ว่าด้วยอุจจาระปัสสาวะแห่งกุมารแลกุมารี แลลักษณะตานจร

ปุนจปรํ ทีนี้จะว่าด้วยอุจจาระปัสสาวะแห่งกุมารแลกุมารีมีอายุตั้งแต่ ๗ ขวบลงมาถึง ๓ เดือน จะเปนวันใดแลทรางอันใดก็ไม่ว่า ท่านว่าแต่ให้ดูเอาอุจจาระเปนประธาน ถ้าแลอุจจาระนั้นพิการอย่างไร แลจะเปนโทษอันใดๆ ก็ดี ให้แพทย์ทั้งหลายพึงรู้ลักษณะโดยสังเขปดังนี้

ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดอุจจาระเหลือง แลไม่รู้คุมกันเข้าได้ ท่านว่าเปนป้าง, เปนม้าม, เปนดานเสมหะก็ว่า ถ้าแลผู้ใดเห็นแต่อุจจาระมิได้เห็นตัวคนไข้ ท่านให้ทายว่ากุมารแลกุมารีผู้นั้นเปนไข้ตัวร้อน ให้จับเปนเวลา นานไปจะให้ชักเท้างอมือกำตาช้อนดูสูง ถ้าถึงกำหนด ๓ เดือนรักษายากนัก ถ้ากุมารแลกุมารีผู้ใดอุจจาระขาวดังน้ำเข้าเช็ด ท่านว่าพยาธิ์คือไส้เดือนกินอยู่ตามลำไส้ใหญ่นั้นประการ ๑ คือไส้เดือนอยู่ตามลำไส้ตามธรรมดามีอยู่ทุกตัวคน ถึงไม่ไข้เจ็บอันใดก็มีอยู่จนสิ้นอายุของผู้นั้นดุจดังนี้

อันว่าลักษณะตานจรจำพวกหนึ่งชื่อกะระ มีโทษให้ลงท้อง อุจจาระขาวดุจดังดินสอพอง ครั้นวางยาถูกแล้วก็หยุดไป ให้พรึงขึ้นทั้งตัวดังยอดผด แล้วให้ตาฟางแลตาเปนเกล็ดกะดี่ มักชอบกินเกลือกินกะปิ อันว่าไส้เดือนจำพวกนี้ บังเกิดขึ้นเปนอุปปาติกะครู่เดียวยามเดียวก็เต็มไส้ ได้ร้อยตัวพันตัวจึงให้ใส้พองท้องใหญ่ขึ้นคับอกคับใจ อึดอัดอยู่ประมาณ ๗ วัน ตัวมันแก่ขึ้นก็คลานออกทางทวารหนักก็มี ทางฅอก็มี กระทำให้อาเจียนให้จุกเสียด แลขบเอาท้องดังจะขาดใจตาย ให้ร้อนกระสับกระส่ายหน้าซีดผาดเผือดหาเลือดมิได้ อยู่ประมาณ ๘ วันก็ตาย รวมทั้งวันล้มไข้จนถึงวันตายเปน ๑๕ วันด้วยกัน แก้มิได้เลย เปนอาการตัดรักษาไม่รอด

อันว่าลักษณะตานจรจำพวกหนึ่ง ชื่อว่าสันตุกมิต โทษเกิดเพื่อไข้พิฆาฏ ในเมื่อรู้เดินรู้วิ่งแลล้มลงถูกไม้ถูกดินก็ดี หน้าแลจมูกแลน่าอกลงกระทบฟกช้ำแห่งใดๆ ก็ดี ย่อมเปนไข้พิฆาฎสิ้น กระทำให้จับให้ตัวร้อนมือเท้าเย็น ให้บิดดัวบ้างเปนเม็ดเปนยอดขึ้นทั้งตัว สมมุติว่าออกหัด ครั้นจมเข้าไปก็ทำให้ลงท้องเปนมูกเลือดจะนับเวลามิได้ ให้ปวดมวนให้กระหายน้ำ ให้มึนมัวให้ไอ กินเข้ากินนมมิได้ ท่านให้แก้จงดี จะได้ส่วน ๑ เสีย ๒ ส่วน

