและพระกฤษณ
- สามสิบเจ็ด ดอกฟ้าเหี่ยว
- สามสิบแปด พรหมโลก
- สามสิบเก้า ความมืดแห่งโลกานุโลก
- สี่สิบ ในสุมทุมพุ่มไม้พระกฤษณ์
- สี่สิบเอ็ด โอวาทอย่างง่ายๆ
- สี่สิบสอง ภิกษุณีอาพาธ
- สี่สิบสาม มหาปรินิพพาน
- สี่สิบสี่ พินัยกรรมวาสิฏฐี
- สี่สิบห้า กลางคืนและรุ่งเช้าในสกลจักรวาล
สี่ สาวน้อยผู้เดาะคลี
เวลางามยามบ่ายวันหนึ่ง โสมทัตต์กับข้าพเจ้าพากันไปเที่ยวที่อุทยานนอกเมือง. อุทยานนี้งดงามมาก ตั้งอยู่ริมฝั่งอันสูงของแม่คงคา มีต้นไม้ใหญ่ใบครึ้ม มีสระบัวขนาดใหญ่ มีศาลาที่พักอาศัย และซุ้มมะลิเลื้อย, ซึ่งในเวลานั้น ประชาชนพากันไปเที่ยวหาความสำราญใจกันเกลื่อนกล่น. ข้าพเจ้ากับโสมทัตต์นั่งบนชิงช้า มีคนคอยรับใช้แกว่งไกวให้, รู้สึกเบิกบานใจไม่น้อย ในขณะที่ได้ยินเสียงนกโกกิลา นกประหรอตเทศร้องระงม ทันใดนั้นได้ยินเสียงกำไลข้อเท้ากะทบกัน โสมทัตต์สหายข้าพเจ้าก็ผลุนผลันลุกขึ้นออกจากชิงช้า พลางเรียกข้าพเจ้าว่า “ดูทางนี้, กามนิต ดูพวกนางงามที่สุดของกรุงโกสัมพีกำลังเดิรมาเป็นหมู่. สตรีเหล่านี้ล้วนเป็นพรหมจาริณี เลือกสรรเอามาจากพวกมั่งมีและชั้นสูงทั้งนั้น สำหรับมาเล่นคลีบูชาพระลักษมีเทวีแห่งเขาวินธัย. นับว่าเคราะห์ดีมาก, สหายเอ๋ย! ที่ได้มาเห็นนางงามในเวลาเดาะคลี เพราะจะดูได้เต็มตาไม่มีใครหวงห้าม. มาเถิด! อย่าให้เสียเที่ยวเลย.”
เป็นธรรมดาอยู่เอง ในเรื่องเช่นนี้ ไม่ต้องคอยให้เตือนซ้ำ ข้าพเจ้าลุกขึ้นตามโสมทัตต์ติด ๆ ไปโดยเร็ว. ถึงที่แห่งหนึ่ง สร้างเป็นเวทีขนาดใหญ่ ประดับประดาด้วยแก้วหินต่าง ๆ เห็นเหล่านางงามรวมกันอยู่บนนั้น กำลังจะลงมือเล่น. ข้าพเจ้าต้องยอมรับว่าที่ได้มาเห็นนางแน่งน้อย แต่ละคนทรงโฉมควรพิศวง สวมพัสตราภรณ์ล้วนแพรพรรณพริ้งพราวด้วยเครื่องถนิมอลังการแลลานตาดั่งนี้ มิใช่เป็นสิ่งที่จะได้ดูบ่อย ๆ; ป่วยกล่าวไปใย ถึงกิริยาท่าทางที่เรียงร่ายย้ายท่าอันงอนงามในยามไขว่คว้าลูกคลี, เพียงได้เห็นอยู่นี้เป็นแต่ชั้นต้น. ต่อนั้นไปเหล่านางผู้มีเนตรดั่งตาทรายก็ยักย้ายท่าทางต่าง ๆ ในเวลาโยนแย่งคลีกัน ให้เห็นเป็นขวัญตาข้าพเจ้าเป็นเวลาอยู่ช้านาน. ครั้นแล้วนางเหล่านั้นก็ถอยออก คงเหลืออยู่กลางรัตนเวทีแต่นางเดียว, อยู่กลางรัตนเวที _ และก็อยู่ในกลางดวงใจของข้าพเจ้าด้วย.
