สิบสี่ ผู้เป็นสามี

เช้าวันหนึ่ง กำลังข้าพเจ้าเดิรไปเดิรมากับหัวหน้าคนทำสวน เพื่อตบแต่งแก้ไขสวนให้ดีขึ้นอีก, บิดาข้าพเจ้าขี่ฬาแก่ของท่านเข้ามาในลาน.

ข้าพเจ้ารีบออกไปรับ เพื่อช่วยท่านลงจากหลังฬา แล้วจะได้พาเข้าไปในสวน; เชื่อว่าท่านจะได้ไปชมดอกไม้งาม ๆ ที่มีอยู่ในนั้น, แต่ท่านสมัครไปพักในห้องแรก. ข้าพเจ้าเรียกคนใช้ให้ยกเครื่องน้ำมาเลี้ยงดู. ท่านปฏิเสธ บอกว่าต้องการจะพูดอะไรกับข้าพเจ้า, ไม่ต้องการให้ใครเข้ามารบกวน.

ข้าพเจ้ารู้สึกออกหนักใจ: ไม่ทราบว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นอีก, จึ่งนั่งลงบนม้าต่ำข้างท่าน.

ท่านเริ่มพูดมีหางเสียงเอางานเอาการอยู่ว่า “ลูกรัก, เมียเจ้ามีลูกเป็นผู้หญิงมาแล้วถึงสองคน; ท่าทางต่อไปเห็นจะไม่ได้ลูกชายเสียแล้ว. อันบุคคลที่ไม่มีบุตรสำหรับทำการพลีบูชาทักษิณานุประทานในเวลาเมื่อตายไปแล้ว จะต้องรับทุกข์ทรมานสาหัส. ที่เขาว่ากันเช่นนี้เป็นความจริงอยู่มาก. พ่อไม่ได้ติเตียนเจ้าหรอก.” ที่ท่านพูดแถมท้ายไว้นี้ บางทีจะสังเกตเห็นข้าพเจัาทำกิริยากะสับกะส่าย. อันที่จริงเรื่องไม่มีลูกชาย ก็ยังไม่เห็นว่าจะมาติเตียนข้าพเจ้าได้อย่างไร. แต่เมื่อท่านได้แสดงความกรุณาดั่งนี้. ข้าพเจ้าย่อมรู้สึกขอบคุณ จึ่งก้มไปจูบมือท่าน.

ท่านพูดต่อไป “เรื่องนี้ต้องติพ่อจึ่งจะถูก เพราะเป็นผู้เลือกหาเมียให้เจ้า มัวไปละเมอเพ้อฝันเอาแต่เรื่องมั่งมีซู่ซ่าทางโลกีย์เสียหมด, หาได้ดูลักษณะของผู้หญิงเป็นที่ตั้งไม่. บัดนี้ พ่อนึกหาผู้หญิงไว้ได้คนหนึ่งแล้ว ถึงว่าจะไม่ใช่เป็นคนอยู่ในตระกูลมั่งมีอะไรนัก; หรือจะพูดว่าถึงความสวยงาม, ผู้เคยพบชินมาเหลือเฟือ ก็จะบอกว่าไม่สู้สวยผุดผาดนัก. แต่แม้จะบกพร่องในข้อข้างต้นนี้จริง ก็มีลักษณะกัลยาณีอื่นๆมาชดเชย คือ มีสะดือลึกบิดไปทางขวา, ฝ่ามือฝ่าเท้ามีลายดอกบัว สายโกศ, และมีไฝเป็นรูปกงจักร, เส้นผมละเอียดตรง เว้นเสียแต่ที่ต้นคอหยิกไปทางขวาเสียสองปอย. หญิงมีลักษณะอย่างนี้ปราชญ์บอกว่าจะมีลูกเป็นผู้ชายที่แกล้วกล้าสามารถถึงห้าคน.”

ข้าพเจ้าแสดงให้ท่านทราบว่าพอใจทุกอย่าง กล่าวคำขอบคุณท่านที่เมตตากรุณา แล้วบอกท่านว่า จะจัดการเรื่องนี้เสียทันทีก็ได้ ไหนๆ เรื่องมันจะต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว.

ท่านตกตะลึงถึงกับเปล่งอุทานว่า “อะไร? ทันทีเทียวหรือ? ผ่อนเรื่องใจร้อนของเจ้าให้เบาลงบ้างเถิด: ฤดูนี้พระอาทิตย์กำลังเดิรปัดไปทิศใต้. ถ้าพระอาทิตย์เบนกลับสู่ทิศเหนือรอให้ตกกลางเดือน พระจันทร์เต็มดวง, จึ่งค่อยหาวันฤกษ์งามยามดีจัดการกัน. เมื่อยังไม่ถึงเวลาต้องระงับใจไว้ก่อน, ลูกเอ๋ย! มิฉะนั้นลักษณะของหญิงที่ว่าดีทั้งหมดจะเกิดผลเป็นโชคดีแก่เราได้อย่างไร?”

