สิบห้า ภิกษุโล้น

พฤติการณ์ในบ้านข้าพเจ้า เป็นไปดั่งที่เล่ามา. อยู่มาวันหนึ่งในตอนเช้า ข้าพเจ้านั่งอยู่ในห้องใหญ่อันเป็นด้านที่ร่มเย็นของบ้านจัดเอาไว้สำหรับเป็นสำนักงานทำกิจการค้าขายส่วนหนึ่งเป็นพิเศษ. เหตุนี้ห้องนั้นจึ่งหันหน้าไปทางลานบ้าน เพื่อจะได้มองเห็นคนงานด้วยตนเองตลอด. ข้างข้าพเจ้ามีคนใช้ยืนคอยรับใช้อยู่หนึ่งคน. คนใช้คนนี้เป็นที่เชื่อถือไว้ใจของข้าพเจ้ามาก ได้ติดสอยห้อยตามไปเมืองต่างๆ อันเนื่องด้วยการค้า นับเวลาได้หลายปี. ขณะนั้นข้าพเจ้ากำลังบงการแก่คนใช้ในเรื่องจะแต่งเกวียนไปค้ายังเมืองที่อยู่ไกลสักหน่อย. ได้อธิบายถึงวิธีที่จะจำหน่ายของแล้วจัดหาสินค้ากลับเอามาขาย และเรื่องอื่นๆ อีกหลายอย่าง. ที่ต้องสั่งกันมากมาย เพราะจะให้คนใช้เป็นคนคุมไปเองโดยสิทธิ์ขาด.

อันที่จริงข้าพเจ้าน่าจะเดิรทางท่องเที่ยวไปเสียให้ไกล เพราะบ้านก็ไม่เป็นบ้าน หาความสงบสุขไม่ได้แล้ว, แต่ว่าคุ้นต่อความอุดมสมบูรณ์ต่อการกินอยู่เสียแล้ว. ออกจะเบื่อๆ ไม่อยากเดิรทางไปไกลให้เหนื่อยยากลำบาก หาอาหารกินก็ไม่ได้สะดวก; แม้นจะไปถึงกำหนดที่หมาย ได้รับความพอใจอย่างไรก็ตาม, แต่ก็ต้องมีเหตุอื่นที่จะทำให้ลำบากเดือดร้อนเหมือนกัน: สู้อยู่กินที่บ้านดีกว่า. เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึ่งให้คนใช้ที่สนิทเป็นหัวหน้าคุมเกวียนไปเอง, ส่วนข้าพเจ้ายังคงอยู่ในกรุงอุชเชนี.

เรื่องเป็นอย่างนี้แหละ ดั่งที่ได้กล่าวไว้ คือข้าพเจ้ากำลังสั่งการแก่หัวหน้าผู้จะคุมเกวียนไป สั่งกันเสียอย่างละเอียดถี่ถ้วน ขณะนั้นได้ยินภริยาสองคนทะเลาะกันขรม แผดเสียงมาจากที่ลานบ้าน รู้สึกว่าดังมากขึ้นทุกที ผิดกว่าปกติ, สังเกตตามหางเสียงที่ลอยลมมา ดูเหมือนจะไม่ยุตติสงบลงได้ง่าย ๆ. ข้าพเจ้ารู้สึกรำคาญเหลือทน ถอนหายใจ ลุกขึ้นไปดูทางหน้าต่าง มองไม่เห็นตัว. เดิรกัดฟันออกไปยังลานบ้าน.

ข้าพเจ้าเห็นภริยาทั้งคู่ยืนอยู่ที่ประตูนอก แต่ไม่ใช่ทะเลาะกันอย่างที่ข้าพเจ้าเข้าใจ. นับว่าครั้งนี้เป็นคราวแรก ที่ภริยาทั้งสองของข้าพเจ้าเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ คือกำลังช่วยกันระดมด่าชายขอทานคนหนึ่ง. ชายขอทานผู้เคราะห์ร้ายคนนั้น เป็นพวกนักบวชเร่ร่อน ยืนเอามือข้างหนึ่งพิงเสาประตู ทนฟังผรุสวาทที่พลั่งๆ ออกไปราวกับน้ำไหลอยู่ได้. จะเป็นด้วยเรื่องอะไรจึ่งมาเอ็ดตะโรเอาชายคนนี้ ข้าพเจ้าสอบสวนไม่ได้ความ. บางทีจะเป็นเพราะเห็นว่าชายคนนั้นเป็นหมันเสียแล้ว ไม่เป็นผู้ยังพืชพันธุ์ให้บังเกิดผล, นับว่าเป็นศัตรูของสตรี. เป็นด้วยเหตุนี้กระมังภริยาข้าพเจ้าจึ่งแร่ใส่ชายคนนั้น ราวกับพังพอนเห็นงูเห่า.