ดูก่อนท่านมาริสะ, ข้าพเจ้าพึงกล่าวได้ด้วยถ้อยคำเป็นไฉน? ถ้าจะพูดถึงความงามของนาง ก็เกรงว่าถ้อยคำของข้าพเจ้าอาจหาญอยู่สักหน่อย, เพราะถ้าจะกล่าวให้ท่านรู้สึกซึมทราบได้ดั่งหลับตาแลเห็น ข้าพเจ้าจะต้องเป็นมหากวีภรตเสียก่อน, และถึงจะมีความสามารถปานนั้น ท่านก็จะเห็นความงามได้เพียงราง ๆ เท่านั้น. รวมความ ข้าพเจ้าพอจะบอกได้เลา ๆ ว่าสาวน้อยที่อยู่กลางเวทีมีดวงหน้านวลประหนึ่งแสงจันทร์อันอ่อน ๆ รูประหงทรงอรชรหาตำหนิมิได้ ทรงทรามวัยอยู่ทั่วสรรพางค์, จนทำให้ข้าพเจ้าเผลอสติ คิดว่านางคือพระลักษมีเทวีอวตารมา. บังเกิดความยินดีซาบซ่านทันทีที่ได้มาเห็น.
ทันใดนั้น นางเริ่มเดาะคลีบูชาพระศรีเทวี มีกิริยาท่าทางทัดเทียมได้ ก็แต่ผู้สามารถเป็นพิเศษ นางโยนลูกคลีลงบนเวที ครั้นเมื่อลูกคลีค่อย ๆ กะดอนกลับ, นางเอาหัตถ์ดั่งกลีบดอกไม้ตบรับไว้ ให้ลูกคลีกระท้อนขึ้น แล้วก็เอาหลังหัตถ์ขึ้นรับ, และโยนกลับผลัดเปลี่ยนเวียนท่าตบต้อนลูกคลีด้วยหัตถ์ซ้ายและหัตถ์ขวาให้กระท้อนขึ้นลงเร็วและช้าวงไปจนตลอดด้านเวที. ถ้าท่านเป็นผู้รู้ดูชำนาญในการคลี, ซึ่งข้าพเจ้าสังเกตดูในกิริยาของท่าน ก็ต้องเข้าใจว่ามีความรู้ดี, และได้ไปเห็นด้วยตาเอง ก็คงบอกว่าจะหาผู้ที่ชำนาญยอดเยี่ยมเสมอนางเป็นไม่มี.
ครั้นแล้วนางได้แสดงการเล่นอย่างหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้ายังไม่เคยเห็นและทั้งยังไม่เคยได้ยินการเล่นชะนิดนี้ด้วย. กล่าวคือได้โยนลูกคลีทองหนึ่งคู่ แล้วเดาะให้ขึ้นลงอย่างรวดเร็วจนดูเป็นสายทอง ตั้งแต่พื้นเวทีตลอดขึ้นไปในอากาศ, ส่วนบาทก็ย่างย่ำเข้าจังหวะกับเสียงอาภรณ์ที่ประดับกาย. ถ้าจะเปรียบความเร็วของคลีก็คือ เห็นเป็นสายคล้ายซี่กรงทองและนางนั้น คือนกซึ่งกะโดดเต้นไปมาอยู่ในกรงทองปานเดียวกัน.
ถึงตรงนี้ตานางและข้าพเจ้าก็ประสพกัน !
ดูก่อนท่านอาคันตุกะผู้เจริญ, นับแต่นั้นมากะทั่งถึงบัดนี้ ข้าพเจ้าสงศัยยังเข้าใจไม่ได้ว่าทำไมข้าพเจ้าจึ่งไม่แดยันล้มลงขาดใจตาย เพราะสายตานางเสียแต่ในขณะนั้น จะได้ไปเกิดในสวรรค์? หรือบางทีเป็นเพราะวิบากกรรมในชาติก่อนยังชะลออยู่ ข้าพเจ้าจึ่งไม่ตายลงไปในขณะนั้น สู้มีชีวิตรอดพ้นภัยต่าง ๆ มาได้ถึงบัดนี้? ก็เห็นจะเป็นด้วยบุญกรรมยังหน่วงเหนี่ยวไว้ และกว่าจะหมดสิ้นไปก็คงจะอิกช้านาน.
