สิบสอง ที่ฝังศพของวาชศรพ

แน่เสียแล้ว เจ้าสาวนั้น คือ วาสิฏฐี, รูปร่างอย่างนั้น จำได้ไม่ผิดนัยน์ตาข้าพเจ้า. แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังไม่คล้ายคลึงกับที่ได้เห็นมาแต่ก่อน: คราวนี้ดูอาการมีทุกข์โศกแสนสาหัสอย่างใดอย่างหนึ่ง; พูดไม่ถูก.

เมื่อข้าพเจ้าได้สติรางๆ, พอกระบวนแห่สุดท้ายผ่านเลยไปแล้ว, ก็หน้ามืดทันที. แต่เขาเข้าใจกันว่า เป็นลมเพราะร้อนจัดและเบียดเสียดกัน. ข้าพเจ้าหมดกำลังวังชา ทอดกายให้เขาอุ้มเอาไปพักที่โรงแรมแห่งแรกที่ไปถึง, นอนอยู่ที่มุมมืดแห่งหนึ่งในนั้น, หันหน้าเข้าข้างฝา นิ่งแซ่วอยู่อย่างนั้นหลายวันหลายคืน, น้ำตาไหลพรากๆ ไม่ยอมกินอาหารทั้งหมด. ข้าพเจ้าสั่งคนใช้ผู้ควบคุมเกวียน-คนเดียวกับที่มาด้วยกันครั้งก่อน - ให้จัดแจงขายสินค้าที่นำเอามาเสียโดยเร็ว แม้จะขายไม่ได้ราคาดีก็ตาม เพราะข้าพเจ้าป่วยจัดการเองไม่ได้. ความจริงข้าพเจ้าไม่สามารถจะทำอะไรได้ นอกจากจมดิ่งอยู่ในห้วงความเสียใจ ที่เสียของรักไป ไม่มีวันจะได้คืนแล้ว. นอกนี้ ไม่ต้องการจะให้ใครเห็นตัวที่ในกรุง เกรงจะมีใครจำได้; แต่ข้อสำคัญที่สุด คือต้องการจะปิดบังไม่ให้วาสิฏฐีทราบว่าข้าพเจ้ากลับมากรุงโกสัมพีอีก.

รูปนางที่ได้เห็นครั้งหลังที่สุดนี้ ช่างกระไรติดตาชัดเจนอยู่ตรงหน้าไม่เลือนลงเลย. ถึงว่าจะรู้สึกแค้น ว่านางมีใจไม่ยั่งยืนก็ดี, แต่ก็เห็นความจำเป็นอยู่เหมือนกัน ที่ถูกบิดามารดาของเขาบังคับ. นางคงไม่ใยดีปรีดาในตัวลูกประธานมนตรี: ข้อนี้ปรากฏอยู่แล้วในกิริยาที่แสดงให้เห็น. ครั้นหวนนึกถึงที่ให้ความสัตย์ปัฏิญญากันไว้ที่พุ่มไม้ศาลพระกฤษณครั้งกระโน้น, ก็นึกไม่ออกเลยว่าไฉนนางจึ่งใจเร็วไปได้ถึงเช่นนี้. ข้าพเจ้าถอนหายใจยาวแค้นก็แสนแค้น ว่าความสัตย์ปัฏิญญาของสาวน้อยนี่หนอ เชื่อถือไม่ได้เอาทีเดียว. บัดเดี๋ยวใจ หน้าเจ้าตัวอันสร้อยเศร้าด้วยความระทมทุกข์ ก็ปรากฏดวงเด่นฉะเพาะหน้าข้าพเจ้าอีก. ทันใดนั้น ความโกรธความแค้นที่แน่นจนคับอกก็พลันหาย เหลือแต่ความสงสารเข้าไปเต็มตื้นอยู่ในใจ. เลยตกลงแน่วแน่ว่า ข้าพเจ้าจะไม่เพิ่มความทุกข์ของนางให้ยิ่งขึ้น โดยให้รู้ไปถึงว่าตัวกลับมากรุงโกสัมพีแล้ว, จะไม่ให้รู้เรื่องแม้แต่นิดเดียว. ในที่สุด เมื่อนางเห็นเงียบหายไปนาน ก็คงคิดว่าข้าพเจ้าตายแล้ว. ความทุกข์โศกก็จะค่อยจางไปทีละน้อยเอง จนยอมปล่อยตัวให้เป็นไปตามยถากรรม, แต่จะไม่ทำให้เกิดความเศร้าหมองถึงกับเสียซวดทรงสวยสง่าได้.