ข้าพเจ้ารับรองท่านว่าไม่ต้องวิตก พออดใจไว้ได้ ตลอดเวลาที่คอย, และจะยอมตามที่ท่านแนะนำทุกประการ. ท่านก็ดีอกดีใจว่า ข้าพเจ้าเป็นลูกมีความเชื่อฟังว่านอนสอนง่าย, อำนวยพรข้าพเจ้าแล้ว จึ่งยอมให้นำน้ำมาเลี้ยงดูกัน.

วันที่ข้าพเจ้าร้อนใจเร่งให้ถึงเร็ว ก็มาถึง. เลือกวันเวลาเป็นมงคลได้แล้วก็ทำพิธีแต่งงาน. พิธีคราวนี้ออกจะมากมายนานเวลาน่าเบื่อเหลือเกิน: ต้องเสียเวลาท่องบ่นมนต์ที่จำเป็นในพิธีกว่าจะจำได้กินเวลาถึงสิบสี่วัน. เวลาเข้าพิธีมณฑลเกี่ยวประสานมือกับเจ้าสาวที่ในบ้านบิดาหญิง รู้สึกอึดอัดใจตัวสั่นพิลึกกลัวจะว่ามนต์ผิดๆ พลาดๆ หรือทำท่าไม่ถูกแบบ. เพราะพลาดท่าพลั้งทีไป บิดาข้าพเจ้าจะไม่ยอมยกโทษให้เลย. กำลังตกประหม่า จักแหล่นจะลืมเคล็ดสำคัญ คือควรที่จะจับแต่นิ้วแม่มือเจ้าสาว, เกือบจะไปรวบเอาหมดทั้งห้านิ้วซึ่งทำเช่นนั้นเขาถือกันว่าจะได้ลูกผู้หญิง. เผอิญจะไม่เสียขวัญ ที่ฝ่ายผู้หญิงยังมีสติอยู่กับตัว จึ่งยื่นแต่นิ้วแม่มือมาให้จับ.

ข้าพเจ้าสะทกสะท้านจนเหงื่อออกโชกตัวในขณะถึงพิธีเทียมโคเข้าแอก สำหรับเดิรทางกลับ, แต่ก็คุมสติจัดทำไปได้ตลอด. ส่วนเจ้าสาวนำกิ่งไม้ที่มีผลมาเสียบไว้ที่แอก. เสร็จแล้วข้าพเจ้าต้องว่ามนต์อีกบทหนึ่ง. หลุดรอดตัวมาได้ พ้นทุกข์พ้นยากไปที.

เดิรทางพากันกลับบ้าน ไม่ประสพเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ร้อยแปดอะไรอีก, เพราะในเรื่องเช่นนี้ คนไม่มีโชคดีมักประสพวิปริตเสมอ. มาถึงประตูบ้าน พราหมณีสามนางสรรมาฉะเพาะผู้มีชื่อเสียงดี มีลูกเป็นผู้ชายและสามียังมีชีวิตครองกันอยู่ เข้าไปพยุงเจ้าสาวออกจากเกวียน. เรื่องเพียงนี้ดูก็เรียบร้อยดี. แต่ขอให้คิดดูเถิด เรื่องล่วงเลยมาถึงเพียงนี้ นึกว่าตลอดรอดฝั่งแล้ว, บังเอิญเจ้าสาวเวลาก้าวเข้าไปในบ้าน ที่อื่นมีถมไปไม่เหยียบ จำเพาะไปเหยียบเอาธรณีประตูเข้า. ข้าพเจ้าใจหายวาบ! ทำไมหนอในเวลานั้นจึ่งไม่คิดเห็นว่า ถ้าจะอุ้มเจ้าสาวไปวางให้พ้นธรณีประตูเสียหน่อยจะไม่ได้หรือ? ตอนเหยียบธรณีประตูเมื่อจะย่างเข้าบ้าน ก็นับว่าอัปมงคลพออยู่แล้ว, ซ้ำข้าพเจ้าเองก็ลืมเข้าประตูข้างขวาผู้หญิงและจะต้องเข้าก่อนเสียด้วย. เคราะห์ข้าพเจ้ายังดีอยู่หน่อย ที่ผู้เถ้าผู้แก่มีบิดาข้าพเจ้าเป็นต้น ไปมัวตกอกตกใจด้วยเรื่องเหยียบธรณีประตูกันเสีย, เรื่องที่ข้าพเจ้าทำผิดท่า จึ่งไม่มีใครถือเป็นอารมณ์นัก.

