- คำนำ
- ภาคหนึ่ง บนดิน
- หนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จกลับเบญจคีรีนคร
- สอง พบ
- สาม สู่ฝั่งแม่คงคา
- สี่ สาวน้อยผู้เดาะคลี
- ห้า รูปวิเศษ
- หก บนลานอโศก
- เจ็ด ในหุบเขา
- แปด ดอกฟ้า
- เก้า ใต้ดาวโจร
- สิบ รหัสยลัทธิ
- สิบเอ็ด งวงช้าง
- สิบสอง ที่ฝังศพของวาชศรพ
- สิบสาม เพื่อนบุณย์
- สิบสี่ ผู้เป็นสามี
- สิบห้า ภิกษุโล้น
- สิบหก เตรียมรับมือ
- สิบเจ็ด สู่ความเป็นผู้ละบ้านเรือน
- สิบแปด ในห้องโถงช่างปั้นหม้อ
- สิบเก้า พระศาสดา
- ยี่สิบ เด็กดื้อ
- ยี่สิบเอ็ด ในท่ามกลางความเป็นไป
- ภาคสอง - บนสวรรค์
- ยี่สิบสอง ภูมิสุขาวดี
- ยี่สิบสาม การต้อนรับแห่งชาวสวรรค์
- ยี่สิบสี่ ต้นปาริชาต
- ยี่สิบห้า บัวบาน
- ยี่สิบหก สร้อยแก้วตาเสือ
- ยี่สิบเจ็ด สัจจกิริยา
- ยี่สิบแปด บนฝั่งคงคาสวรรค์
- ยี่สิบเก้า ท่ามกลางกลิ่นหอมแห่งดอกปาริชาต
- สามสิบ มีเกิดก็มีตาย
- สามสิบเอ็ด ปิศาจที่บนลาน
- สามสิบสอง สาตาเคียร
- สามสิบสาม องคุลีมาล
- สามสิบสี่ นรกหอก
- สามสิบห้า การบูชาอันบริศุทธิ์
- สามสิบหก พระพุทธและพระกฤษณ
- สามสิบเจ็ด ดอกฟ้าเหี่ยว
- สามสิบแปด พรหมโลก
- สามสิบเก้า ความมืดแห่งโลกานุโลก
- สี่สิบ ในสุมทุมพุ่มไม้พระกฤษณ์
- สี่สิบเอ็ด โอวาทอย่างง่ายๆ
- สี่สิบสอง ภิกษุณีอาพาธ
- สี่สิบสาม มหาปรินิพพาน
- สี่สิบสี่ พินัยกรรมวาสิฏฐี
- สี่สิบห้า กลางคืนและรุ่งเช้าในสกลจักรวาล
สามสิบสอง สาตาเคียร
ฉันอยู่บนลานนั้นตลอดคืน ในใจเกิดความคุมแค้นแสนที่จะอดกลั้น ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเป็นเช่นนี้. แต่มาคราวนี้เปรียบเหมือนความคุมแค้นนั้น ได้หลุดไปพร้อมกับออกจากเครื่องจองจำแล้ว, กำลังจิตต์ใจวุ่นว้าเหมือนใบไม้ที่ถูกลมพัดกวัดแกว่งอยู่ไปมาฉะนั้น.
กามนิตของเรายังอยู่. เขาอยู่ในแดนอันไกล. แต่เขาคงได้ยินเรื่องที่เรามีสามี, ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่เงียบไปนานอย่างนี้. เขาคงนึกว่าเราเป็นหญิงไร้สัตย์ใจอ่อนแอมักง่าย. ที่เราต้องเป็นหญิงชั่วช้าไปนี้ สาตาเคียรคนเดียวเป็นผู้ผิด. ยิ่งคิดยิ่งชังน้ำหน้าสาตาเคียรรุนแรงขึ้น. ยิ่งคิดยิ่งเห็นจริงในคำอธิบายขององคุลิมาล ที่ว่าถ้าเราเป็นชาย ก็คงฆ่าสาตาเคียรเสียแล้ว.