เผอิญเคราะห์ยังดี คนใช้เก่าแก่ของข้าพเจ้า สบโอกาสขายสินค้าได้ราคาดีจนหมดในเวลาไม่ช้า. เพราะฉะนั้น ล่วงต่อมาอิกสองสามวัน ข้าพเจ้าจึ่งมีโอกาสคุมเกวียนออกจากกรุงโกสัมพีไปในเวลาเช้าวันหนึ่ง เพื่อกลับบ้าน.

เมื่อออกจากประตูเมืองด้านตะวันตก, เหลียวไปดูกรุงเป็นการสั่งครั้งสุดท้าย อันภายในกำแพงนั้น ย่อมมีทั้งทุกข์และสุขขนานใหญ่ ที่ข้าพเจ้าประสพแล้วไม่ลืมเลย. ก่อนที่ถึงกรุงนี้สักสองสามวัน ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นเบิกบานใจมุ่งแต่ความสุข จนไม่ได้สังเกตเห็นอะไรหมด. ครั้นขากลับ จึ่งได้เห็นว่าบนเชิงเทิน และตามแง่กำแพงกรุง มีศีรษะคนเสียบประจารอยู่เป็นระนาว. แน่แล้ว ศีรษะเหล่านี้คงเป็นพวกโจรขององคุลิมาล ที่ถูกประหาร.

ครั้งแรก จำเดิมแต่ได้เห็นหน้าวาสิฏฐีในกูบช้าง ก็ใจหายสุดแสนโทรมนัสย์ครั้งหนึ่งแล้ว, ครั้นมาได้เห็นศีรษะโจร ซึ่งแร้งกำลังจิกฉีกเนื้อกินจนหมดสิ้น เหลือแต่กะโหลกจนจำไม่ได้ แต่ก็ยังมีเส้นผมและหนวดเคราเหลืออยู่บ้าง, ความสลดใจยิ่งทับทวีเข้ามาอิก: เพราะคนเหล่านี้ ข้าพเจ้าเคยร่วมกินร่วมพูดกันมา. และมีอยู่กะโหลกหนึ่งเสียบไว้กลางเชิงเทิน, เห็นแน่ชัดว่าเป็นหัวของวาชศรพ: ข้าพเจ้าจำได้ดีๆ. ส่วนศีรษะองคุลิมาลคงถูกเสียบประจารไว้ทางทิศตะวันออกอิกด้านหนึ่งเป็นแน่. ข้าพเจ้าระลึกถึงที่วาชศรพเคยอธิบายการลงทัณฑกรรม, คิดแล้วก็รู้สึกเสียวใจ. วาชศรพเคยอธิบายพิสูจน์ว่า ผู้เป็นโจรพึงอย่าให้เขาจับได้, ถ้าเคราะห์ร้ายถูกจับไป ก็ต้องหาทางทุกอย่างหนีให้จงได้. อนิจจา! วิชชาของวาชศรพเหล่านี้ช่วยตนเองอย่างไรได้บ้าง? เปล่าเลย. น้อยนัก มนุษย์จะรอดจากกรรมที่ได้ก่อไว้แต่ปางก่อน.

มองดูหัวกะโหลกวาชศรพ รู้สึกว่าซอกกะบอกตาที่กลวงโบ๋ คล้ายจะมองดูข้าพเจ้าและอ้าปากน้อยๆ เรียกว่า “กามนิต กามนิต, จงดูข้าพเจ้าให้ใกล้หน่อย แล้วพิจารณาให้ดีว่าเห็นอะไร. เพราะตัวท่านก็เหมือนกัน เกิดในเวลาดาวโจรขึ้น จะต้องดำเนิรในทางอันมืดแห่งแม่จ้าวกาลีเหมือนกัน, และในวันหนึ่งจะประสพการณ์ถึงที่สุด อย่างนี้แหละ!”