“ออกไป, เจ้าชีโล้น! คนถ่อยไม่มียางอาย! ดูท่าทางยืนซิ ไหล่ทรุดดูโซน่าทุเรศอย่างกับฬาแก่ที่ปลดออกจากบังเหียน ปล่อยโซไว้ที่กองมูลฝอยข้างลานบ้าน เที่ยวสอดส่ายสูดหาเดนกาก. ออกไป, เจ้าหัวขะโมยหน้าด้านไม่มียาง!”

วาจาที่กล่าวดั่งนี้ แสดงว่าเป็นถ้อยคำเกลียดชังของหญิงผู้เป็นมารดา. ชายคนนี้คงเป็นภิกษุในลัทธิศาสนานิกายใดนิกายหนึ่ง, มีรูปร่างสูงใหญ่ผิดปกติ ยังยืนนิ่งเอาแขนพิงเสาเฉยอยู่อย่างสบายใจ, เครื่องห่อคลุมของชายคนนั้นเป็นสีเหลืองอย่างสีดอกกรรณิการ์ ไม่ผิดอะไรกับสีเครื่องนุ่งห่มของท่านนี่แหละ, คลุมห้อยเป็นกลีบๆ น่าดู ตั้งแต่ไหลซ้ายคลุมแนบไปถึงขา ทำให้เห็นรูปร่างภายในได้ถนัดว่าแข็งแรงล่ำใหญ่. ส่วนแขนขวาห้อยลงมาไม่มีผ้าคลุม มีกล้ามเนื้อเป็นสันขนาดใหญ่ อดชมไม่ได้ว่าสมลักษณะเป็นนักรบมากกว่าผู้ถือเพศเป็นนักบวช. ส่วนมือที่ประคองบาตรดินก็อวบใหญ่ ควรจะถือพลองเหล็กมากกว่า. ศีรษะก้มมองดูพื้นดินอย่างสำรวม ปากมีอาการสงบ ยืนนิ่งดูประหนึ่งว่าเป็นรูปหินที่นายช่างบรรจงสลัก อันข้าพเจ้าสั่งให้มาตั้งไว้ที่หน้าประตูฉะนั้น.

ความสงบเสงี่ยมของนักพรตผู้นี้ ภริยาข้าพเจ้าเข้าใจเสียว่าเป็นมายาตรงกันข้ามกับความเป็นจริง ยิ่งทวีความเกลียดชังหนักขึ้นเกือบๆ จะเป็นเรื่องถึงผลักไสกัน. หากข้าพเจ้าเข้าไปขวางกั้นเสียทัน, ตำหนิโทษที่ภริยามีวาจาโหดร้าย และไล่ให้กลับเข้าไปในบ้าน. แล้วข้าพเจ้าออกไปก้มแสดงความเคารพต่อนักบวชผู้นั้น วิงวอนว่า:

“ข้าแต่ท่านผู้ควรบูชา, ขอท่านอย่าได้ถือเรื่องผู้หญิงสองคนนี้เป็นอารมณ์เลย เพราะเป็นคนไม่มีปัญญา ความรู้เพียงสองลัดนิ้วมือก็ไม่ถึง. ที่กล่าวไปแล้ว ข้าพเจ้าก็ทราบได้ดีว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง. ขอพระเป็นเจ้าอย่าได้ถือเลย. ข้าพเจ้าจะถวายอาหารอย่างดีที่มีอยู่ในบ้านแก่ท่าน. นับว่าโอกาสดีที่บาตรยังว่างเปล่าอยู่, ข้าพเจ้าจะขอถวายให้เต็มจุใจแก่ที่จะทำบุณย์. และนับว่าท่านผู้ควรบูชามาไม่ผิดบ้าน เพราะจะได้เสพอาหารที่มีรส. ขึ้นชื่อว่าเรื่องอาหารแล้ว ที่ในกรุงนี้มักพูดติดปากกันว่า ‘วิเศษเหมือนกับของกามนิต;’ และตัวข้าพเจ้าก็คือกามนิตนั่นเอง. ข้าพเจ้าหวังว่าพระเป็นเจ้าจะไม่โกรธเคืองในเรื่องที่เป็นมาแล้ว และสาปสรรครอบครัวข้าพเจ้า.”