ครั้นแล้ว เห็นทางองคุลิมาลจะเป็นผู้ช่วยเหลือให้ตนกลับมีอิสสระ ได้อยู่กินกับผู้ที่รักได้ต่อไป. เมื่อนึกอย่างนี้ ให้ตื่นเต้นทั่วสรรพางค์กาย, โลหิตขึ้นหน้า, ไม่สามารถจะทรงตัวยืนและเดิรไปที่ม้านั่งได้ ต้องทรุดลงบนพื้นกระเบื้องหินอ่อนสิ้นสมฤดีไป.
เวลารุ่งอากาศเย็นชุ่มชื้นด้วยน้ำค้างในตอนเช้า จึ่งฟื้นคืนสู่ความทุกข์และความเดือดร้อนรวนเรใจอิก. นึกอยู่ว่า จริงหรือที่ตนเต็มใจไปสมคบกับผู้ร้ายนายโจรผู้ฆ่าคนมาแล้วนับไม่ถ้วน เพื่อร่วมมือกันประหารชาย ผู้ครั้งหนึ่งเคยร่วมการวิวาห์กัน. ส่วนเรื่องสามีจะออกจากเมืองไปในวันไร ฉันไม่ทราบเลยสักนิด. ไฉนจึ่งจะทราบเวลาและลู่ทางที่จะไป, ถ้าเขาต้องการปิดบังเรื่องนี้เป็นความลับ? “สำหรับผู้หญิงที่ทรงความงาม ย่อมจะไม่มีความลำบากยากเย็นอะไรในอันจะล้วงเอาความลับจากสามี:” ถ้อยคำเหล่านี้ออกจากปากโจร ยังคงก้องอยู่ในหู. ทำให้รู้ได้แจ้งว่า การที่จะทำเช่นนี้ ย่อมเป็นกรรมอันชั่วร้าย, ฉันคงไม่สามารถจะตกลงใจ ใช้มายายั่วยวน เพื่อล้วงเอาความลับของสามีไปให้ศัตรูร้ายได้ลงคอ. ถ้าหากได้รู้ความลับอยู่ก่อนแล้ว หรือว่ามีเป็นหนังสือลายมืออะไรไว้แล้ว ก็อาจจะแข็งใจบอกหรือมอบความลับนั้นให้ไปได้. แต่ที่จะใช้เล่ห์หลอกลวงล้วงเอาความลับดั่งนี้ ให้รู้สึกสยองใจจริงๆ.
เมื่อนึกเห็นแจ้งความชั่วดีดั่งนี้, ให้สั่นสะท้านไปทั่วตัว เพราะเกิดความกลัวเท่ากับทำความผิดฆ่าสาตาเคียรแล้ว. ฉันนึกขอบใจตัวเองว่าคงไม่สามารถทราบความลับจากสามีได้, ถึงหากว่าฉันจะได้ทราบกำหนดเวลาที่เขาจะไป แต่คงไม่ทราบทางที่จะไปเป็นแน่ เพราะเขาคงไม่บอกให้ใครรู้. ถ้าจะมีคนรู้ก็คงเป็นคนสนิท, อย่างมากคงเป็นคนเดียวเท่านั้น.
แลไปในฟ้าเห็นพระอาทิตย์ขึ้น แสงจับหอคอยและยอดซุ้มต่าง ๆ ในกรุงโกสัมพีราวกับทองทา. ความสวยงามในยามเช้าอย่างนี้ ได้เคยเห็นจากลานอโศกมาแล้วก็หลายครั้ง, แต่ความรู้สึกเมื่อได้เห็นภูมิภาพอย่างนี้ เมื่อครั้งนมนานโน้นกับครั้งนี้ช่างผิดกันเหลือเกิน: ครั้งนี้คับแคบลำเค็ญใจจริงๆ เวลาคืนเดียวเท่ากับว่าทำให้แก่ไปได้ตั้งสิบปี ในที่สุดพยายามพะยุงตัวลุกขึ้นลงไปห้อง.