เป็นการแปลกประหลาดอยู่ ที่ประสพเหตุเช่นนี้ น่าจะหวาดกลัว, ในครั้งนี้กลับตรงกันข้าม: ข้าพเจ้าเกิดความคิดใหม่ - ซึ่งแต่ก่อนไม่เคยนึกเคยฝันเลย คืออยากเป็นนายโจร, ดูก็ควรเป็น ในยามที่ได้รับทุกข์สาหัสอย่างนี้. เห็นจะสมกับคำทำนายของวาชศรพกะมัง. พูดถึงสติปัญญาความกล้าหาญ ทั้งได้รับความรู้จากวาชศรพมาครองเป็นพิเศษอยู่แล้วด้วย, ถ้าจะตั้งตัวเป็นนายโจรก็คงเป็นได้. ดีเสียอิก จะได้ทำการแก้แค้นต่อสาตาเคียรได้สะดวก. แต่จะได้วาสิฏฐีคืนมาสู่วงแขนข้าพเจ้าหรือไม่นั้นแล้วแต่เรื่อง. ยิ่งคิดก็เห็นเป็นข้าพเจ้าได้สู้กับสาตาเคียรตัวต่อตัวในกลางป่า, เอาดาพฟันถูกกบาลมันแล่งออกเป็นสองเสี่ยง, แล้วอุ้มวาสิฏฐีซึ่งกำลังเป็นลมไม่ได้สติ หนีออกจากบ้านซึ่งกำลังถูกไฟเผาพินาศลง, และได้ยินเสียงพวกโจรใจฉกาจโห่ร้องคะนองชัย.

ครั้งนี้เป็นคราวแรก นับแต่ได้เห็นวาสิฏฐีมีอาการละเหี่ยละห้อย ที่ข้าพเจ้าเกิดความกล้าหาญและความหวังขึ้น, เริ่มคิดกะการย์ในภายหน้า. และคราวนี้เป็นครั้งแรก ที่ข้าพเจ้าอยากมีชีวิตอยู่ ยังไม่อยากตาย.

กำลังเห็นภาพต่างๆ เหล่านี้เป็นนิมิตต์ขึ้นในดวงจิตต์ ขณะเดิรทางไปยังไม่เกินกว่าพันก้าว เห็นหมู่เกวียนกองหนึ่งสวนทางมาข้างหน้า แล้วหยุดรอ. มีชายคนหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวหน้า ไปทำพิธีบูชาอยู่บนเนินใกล้ทาง.

ข้าพเจ้าเข้าไปหา ทักทายปราศรัยโดยสุภาพ, แล้วถามว่าบูชาเทพองค์ไรในที่นี้.

ชายผู้นั้นตอบว่า “ที่ในหลุมตรงนี้ ฝังศพท่านวาชศรพผู้ศักดิ์สิทธิ์. เพราะความคุ้มครองจากท่านผู้นี้ ข้าเจ้าจึ่งสามารถพ้นอันตราย ทั้งทรัพย์และชีวิตกลับไปถึงบ้านได้. และข้าเจ้าขอแนะนำอ้อนวอนสูท่าน ว่าอย่าละเลยบูชาท่านที่นี่ตามสมควรแก่การย์. เพราะว่า ถ้าสูท่านจะเดิรทางเข้าไปในแดนป่า ถึงจะจ้างคนรักษาป่าสักร้อยคน ก็ช่วยคุ้มภัยให้ไม่ดีกว่าท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์คนนี้.”

ข้าพเจ้าแย้งว่า “ท่านสหายที่รัก. ก็หลุมศพนี้ดูยังใหม่ๆ เพียงสองสามเดือนเท่านั้น. ถ้าศพที่ฝังอยู่ในนั้น คือวาชศรพแล้ว, ก็ไม่ใช่คนสำเร็จผู้ศักดิ์สิทธิ์อะไร, คงจะเป็นโจรที่ขึ้นชื่อนั้นกะมัง?”