เข้าไปในบ้าน ข้าพเจ้าต้องไปยืนอยู่กลางห้องข้างซ้ายของเจ้าสาว เบื้องบนหนังโคแดงทั้งตัว เอาด้านมีขนขึ้นไว้ข้างบน และหันศีรษะโคไปทางตะวันออก. ตอนนี้ บิดาข้าพเจ้าเที่ยวหาผู้ชายที่มีลักษณะเป็นพิเศษ หาอยู่นาน จึ่งได้เด็กคนหนึ่ง มีพี่น้องเป็นผู้ชายทั้งหมด ไม่มีผู้หญิงเลย ซ้ำยังมีชีวิตอยู่ด้วยกันทั้งนั้น. บิดาเด็กคนนี้ก็มีพี่น้องล้วนเป็นผู้ชาย, ปู่ก็มีลักษณะเช่นเดียว. แต่ต้องหาหลักฐานยืนยันกันอยู่นาน จึ่งได้ความแน่นอนว่าเป็นจริงตามนั้น. เด็กคนนี้ เขานำมาให้นั่งตักเจ้าสาว. ที่ข้างตัวเจ้าสาวมีถาดทองแดงลอยดอกบัวเก็บเอามาจากบึง. เจ้าสาวจะต้องให้เด็กนั้นกอดอก และจุ่มลงไปในถาด. กำลังเตรียมการไว้เสร็จ เหลียวหาเด็กไม่พบ ไม่ทราบว่าหนีไปไหนเสียแล้ว, ต้องเที่ยวหากันอยู่นาน จึ่งไปพบมุดนอนเล่นอยู่ในกองพิธีบูชาเสียกะจุยกะจาย ต้องจัดแจงทำที่บูชากันอีก คือจะต้องตัดหญ้าคาในเวลาพระอาทิตย์อุทัยมาปูลาด แต่คราวนี้เสียพิธี ก็ต้องตัดเอามาใหม่เป็นอันไม่ได้ตรงตามตำรา ส่วนเด็กก็ต้องหามาใหม่ แต่ได้มาสู้คนเก่าไม่ได้. เมื่อพิธีต่างๆ มาเกิดอุปสรรคขึ้นดั่งนี้ บิดาข้าพเจ้ามีอาการไม่สู้ดี เพราะที่นึกหวังไว้มาผิดคาดไปหมด, กลัวว่าท่านจะเจ็บป่วยล้มตายลงในเวลานั้น เพราะจะเป็นตายอย่างไร ท่านไม่ยอมให้เสียพิธีเป็นอันขาด. เคราะห์ดีที่คราวนั้นท่านไม่เป็นอะไร, แต่ก็ทำให้ข้าพเจ้านึกปฏิญญาสาบานกับตัวเองว่า เป็นไม่ขอแต่งงานเข้าพิธีอีก.

ถึงที่สุดเสร็จพิธีแล้ว ข้าพเจ้าจะต้องอยู่เป็นปกติกับภริยาถึงสิบสองคืน-อยู่กับภริยาซึ่งมีรูปโฉมตามที่ท่านบิดาพรรณนา ก็ต้องขี้เหร่ไม่ใช่น้อย. ข้าพเจ้าจะต้องรักษาความบริสุทธิ์ไว้ตามพิธี, ต้องถือศีลอดอาหารให้มั่นคง และนอนกับพื้น กำหนดไว้สิบสองวัน, เพราะบิดาข้าพเจ้าเห็นว่าให้มากวันไว้เป็นดี เผื่อเหลือเผื่อขาด จะได้พ้นภัยไม่มีการขาดตกบกพร่องในพิธี. แต่ทว่าทำความเดือดร้อนให้แก่ข้าพเจ้าไม่น้อย เพราะต้องอดอาหารดีๆ ที่เคยรับประทานอย่างเอมโอช.