อันว่าลักษณะตานจรจำพวกหนึ่ง ชื่อสาระพะกะระ ให้ขนลุกทุกเส้น ให้เปนยอดขึ้นในหูในจมูกก็ดี ครั้นยอดนั้นแตกออกก็เปนโลหิตใหลไป จึงให้บวมขึ้นแตกออกเปนบุพโพเหม็นเหน้า ย่อมเปนชั่วนาตาปีหายแล้วก็เปนอีก ถ้าขึ้นจมูกแล้วร้ายนัก เพราะว่าขึ้นสมองแล้วตกลงไปในท้อง ทำให้ลงดังหนองฝีแลมันสมอง กระทำให้ตัดอาหารเสีย เมื่อตายนั้นโลหิตออกทางหูทางจมูก แลทวารหนักทวารเบา ถ้าอาการเปนดังนี้ท่านตัดรักษาไม่รอดเลย

อันว่าลักษณะตานจรจำพวกหนึ่ง ชื่อพรหมกิจเกิดในรูสดือ มีเภทดังฝีอัคคนีสัน ขึ้น ๓ วันก็ให้ลงเปนโลหิตสดๆ ออกมา เพราะมันกลับเข้าไปทำใน ดี, ตับ, หัวใจ, แลลำไส้, แล้วก็ให้กลุ้มอกกลุ้มใจหาสติมิได้ ให้ร้อนให้หนาว แลเภทที่ลงนั้นก็เปนโลหิตเสมหะเหน้า ถ้าอาการเปนดังนี้ แพทย์ที่ดีจะแก้ไขได้แต่ใน ๑๕ วันขึ้นไปจนเดือนหนึ่งแล้วเมื่อใด ก็เปนอาการตัดแก้มิได้เลย ตายเปนเที่ยง เมื่อจะใกล้ตายโลหิตออกทุกเส้นขน ถ้ามิตายตาจะแตกทั้ง ๒ ข้าง เพราะว่าต้อก้นหอยจะมาขึ้นทั้งสองข้าง

พระอาจารย์เจ้ากล่าวมาในลักษณะตานจรทั้ง ๕ จำพวก เปนอาการตัด ก็จบแต่เพียงนี้โดยสังเขป

(อาจาริเยน) อันพระอาจารย์เจ้ากล่าวมาไว้ในพระคัมภีร์อภัยสันตาโน้นดังนี้ (สัพเพสัตตา อาหารัฏฐิติกา) จะว่าด้วยอาหารแห่งสัตว์ทั้งหลาย อันพิกลต่างๆ ตั้งแต่เกิดแผ่นดินใหม่ขึ้นแล้ว ครั้งนั้นพรหม ๑๖ พระองค์ลงมากินง้วนดินแล้ว กายแห่งพรหมนั้นก็แปรเปนไปต่างๆ คือเปนรูปหญิงรูปชาย แล้วสลัดเสียซึ่งผ้านุ่งผ้าห่มทั้งปวง จึ่งร่วมประเวณีแก่กันแลกัน ก็ให้ยินดีในเบ็ญจกามคุณ จึ่งกระทำชาติสัมเภทเสพย์เมถุนธรรมแก่กันแลกันตามจารีตแผ่นดิน แล้วบังเกิดเข้าโภชน์สาลีขึ้น คนเหล่านั้นก็มาสงเคราะห์เอาซึ่งเข้าสาลีนั้นเปนอาหารเลี้ยงชีวิตรมาคุงเท่าบัดนี้