จะขอย้อนเล่าต่อไป ถึงตอนนี้คลีลูกหนึ่งพลาดหัตถ์นาง กะเด็นออกจากกลางเวทีลงมาข้างนอก. บรรดาชายหนุ่มในที่นั้นหลายคน ต่างวิ่งกันเข้าไปแย่งเก็บลูกคลี; ข้าพเจ้าด้วยผู้หนึ่งที่วิ่งเข้าไปแย่งกับเขาด้วย และไปถึงลูกคลีก่อน. แต่ในทันทีกันนั้น ชายหนุ่มคนหนึ่งแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอันงามมีราคาแพง กรากเข้าไปแย่งข้าพเจ้า; ต่างฝ่ายไม่ต้องการให้ใครได้ลูกคลีเอาไป. แต่อาศัยข้าพเจ้ามีความรู้ในวิชชากลเม็ดมวยปล้ำชำนาญ จึงคว้าลูกคลีไว้ได้, ส่วนชายคนนั้นคว้าหลังรั้งข้าพเจ้าไว้มิให้ไป, แต่ไปคว้าถูกสร้อยคอทำด้วยแก้วมีเครื่องรางร้อย. สร้อยคอของข้าพเจ้าขาดทันที, กระทำให้ชายคนนั้นล้มลง; ข้าพเจ้าก็ได้ลูกคลีมา. ชายคนนั้นโกรธกะโดดลุกขึ้น, หยิบสร้อยที่ตกขาดอยู่ขว้างเท้าข้าพเจ้า. เครื่องรางที่ทำเป็นตาเสือเป็นของไม่สู้มีราคาอะไร แต่เป็นเครื่องคุ้มกันภัย, เวลานั้นไม่อยู่ในกายข้าพเจ้า. แต่ช่างเถิด, เพราะได้ลูกคลีอันเมื่อสักครู่ได้ถูกหัตถ์ดั่งดอกบัวของนางตบต้อง มาอยู่ในกำมือข้าพเจ้าแล้ว. และในทันทีนั้น ด้วยความชำนาญในการโยนคลีมาก่อน ข้าพเจ้าได้โยนลูกคลีขึ้นไปที่หน้าเวทีตรงมุมข้างหนึ่ง. ลูกคลีค่อยกระท้อนเข้าไปหาสาวน้อย ซึ่งในขณะนั้นยังคงตบลูกคลีที่เหลืออยู่อีกลูกหนึ่ง นางก็รับไว้ได้ กระทำให้คนดูแสดงความพอใจออกเซงแซ่. เมื่อการเล่นเพื่อบูชาพระลักษมีเทวีสิ้นสุดลงแล้ว, นางงามทั้งหลายก็หายหน้าไป ส่วนข้าพเจ้ากับโสมทัตต์ก็กลับบ้าน.
ขณะเดิรทางกลับ สหายข้าพเจ้าพูดขึ้นว่า ข้าพเจ้าเป็นคนโชคดีที่ไม่ได้รับราชการอยู่ในกรุงนี้ เพราะชายหนุ่มซึ่งเข้ามาแย่งลูกคลีกับข้าพเจ้า ไม่ใช่คนอื่นไกล เป็นบุตรของประธานมนตรี. ใคร ๆ ที่ได้เห็นเหตุการณ์ในเวลาที่แล้วมา, รู้สึกว่าชายหนุ่มคนนั้นแสดงกิริยาอาฆาตมาดร้ายข้าพเจ้าเป็นที่สุด. ความข้อนี้ไม่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกวิตกเดือดร้อนเลย ที่เดือดร้อนใจอยู่ในขณะนั้น ก็ที่ตรงจะต้องการทราบว่าสาวน้อยคนนั้นคือใคร, แต่ก็กะดากปากไม่อาจซักถาม. ฝ่ายโสมทัตต์ก็เดาความในใจข้าพเจ้าได้ แกล้งพูดชมเชยนางในการเล่นคลีต่าง ๆ นานา ข้าพเจ้าทำเป็นไม่รู้สึก และว่าหญิงที่เมืองข้าพเจ้ามีถมไปที่สามารถในการเล่นคลีไม่แพ้. แท้จริงในเวลานั้น หัวใจข้าพเจ้าปั่นป่วน ด้วยรู้สึกว่าตนได้กล่าวความเท็จ ควรที่จะต้องขอโทษนางผู้หาที่เปรียบในความงามมิได้.
ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องกล่าวว่า คืนนั้นข้าพเจ้านอนไม่หลับเลย ที่ทนนอนหลับตาก็เพื่อให้เห็นภาพที่ต้องการเห็นเท่านั้น. วันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าไปสงบอารมณ์อยู่ที่มุมสวนของเจ้าบ้านที่ข้าพเจ้ามาพักอยู่ เพราะที่นั้นอยู่ห่างไกลจากเสียงพลุกพล่าน, และตรงที่ดินทรายใต้ต้นมะม่วงอันร่มรื่น กระทำให้ร่างกายที่ผ่าวด้วยรุ่มรักค่อยระงับความร้อนรนไว้ได้บ้าง กับได้อาศัยพิณเจ็ดสายเป็นสหายสำหรับบอกเล่าความรักในใจ. พอตะวันบ่ายคลายแดดร้อนลงไปบ้าง ข้าพเจ้าชวนโสมทัตต์ให้นั่งรถไปเที่ยวที่อุทยานอีก. โสมทัตต์ขัดไม่ได้ก็ไปด้วย. ที่จริงโสมทัตต์ต้องการไปดูการตีนกพะนันแต่ต้องเว้นไปในวันนั้น. ข้าพเจ้าเดิรตุหรัดตุเหร่อยู่ในสวนจนตลอด ก็ไม่เป็นผลดั่งมุ่งหมาย. จริงอยู่มีนางงามเล่นคลีอยู่หลายคน ดูประหนึ่งจะลวงให้ข้าพเจ้าหลงเข้าไปหา, ครั้นเมื่อเข้าไปแล้ว ก็หาพานพบนางผู้ทรงโฉม คือ พระศรีเทวีไม่.
ข้าพเจ้าเสียใจเป็นที่สุด เลิกไปเที่ยวในอุทยาน, หันไปเที่ยวทางแม่คงคา ได้ไปยังท่าน้ำหลายแห่ง. ในที่สุด ลงเรือเที่ยวลอยละล่องไปตามกระแสธารอันศักดิ์สิทธิ์ จนแสงอาทิตย์ในเวลาอัสดงลับหายไป, เห็นแสงคบและแสงตะเกียงเรี่ยรายอยู่แวม ๆ ต้องพื้นน้ำซึ่งดูดั่งกะจกให้เต้นฉะนั้น. ข้าพเจ้าจำเป็นต้องเลิกความหวังอันแรงกล้าแต่ว่าเงียบ ๆ อยู่ในใจ, บอกให้คนเรือให้พายมาส่งยังท่าที่อยู่ใกล้.
เมื่อนอนไม่หลับตลอดคืน ตื่นขึ้นตั้งแต่เช้าก็อยู่แต่ในห้อง เพื่อพักผ่อนอารมณ์ซึ่งหมกมุ่นมัวหมองเห็นอยู่แต่รูปนางงาม พอให้บรรเทาจะได้มีกำลังวังชาสามารถไปเที่ยวอุทยานในตอนบ่ายอีก. เพื่อให้หายรำคาญใจ หันไปพึ่งพู่กันและสี เอามาวาดรูปนางในเวลาตบลูกคลี. พูดถึงอาหาร ข้าพเจ้าไม่สามารถจะกินได้แม้แต่คำเดียว. อันว่านกเขาไฟซึ่งมีเสียงเพราะอ่อนหวาน ยืนชีพอยู่ได้ด้วยแสงจันทร์ฉันใด, ข้าพเจ้ายืนชีพต่อมาได้ ก็ด้วยแสงจันทร์แห่งดวงหน้าของนางฉันนั้น ซึ่งข้าพเจ้าจำได้เป็นเงา ๆ, แต่หวังว่าจะได้เห็นเพื่อฟื้นความจำให้แม่นขึ้นอีก ก็ที่ในอุทยานตอนเย็น. อนิจจา ความหวังที่มีไว้นี้ ในที่สุดกลายเป็นความเสียใจ เพราะไปแล้วก็มิได้พบ. ภายหลังโสมทัตต์ชวนไปเที่ยวสอดสะกา เพราะโสมทัตต์ติดสะกาแทบเป็นบ้า อย่างพระนลซึ่งถูกกลีเข้าสิงฉะนั้น. ข้าพเจ้าขอตัวไม่ไปด้วย บอกว่าเหนื่อย, ซึ่งที่ถูกถ้าเหนื่อยก็ควรกลับบ้าน แต่ข้าพเจ้าไม่ยักกลับ ไพล่ไปที่ท่าน้ำแล้วลงเรือเที่ยวอีก. ในคราวนี้ข้าพเจ้ามีความเสียใจไม่แพ้กับคราวก่อน เพราะมิได้วี่แววอะไรเลย.