พ่อค้าคนนั้นก้มศีรษะรับรอง “คนเดียวกัน---แน่นอน---ข้าพเจ้าเป็นผู้เห็นเขานำวาชศรพมาเสียบประจานไว้ณที่ตรงนี้. ศีรษะยังเสียบอยู่บนประตูเมือง. ตั้งแต่วาชศรพได้รับโทษทรมานด้วยราชทัณฑ์ ก็ได้ชำระล้างบาปหมดจดแล้ว. บัดนี้ได้ขึ้นสวรรค์ไม่มีดวงจิตต์ด่างพร้อยอะไรอีก. วิญญาณของวาชศรพณบัดนี้ คอยดูแลป้องกันคนเดิรทางให้พ้นภัยจากโจรผู้ร้าย. ยิ่งกว่านั้น มีผู้เขาพูดกันว่า เมื่อวาชศรพยังประพฤติเป็นโจรอยู่ ก็เป็นผู้มีความรู้สูงและประพฤติตนอย่างคนสำเร็จ เพราะเป็นผู้รอบรู้พระเวทขึ้นเจนใจ. อย่างน้อย เขาก็ว่ากันดั่งนี้.”

ข้าพเจ้าตอบว่า “ที่สูท่านพูดนี้ ถูกต้องจริงทุกประการ เพราะข้าเจ้ารู้จักเขาดี อาจเรียกว่าเป็นเพื่อนกันก็ได้.”

พ่อค้าคนนั้น มองดูข้าพเจ้าอย่างตะลึงลาน แต่ข้าพเจ้ากล่าวต่อไปว่า “สูท่านควรจะทราบไว้ ว่าครั้งหนึ่ง ข้าเจ้าเคยถูกโจรก๊กนี้จับตัวไปได้ และวาชศรพได้ช่วยชีวิตข้าเจ้าไว้ตั้งสองครั้ง.”

พ่อค้ามองดูข้าพเจ้าในคราวนี้ ไม่ใช่อย่างตะลึงกลัว, กลับมีกิริยาพอใจกล่าวชมว่า “นับว่าสูท่านมีบุณย์วาสนาแท้ๆ. ถ้าข้าเจ้าเป็นผู้ที่วาชศรพโปรดปราณแล้ว, ในสองสามปีเท่านั้น ข้าเจ้าจะเป็นคนมั่งมีที่สุดในกรุงโกสัมพี. บัดนี้ขอลาที ขอให้สูท่าน, ผู้ซึ่งใครควรอิดฉาในเคราะห์ดีของตน, เดิรทางไปโดยสวัสดิภาพเถิด” ว่าแล้ว เขาก็ให้อาณัติสัญญาณกองเกวียนของเขาเดิรทางต่อไป.

เป็นธรรมดาอยู่เอง ข้าพเจ้าจะละเลยไม่เซ่นบูชาสหายที่ลือชื่อและที่นับถือของข้าพเจ้ามิได้. แต่การอ้อนวอนตรงกันข้ามกับที่ใครๆ เคยอ้อนวอนกัน คือขอให้วาชศรพบันดาลให้ข้าพเจ้าไปพบพวกโจร จะได้สมคบเข้าเป็นพวกด้วย และด้วยความเชื่อในความสามารถของตน ว่าไม่ช้าตำแหน่งหัวโจกก็คงตกแก่ตัว.