อันว่าลักษณะกำเนิด มาแต่แสนโกฎิจักรวาฬ คือมาแต่เทวะดา, มนุษย์, เดียรัจฉาน, นะรก, ก็ดี เปรต, อสุรกาย, ก็ดี แลเกิดในอุปุปาติกะก็ดี ครั้นมาเอาปฏิสนธิในทวีปชมพูแล้ว ก็มาบริโภคซึ่งเข้าสาลีทุกตัวสัตว์ ในเมื่อสัตว์ทั้งหลายมาบริโภคอาหารต่างๆนั้น เปนต้นว่า กุ้งแลปลาสาระพัดอาหารอันหยาบช้า แต่ล้วนเครื่องอันเหน้าเปื่อยเปนอสุจิโสโครก จึ่งให้บังเกิดโรคพยาธิต่าง ๆ จึ่งท้าวพกาพรหมผู้เปนใหญ่กว่าพรหมทั้งหลาย ซึ่งประดิษฐานต้นไม้ให้ลงมาบังเกิดขึ้น ๔ ต้น ขึ้นต้นละทวีป คืออุดรกาโรนั้นปลูกต้นกามพฤกษ์ แต่ต้นไม้ทั้ง ๓ ต้นนี้แต่ล้วนเปนทิพย์ แต่ชมพูทวีปเรานี้ สัตว์ทั้งหลายย่อมบริโภคอาหารอันหยาบช้าต่างๆ จึ่งประกอบไปด้วยโรคาพยาธิทั้งปวง ท่านจึงประดิษฐานต้นราชพฤกษ์ลงมาปลูกไว้ หวังจะให้แก้โรคอันบังเกิดแก่มนุษย์ทั้งปวง แลต้นไม้ทั้ง ๔ ต้นนี้เปนพระยาต้นไม้ เพราะว่าเกิดก่อนต้นไม้ทั้งปวง เปนสำคัญแห่งต้นไม้ประจำทวีป แล้วจึงบังเกิดต้นไม้แลต้นหญ้าทั้งปวงได้ ๙ โกฎิ ๙ แสนในแผ่นพื้นพสุธา ต่อเมื่อภายหลังนั้นเธอจึงสาปสรรไว้เปนสรรพยาสิ้นทั้งนั้น ใช่แต่เท่านั้น ท้าวพกาพรหมเธอจึงอาราธนาพรหมองค์หนึ่ง ซึ่งมีสติปัญญาเปนอันมาก จะให้จุติลงมาเกิดในมนุษโลกย์ จะได้รักษาสัตว์มนุษย์ทั้งหลาย อันบังเกิดโรคต่างๆ แลพรหมองค์นั้นเธอจึงว่า ข้าพเจ้าจะขอพรพระองค์ ๔ ประการ ท้าวพกาพรหมเธอจึ่งว่าพรอันใดซึ่งจะปราถนา เราก็จะประสาทไว้ให้แก่ท่าน จงสำเร็จความปรารถนาของท่านทุกประการเถิด พรหมองค์นั้นเธอจึงขอพรเปนคำรบ ๑ ว่าเมื่อข้าพเจ้าจะลงไปเกิดในมนุษโลกย์ในชมพูทวีปนั้นแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าเปนดุจดังสรรพยา ให้รู้จักลักษณะโรคโดยตนเอง แลพรเปนคำรบ ๒ ว่า ขอให้ต้นไม้แลว่านยาทั้งปวงนั้นพูดได้ ให้บอกแก่ข้าพเจ้าให้รู้ว่า ยาสิ่งนั้นแก้โรคอันนั้น แลพรเปนคำรบ ๓ ว่า ถ้าแลไข้อันใดใกล้ถึงกำหนดจะสิ้นอายุแล้ว แลจะมาหาข้าพเจ้าไปพยาบาล ขออย่าให้พบข้าพเจ้าเลย แลพรเปนคำรบ ๔ ว่า ถ้าข้าพเจ้าจะประสงค์สิ่งอันใด ขอให้สำเร็จทุกครั้ง ตามความปราถนาของข้าพเจ้าเถิด

จบพระคัมภีร์ประฐมจินดาแต่เพียงนี้

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