ทางที่จะไปห้องต้องผ่านระเบียงยาว ทะลุห้องต่างๆ ไปหลายห้อง ห้องเหล่านี้มีหน้าต่างกรุลูกกรง. เมื่อฉันผ่านห้องเหล่านี้ไปห้องหนึ่ง ได้ยินเสียงคนพูดกัน เสียงหนึ่งจำได้ว่าเป็นสามี ซึ่งขณะนั้นได้ยินดังว่าดั่งนี้-
“ดีแล้ว ตกลงเราไปคืนนี้ ไปก่อนเที่ยงคืนสักชั่วโมงหนึ่ง.”
ฉันหยุดชะงัก เป็นอันรู้เวลาที่เขาจะไปแล้ว แต่จะไปทางไหนหนอ, รู้สึกโลหิตขึ้นหน้า เพราะความละอายที่มาเป็นคนแอบฟัง; ได้ยินเหมือนมีใครมากระซิบที่หูว่า “ไปเสีย ไปเสีย ยังมีเวลาพอ,” แต่ฉันก็ยังยืนจังงังอยู่.
อย่างไรก็ดี สาตาเคียรมิได้พูดต่อไป, บางทีจะได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดิรมา แล้วมาเงียบหายที่ตรงประตู, เพราะในทันใดนั้นก็มีผู้เปิดประตูปังออกมา, สามีฉันมายืนอยู่ฉะเพาะหน้า.
ฉันมีสติดี พูดออกไปทันทีว่า “ได้ยินเสียงเธอ เมื่อผ่านมาทางนี้, นึกจะเข้าไปถามว่าต้องการเครื่องว่างอะไรบ้างจะได้นำมาให้ เพราะเห็นมีธุระแต่เช้าเช่นนี้. แต่ฉันไม่กล้าเข้าไป เกรงว่าจะเป็นการรบกวน, จึงจะผ่านเลยไป ก็พอดีเธอเปิดประตูออกมา.”
สาตาเคียรมองดูฉัน ไม่มีอาการบอกว่าสงศัย, ซ้ำแสดงเมตตาเสียอิก พูดว่า “ขอบใจมาก. ยังไม่ต้องการกินอะไร. และไม่เป็นการรบกวนเลย. ที่จริงก็อยากจะให้ไปเชิญตัวมาพบ, แต่เกรงว่าเวลายังเช้ามากจะยังไม่ตื่นนอน. ที่มาได้ในเวลานี้นับว่าประจวบเหมาะ เพราะต้องการความช่วยเหลืออยู่.”
สาตาเคียรเชิญให้เข้าไปในห้อง. ฉันประหลาดใจเป็นที่สุด ที่เขาว่าจะต้องการความช่วยเหลืออะไรจากฉันผู้มีใจคุมแค้นแน่นอยู่เต็มอก. เมื่อเข้าไปในห้อง, เห็นชายคนหนึ่งซึ่งจำได้ทันทีว่าเป็นนายม้าและคนสนิทที่ไว้ใจของสาตาเคียรกำลังนั่งอยู่บนม้าต่ำ. เมื่อฉันเข้าไปถึง, ชายคนนั้นลุกขึ้นแสดงเคารพ. สาตาเคียรบอกให้ฉันนั่งลงข้างตัวเขา, และบอกให้ชายคนสนิทนั่งลงตามเดิม, แล้วหันมาพูดกับฉันว่า-
“วาสิฏฐีที่รัก, เรื่องเป็นดั่งนี้ ฉันจำเป็นจะต้องออกไปชำระคดีพิพาทที่เกิดขึ้นในระวางหมู่บ้านทางมณฑลตะวันออก, จะต้องรีบไปจัดการ. เดี๋ยวนี้ได้ข่าวว่ามีผู้เห็นพวกโจรชุมนุมกันอยู่ในป่าทางตะวันออกของกรุงมาหลายสัปดาหะแล้ว. อันที่จริงเขาว่าอยู่ใกล้ๆ เมืองนี่เอง มีผู้ลือกันเหลวไหลว่าหัวหน้าโจรพวกนี้ไม่ใช่คนอื่นไกล คือองคุลิมาลนั่นเอง ซ้ำยังหาญพูดโดยไม่เกรงกลัวว่า องคุลิมาลแหกคุกหนีไปได้ และฉันจัดเอาคนที่มีหน้าตาคล้ายคลึงไปตัดศีรษะเสียบไว้ที่ประตูเมืองแทนองคุลิมาล. เรื่องอย่างนี้ใครๆ ก็รู้ว่าเหลวใหลถือเอาเป็นแก่นสารไม่ได้. แต่ทว่าโจรคนใหม่นี้ ดูเหมือนมีความกล้าบ้าระห่ำไม่แพ้องคุลิมาล. และถ้าแม้ตั้งตัวใช้ชื่อองคุลิมาลที่ลืออยู่แล้ว ก็คงมีพวกเหล่าร้ายไปสมทบด้วยเป็นอันมาก, และคงประสงค์จะทำการร้ายให้ได้ชื่อสักอย่างหนึ่งเป็นแน่. เพราะฉะนั้น จะต้องระวังตัวรอบคอบให้ดีสักหน่อย.”