ข้าพเจ้าจะได้ทราบผลในความเป็นไปของตนในไม่ช้า ที่สหายปราชญ์ของข้าพเจ้า และที่บุคคลณบัดนี้ นับถือและยกย่องว่าเป็นคนสำเร็จ ได้ทำนายไว้ว่าข้าพเจ้าจะได้เป็นโจรเพราะเกิดเวลาดาวโจรขึ้นนั้น เป็นอันผิดหมด. เพราะเมื่อเดิรทางตลอดจนถึงกรุงอุชเชนี ไม่พบโจรผู้ร้าย แม้แต่ร่องรอยก็ไม่มี, ผิดกว่าคราวก่อน ที่เดิรทางออกจากกรุงโกสัมพีมาไม่ถึงสัปดาห์ เข้าเขตต์ป่าใหญ่ระวางพรมแดนแคว้นอวันติก็ถูกโจรปล้น, มาคราวนี้ไม่มีเหตุการณ์เช่นนั้นเลย. เมื่อมารำพึงแล้ว รู้สึกว่าแปลกอยู่ จักแหล่นจะได้เป็นโจรอยู่แล้ว หากไม่สบโชค จึ่งต้องเป็นชาวบ้านอยู่ต่อไป. อันที่จริงเมื่ออยากจะเป็นโจรก็ไม่เป็นการยากอะไร จะหาทางพ้นโดยล้างบาปในภายหลังก็ได้ โดยประพฤติสัญจาริกไปนมัสการยังสถานศักดิ์สิทธิ์. เปรียบเหมือนเส้นโลหิตที่มีในกายตัวอยู่มากมาย, แต่ที่ไปสู่เบื้องศีรษะก็มีอยู่สายเดียว ซึ่งเป็นทางที่วิญญาณจะออกไปทางนั้นในเวลาตาย. เป็นอันว่าถึงจะเป็นโจร ก็กลับใจหาทางพ้นบาปในภายหลังก็ได้. เพราะว่าบุคคล เมื่อได้บรรลุวิมุตติ์ความหลุดพ้นแล้ว, กรรมทั้งหลาย ไม่ว่าดีหรือชั่วก็สิ้นไปเอง, เท่ากับเอาปัญญาความรู้เผาผลาญลงเป็นผงเท่าฉะนั้น.

ดูก่อนท่านภราดา, หากว่าระวางครั้งกระนั้น ข้าพเจ้าจะได้เป็นโจร พูดถึงผลของศีลธรรม ดูก็ไม่สู้จะแปลกไปจากคนธรรมดากี่มากน้อยนัก. เพราะตลอดเวลาที่ข้าพเจ้าจำเป็นต้องอยู่กับพวกโจร ได้ความรู้อย่างหนึ่งว่า พวกโจรมีอุปนิสสัยต่างๆ กัน: บางคนมีลักษณะดีเลิศ. ถ้าพูดถึงลักษณะภายนอกที่เห็นด้วยตา, มีบางอย่างที่เทียบกันในระวางผู้เป็นโจรกับผู้ไม่ใช่โจรแล้ว ไม่ผิดแปลกกันมากอย่างที่เข้าใจกันอยู่.

๏ ๏ ๏

กามนิต แสดงข้อหลักนักปราชญ์ดั่งนี้แล้วก็นิ่ง มีอาการตรึกตรอง, แหงนหน้าดูเดือนเพ็ญซึ่งโผล่เห็นเป็นดวงโต สว่างฟ้า มาทางหมู่ไม้อยู่ไกลลิบ อันเป็นที่อยู่ของโจร. แสงจันทร์ฉายเข้ามาทางห้องโถงบ้านช่างหม้อ จับพระกาสาวพัสตร์พุทธบริโภค ดูดั่งเป็นทองแท้ทั่วทั้งพระสรรพางค์.

พระพุทธเจ้า - ซึ่งกามนิตเห็นมีพระสัณฐานลักษณะสง่าน่านับถือ แต่จะรู้แม้สักนิดก็หาไม่ ว่าผู้นั้นคือใคร - ก็ผงกพระเศียร ตรัสว่า “ดูก่อนท่านผู้ประพฤติบุณยยาตรา, สังเกตดูตามเรื่องที่เล่า, เห็นท่านยังต้องการเดิรทางไปหาบ้านอย่างอาคาริยวิษัย มากกว่าจะเดิรทางหาความวิเวกสละบ้านตามอนาคาริยวิธี. อันที่จริงก็มีทางเปิดให้เดิรไปปัจฉิมมรรคได้ชัดแจ้งอยู่แล้ว.”

“ข้าแต่ผู้เจริญ, ความจริงเป็นดั่งที่ท่านกล่าว. แต่เวลานั้นตาข้าพเจ้ายังมืดมัวมองไม่เห็นวิโมกษวิถี, จึ่งมุ่งหน้าเดิรซมไปหาบ้านตามประสาเขลา.”

กามนิตถอนหายใจยาว นิ่งอึ้งอยู่สักครู่ ก็เริ่มเล่าเรื่องของตนต่อไป, มีเสียงสดชื่นชัดเจนขึ้น.

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