นักบวชผู้นั้นตอบฉันเมตตาจิตว่า “ดูก่อนคฤหบดี, อาตมามีความเป็นอยู่อย่างนี้จะรู้สึกโกรธเคืองต่อผรุสวาทได้อย่างไร, เพราะหน้าที่จะต้องมีความอดทนแม้ในสิ่งที่ยิ่งกว่านี้. คราวนี้เป็นครั้งแรกที่อาตมาเข้ามาภิกขาจารในกรุง. แต่มารดลใจให้พราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลายกลับเกิดใจจงเกลียดจงชังต่อคณะสงฆ์ด่าว่าขับไล่ตลอดมา. บางครั้งเมื่อเดิรมาตามทางก็ถูกขว้างปา ได้รับความเจ็บปวดถึงกับโลหิตตกและบาตรแตก จีวรขาดก็เคยมี. เมื่ออาตมากลับไปเฝ้าพระศาสดา พระองค์ก็ทรงรับสั่งให้มีความอดทนมั่นๆ ไว้ เพราะอาตมาทำอกุศลกรรมมาแล้วมากนัก จึ่งสมควรจะอดทนรับวิบากเพื่อลบล้างกรรมเหล่านั้นเสีย.”

ข้าพเจ้าได้ยินหางเสียงที่นักบวชผู้นี้พูด คราวแรกก็สะดุ้งสั่นเทิ้มไปทั้งตัว, ยิ่งได้ฟังนานชัดเข้า ก็ยิ่งตกใจแทบผะหงะหงาย รู้สึกกะทุ้งเยือกเข้าไปถึงหัวใจ. ดูก่อนภราดร, เสียงที่พูดนั้น คือเสียงองคุลิมาลมหาโจรนั่นเอง! แน่เสียกว่าแน่. ครั้นเมื่อข้าพเจ้าค่อยเหลือบมองพิจารณาดูหน้า ถึงว่านักบวชผู้นั้นจะโกนผมและหนวดเคราเสียเกลี้ยง ข้าพเจ้าก็ยังจำได้มั่นเหมาะว่าองคุลิมาล. ยังจำได้เมื่อครั้งกระโน้นว่ามีหนวดเครารุงรัง จ้องตามาดูข้าพเจ้าด้วยความโกรธแค้น อย่างจะกินเนื้อข้าพเจ้าเสีย, มือที่อุ้มบาตรก็จำได้ดีว่าเป็นมืออันล่ำสัน ซึ่งครั้งหนึ่งเกือบจะได้เค้นคอข้าพเจ้า.

ท่านนักบวชน่ากลัวของข้าพเจ้ากล่าวต่อไปว่า “ดูก่อนคฤหบดี, อาตมาจะโกรธต่อผรุสวาทได้อย่างไรเพราะพระศาสดาได้ตรัสสอนว่า “ดูก่อนสาวกทั้งหลาย, แม้ร่างกายจะถูกโจรผู้ร้ายเลื่อยขาดออกเป็นท่อนๆ ก็ดี, ถ้ายังมีโทษะอยู่ก็ยังไม่ถึงทางที่จะปรารถนา.”

ข้าแต่ภราดา, เมื่อข้าพเจ้าได้ยินถ้อยคำอย่างนี้เห็นเป็นอุบายจะให้ตายใจ, ถึงกับยืนขาสั่น ทรงตัวอยู่ไม่ได้ ต้องถอยไปพิงกำแพงยันไว้ไม่ให้ล้ม.

ข้าพเจ้าพยายามข่มกายใจให้เป็นปกติ พูดเสียงกะเส่า กะอ้อมกะแอ้มได้สองสามคำ ว่านิมนต์อยู่ก่อน กว่าจะได้จัดอาหารเสร็จออกมาถวาย.

พูดแล้ว ข้าพเจ้ารีบกะโผลกกะเผลกเข้าไปในลานบ้าน ตรงไปที่ครัวใหญ่ ซึ่งเวลานั้นจวนจะเที่ยงกำลังเขาจัดอาหารต้มทอดกันขลุกอยู่. ข้าพเจ้าเข้าไปถึง เลือกอาหารที่นับว่าอร่อยที่สุด จัดให้คนยกตามออกมา, ส่วนข้าพเจ้าถือทัพพีทอง เดิรนำหน้าปราดไปทางลานบ้าน เพื่อทำบุณย์ให้อาหารเอาใจผู้ซึ่งเป็นแขกน่ากลัวของข้าพเจ้าไว้.

แต่ องคุลิมาล หายไปเสียแล้ว !

๏ ๏ ๏

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