มีโต๊ะกลมฝังด้วยแก้วหินมีค่าตั้งอยู่ข้างตัวสาตาเคียร บนโต๊ะนั้นมีผ้าเช็ดหน้าแพรวางอยู่.
สาตาเคียรหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นขึ้นเช็ดหน้าผาก ปากก็พูดขึ้นลอยๆ ว่า วันนี้พึ่งจะรุ่งเช้าก็ร้อนเสียแล้ว. แต่ฉันสังเกตว่าที่สาตาเคียรมีเหงื่อออกมาทุกขุมขน เป็นเพราะครั่นคร้ามองคุลิมาลมากกว่าอื่น. ทั้งนี้ควรที่ฉันจะเกิดความสงสาร กลับเห็นน่าหมั่นไส้ยิ่งขึ้น: เห็นได้ว่าสาตาเคียรไม่ใช่ชายชาติชาตรี. ถึงกับฉันนึกถามตนเองด้วยความประหลาดใจว่า เป็นเพราะเคราะห์โชคไฉนจึ่งประจวบให้สาตาเคียรจับองคุลิมาลมาได้. เพราะองคุลิมาลโจรสำคัญ มีความดุร้ายใจกล้าหาญไม่ผิดกับพระภีมะในยุคมหาภารตะ ซึ่งเธอเคยไปเกิดเป็นชาตินักรบอยู่ในสมัยนั้น และได้ทำการสู้รบอยู่ข้างพระภีมะที่กุรุเกษตร.
สามีฉันพูดต่อไปว่า “เรื่องเป็นอย่างนี้: การจะไปยังหมู่บ้านนั้นโดยยกทหารไปด้วยตั้งทัพตั้งกองเป็นของที่ไม่น่าดูและทำไม่ได้, จะต้องการเอาติดตัวไปด้วยอย่างมากก็ไม่เกินสามสิบคน, แต่จะต้องใช้อุบายระไวระวังเป็นดีกว่าอย่างอื่น. ฉันกำลังปรึกษาหาอุบายดูกับปัณฑูกะ. เขามีความเห็นเข้าทีอยู่ ซึ่งฉันจะบอกให้หล่อนทราบ เพื่อจะได้ไม่วิตกวิจารณ์ถึงฉัน ในระวางเวลาที่ฉันเดิรทางไป.”
ฉันพูดอะไรอุบอิบออกมาสองสามคำ เป็นที่แสดงว่าขอบคุณที่ยังเป็นห่วงคิดถึงฉันอยู่.
เขาได้พูดต่อไปว่า “เพราะฉะนั้น ปัณฑูกะจะเป็นผู้เตรียมการที่จำเป็น และทำเป็นว่าฉันจะออกเดิรทางไปทางตะวันออกในเวลาเช้าตรู่พรุ่งนี้ มีกองทหารคึกคักจะไปจับโจร ให้ข่าวแพร่กระจายไป. ฉันเชื่อว่าโจรคงมีพวกอยู่ในเมือง: ข้อนี้เป็นของแน่นอน. มันคงคอยสืบข่าวนำไปบอกกัน, มันก็จะหลงอุบายตายใจ. ในระวางนั้น ฉันจะออกเดิรทาง มีทหารขี่ม้าไปด้วยเพียงสามสิบคน, ไปในเวลาเที่ยงคืนวันนี้ ออกไปทางประตูด้านใต้ แล้วเดิรอ้อมผ่านหุบเขาวกไปทางตะวันออกอิกที. ถึงกระนั้น ก็จะหลีกไม่ไปทางถนนใหญ่ จนกว่าจะออกไกลจากกรุงโกสัมพี ห่างไปหลายร้อยเส้นเสียก่อน. เรื่องที่ต้องการจะให้ช่วยเหลือเป็นดั่งนี้ คือหนทางที่ไป จะผ่านไปทางบ้านพักร้อนของบิดาหล่อน. หล่อนคงรู้จักถนนหนทางแถวนั้นได้ดีมาตั้งแต่เด็ก ฉันเชื่อว่าหล่อนคงสามารถช่วยเหลือเรื่องนี้ให้แก่ฉันได้มาก.”