อย่างไรก็ดี ตามกำหนดที่ถูกทรมานเป็นอันว่าข้าพเจ้าทนได้ตลอดรอดไปไม่ตาย มีชีวิตความเป็นไปปกติเท่าเดิม; แต่ว่ามีผลต่างกันมาก. จริงอยู่ ผู้มีภริยาคนหนึ่งแล้ว จะมีอีกสักกี่คนก็ไม่ประหลาดอะไร. แต่เรื่องมันหาได้ราบรื่นด้วยไม่ กล่าวคือภริยาคนแรกของข้าพเจ้า มักจะเป็นผู้สงบหงิม ติดจะโง่เซ่อมากกว่าอย่างอื่น, ส่วนภริยาคนที่สองมีลักษณะตรงกันข้ามหมด. นับว่าข้าพเจ้ามีทั้งน้ำทั้งไฟ มีประโยชน์ด้วยกันทั้งคู่. ธรรมดาของทั้งสองอย่างนี้อยู่ตามลำพังก็ดีหรอก เมื่อเข้าใกล้กันก็เกิดอาการฟู่ ๆ. เพราะฉะนั้นนับแต่วันแต่งงานแล้วเป็นต้นมา ในบ้านข้าพเจ้ามีเสียงฟู่อยู่เสมอ. ขอให้คิดดูเถิด พอภริยาคนที่สองมีบุตรเป็นผู้ชายเพียงคนแรก ในจำนวนห้าคนที่ทำนายไว้, ภริยาคนที่หนึ่งก็เป็นเดือดเป็นแค้น, หาว่าข้าพเจ้าไม่ต้องการให้นางมีบุตรชายละเลยพิธีบูชาต่าง ๆ ตามประเพณีเสีย ด้วยเจตนาจะมีภริยาใหม่. ภริยาที่สอง เมื่อเห็นภริยาที่หนึ่งมีอาการเช่นนั้นก็ทำกิริยามีวาจาเยาะเย้ย. คราวนี้เกิดมงคลขนานใหญ่: เกิดทะเลาะกัน, ต่างแย่งกันเป็นใหญ่. ข้างภริยาที่หนึ่งอ้างว่าตนเป็นหลวง เพราะได้อยู่กินกับข้าพเจ้าถูกต้องตามประเพณีมาก่อน; ฝ่ายภริยาที่สองก็ว่า ตนควรเป็นหลวง เพราะมีบุตรเป็นผู้ชายสำหรับสืบตระกูล. เรื่องนี้เท่านี้นับว่าเดือดร้อนพอ ๆ อยู่แล้ว, แต่ยังมีร้ายยิ่งกว่านั้น. วันหนึ่งภริยาคนที่สองตึงตังเข้ามาหาข้าพเจ้า เนื้อตัวสั่นเทาไปหมดบอกว่าภริยาคนที่หนึ่งจะวางยาพิษฆ่าลูกชายของตน, เพราะฉะนั้น ขอให้ไล่ไปอยู่เสียที่อื่น. อันที่จริงบุตรชายข้าพเจ้ากินขนม แล้วมีอาการจุกเสียดขึ้นตามธรรมดาเท่านั้น, หาใช่ถูกยาพิษยาสงอะไรไม่. ข้าพเจ้าได้ว่ากล่าวติเตียนภริยาที่สอง ว่าไม่ควรใจเร็วใส่ความเขาโดยเข้าใจผิดๆ. นับว่าเรื่องสงบไปได้ตอนหนึ่งละ ทีนี้ไม่ทันไร ภริยาคนที่หนึ่งก็มาฟ้องว่า ถ้าหญิงกาลกรรณี คือภริยาคนที่สองขืนอยู่ในบ้าน ลูกหญิงทั้งสองของนางเห็นจะมีชีวิตไม่ยืนแน่นอน เพราะเขาต้องการจะฆ่าให้ตาย มรดกทั้งหมดจะได้ตกแก่ลูกผู้ชายเขาคนเดียว.

อันศานติสุขย่อมไม่มีขึ้นภายในเคหสถานข้าพเจ้าด้วยประการฉะนี้แล้ว. ดูกรภราดา, ถ้าหากว่าเป็นการบังเอิญ ท่านได้ผ่านไปทางบ้านท้องนาของพราหมณ์ผู้มั่งมีคนหนึ่ง ซึ่งอยู่ถัดไปเล็กน้อย, แล้วได้ยินภริยาของพราหมณ์นั้นสองคนกำลังทะเลาะวิวาทกัน เสียงตะโกนด่ากันเปิ่งๆ อยู่ในบ้าน, ท่านก็คงผ่านเลยบ้านนั้นไปเสีย.

ส่วนเรื่องข้าพเจ้า ก็ต้องสารภาพว่า มีอาการอย่างที่กล่าวนั้นแทบทุกวันคืน จนใครๆ ในกรุงอุชเชนีพูดติดปากว่า “ทั้งสองรักใคร่กันดีราวกับภริยากามนิต.”

๏ ๏ ๏

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