ฉันยินดียอมช่วยเหลือทันที, ในขณะจะอธิบายแผนที่ให้ฟัง ได้ให้เขาเอากระดานเข้ามา, แล้วขีดแผนที่ในละแวกนั้นให้ดูอย่างละเอียด, ชี้ให้สังเกตทางแยกซึ่งจะต้องจดจำไว้ ฉันแนะนำให้ไปทางที่ตัดไปทางซอกเขา, ทางนั้นไปๆ จะสอบเข้าทุกที, จนในที่สุดเป็นช่องแคบ คนขี่ม้าเพียงสองคน ก็เรียงเดิรไปพร้อมกันไม่ได้ แต่ระยะไม่ยาวนัก อีกประการหนึ่งหนทางนั้น ไม่ค่อยมีใครรู้จัก, ถึงว่าพวกโจรจะสงศัยว่า เดิรอ้อมค้อมไปทางนั้น ก็คงไม่นึกฝันที่จะไปดักทางนั้น. ที่ในหุบเขานี้ เมื่อฉันยังเด็กๆอยู่ ได้เคยวิ่งเล่นกับพวกพี่ๆ น้องๆ รวมทั้งเมทินีและเด็กๆ บุตรผู้เช่าที่ของบิดาด้วย
สาตาเคียรสังเกตเห็นมือที่ฉันวาดแผนที่อยู่สั่น, ก็ถามว่าเป็นไข้ไปหรือ, ฉันตอบว่าเปล่าแต่ว่าอ่อนใจเพราะนอนไม่หลับมาทั้งคืน. เขาจับมือฉันไปกำไว้ และคงได้รับความรู้สึกสัมผัสส์ว่าเย็นชืด, จึ่งได้บอกเป็นการเตือนสติให้อุตส่าห์รักษาตัวหน่อยจะเป็นไข้ไม่สบาย.
ตามอาการกิริยาที่เขามองดูและพูดกับฉัน ให้รู้สึกเกลียดชังน้ำหน้าและขยะแขยงเหมือนเมื่อครั้งแรกที่ตกไปเป็นภริยา. ฉันถือโอกาสรีบบอกว่าที่จริงก็รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอยู่ อยากจะรีบกลับไปนอนเสีย.
สาตาเคียรอนุญาต แต่เดิรตามไปส่งถึงระเบียง. เมื่ออยู่กันระวางสองต่อสอง เขาก็เริ่มขอโทษฉัน บอกว่าเขาได้ละเลยฉันมาช้านาน มัวไปอยู่กับมารดาของลูกชาย, และว่าเมื่อกลับมาจะขอใช้โทษ จะไม่ยอมให้ฉันนอนเปลี่ยวเปล่าอยู่คนเดียวที่บนลาน.
เขาแสดงความเมตตาปราณีและความรักใคร่ ซึ่งดูเหมือนว่าพึ่งจะมีขึ้นในคราวนี้เป็นครั้งแรก, กระทำให้ฉันซึ่งใจแข็งก็ออกๆ จะมีความสงสารขึ้นมาอยู่บ้าง. แต่อย่างไรก็ดี ความรู้สึกอย่างนี้จะเกิดมีขึ้นก็ชั่วแล่น, เพราะเมื่อเวลาเขากลับไปแล้ว, ความแค้นที่เขาเป็นผู้พรากความสุขไป ก็กลับคืนเข้าที่อัดแน่นอยู่ตามเดิม.