กำเนิดทรางทั้งปวง

สิทธิการิย จะกล่าวกำเนิดทรางทั้งปวง อันเกิดแก่กุมารแลกุมารีทั้งหลาย ให้แพทย์ทั้งปวงพึงรู้ลักษณะโดยสังเขปดังนี้

ว่าด้วยกำเนิดทรางไฟ ถ้ากุมารกุมารีผู้ใดคลอดจากครรภ์มารดา วันอาทิตย์ทรางไฟเปนเจ้าเรือน อันว่าลักษณะทรางไฟนั้น ในเมื่อครรภ์มารดาได้ ๓ เดือน มารดามักให้เปนพรรดึก แลให้ขัดเบาๆ เปนโลหิตแลมักจุกเสียด เอ็นย่อมชักให้มือสั่น ให้ครั่นเนื้อตัว ให้ผอมเหลืองให้เดินไกลมิได้ ให้ขัดหัวเหน่าแลท้องน้อย ให้สลักตะคาดเจ็บตะโพกเปนกำลัง แลให้อยากของหวานเปนกำลังดังนี้ แลลักษณะทรางไฟมีแม่ ๔ ยอด เมื่อคลอดจากครรภ์มารดานั้นเขม่าขึ้นแต่ในเรือนไฟ ครั้นได้ ๗ วันก็หายไปด้วยแม่ทรางไฟนั้นขึ้นฝ่าเท้าข้างขวา ๓ ยอด ขึ้นข้างซ้ายยอด ๑ ถ้าผู้หญิงขึ้นข้างซ้าย ๓ ยอด มีบริวาร ๔๐ ยอด ขึ้นมาลำขา ๒ ยอด ลำแขน ๒๐ ยอดบ้าง เมื่อออกจากเรือนไฟได้ ๓ เดือน แม่ทรางขึ้นอยู่ในใจเท้ายอด ๑ เมื่อได้ ๔ เดือนนั้นให้เท้าฟกจึ่งให้กินเข้าแลนมมิได้ มักชวนนอนนาน ครั้นได้ ๖ เดือนจึงขึ้นมาอิกยอด ๑ จึ่งเปน ๒ ยอดด้วยกัน แลตั้งยอดขึ้นข้างนอกเนื้อดุจลูกหว้าห่ามแลมาได้ ๖, ๗, ๘, ๙, วัน ๑๐ วันบ้าง แล้วก็ดาดหายไป ครั้นได้ ๘ เดือนขึ้นอิกยอด ๑ ประจบกันเปน ๓ ยอด ขึ้นอยู่ข้อเท้า ครั้นได้เก้าเดือนแม่ทรางกำเนิดขึ้นมายอด ๑ จึงเปน ๔ ยอดด้วยกันมีบริวาร ๔๐ ยอด แล้วกระจายออกมาขึ้นกลางแข้งกลางขาแลเข่าบ้าง จึ่งตั้งยอดแดงดังผลมะไฟ ขอบนั้นก็แดงแลด้านลงลามออกไปดังไฟไหม้ แลหลังนั้นพุพองขึ้นแล้วเกลื่อนเข้าหากัน ครั้นสุกออกพร้อมกันก็ให้ปวดแต่หลังเท้าถึงแข้งลำขาตะโพกแลบั้นเอวก็ดี ถ้าแลแพทย์เห็นดังนี้อย่าให้รักษาเลย ด้วยแม่ทราง ๔ ยอดนั้นขึ้นในนาภีจึงเปื่อยออกดังหัวบุก เปื่อยลงมาเอาหัวเหน่าแลปากทวารหนัก แลกระเพาะมูลหนัก แลลามไปรอบสดือ จึงทำให้ตกมูกตกโลหิตตกหนอง แล้วให้ลงเปนน้ำส่าเหล้า น้ำล้างเนื้อ น้ำคาวปลา แลน้ำไข่เหน้า ด้วยแม่ทรางนั้นข้ามมาตามไส้อ่อนไส้แก่ แล้วก็เข้าจับหัวตับตัวปอด จึงแสดงออกมาตามทวารจึงมีบริวารทำให้เจ็บแสบให้ร้อนดุจไฟอันมีพิศม์ เมื่อจะตายให้ฝ่ามือแลเท้าแดงดังลูกนก อันว่าลักษณะทรางไฟเกิดพร้อมดังนี้แล้วเมื่อใด ท่านกำหนดไว้แต่ใน ๘ วัน ๙ วัน ๑๐ วันหรือ ๑๑ วัน กุมารผู้นั้นจะตายเปนอันเที่ยง

อันว่ากุมารกุมารีผู้กำเนิดวันอาทิตย์ แลปากกุมารนั้นจึ่งเขม่ามาขึ้นเพราะเสมหะแลกำเดากล้า จึงให้มีพิศม์ให้ร้อนภายใน พิศม์นั้นก็เกิดเปนเขม่าภายใน แลเกิดเปนทรางแลเขม่าภายในเพราะโลหิตแลเสมหะระคนกัน จึ่งให้กินเข้าดื่มน้ำแลนมมิได้ เพราะโลหิตแลเสมหะเปนกำลัง บางทีเสมหะเหน้าจึงให้ตกมูกตกเลือด บางทีเปนพยาธิต่างๆ ถ้าจะแก้ให้เอายาขนานนี้แก้ก่อน

(๑) ยาแก้ทรางไฟขนานนี้ ท่านให้เอาว่านกีบแรด ๑ ว่านร่อนทอง ๑ เนรภูสี ๑ เทียนดำ ๑ เทียนแดง ๑ ชะเอมทั้งสอง หนึ่ง ใบมะกล่ำเครือ ๑ ต้ม ๓ เอา ๑ กินแก้ตัวร้อนแก้ตานทรางทั้งปวง ทำแท่งก็ได้ละลายน้ำเหล้ากิน แก้ตกมูกตกเลือดดีนักแล

(๒) ยาแก้ทรางไฟขนานนี้ ท่านให้เอาหญ้าเกล็ดหอย ๑ ใบสันพร้าหอม ๑ ใบพุงดอ ๑ เชือกเขาไฟ ๑ รวมยา ๔ สิ่งนี้ตำเปนผงเอาน้ำประคำดีควายเปนกระสาย บดทำแท่งไว้ละลายน้ำท่าแซกดีงูเหลือม กินก็ได้ทาก็ได้วิเศษนัก

(๓) ถ้ามิฟังขนานนี้ท่านให้เอา ลิ้นทเล ๑ ฆ้องสามย่าน ๑ ขมิ้นอ้อย ๑ เข้าสารข้างครก ๑ รวมยา ๔ สิ่งนี้บดชะโลมแก้พิศม์ทรางไฟดีนัก

(๔) ถ้ามิฟังขนานนี้ ท่านให้เอา ใบน้ำเต้า ๑ ใบรงับพิศม์ ๑ ใบกระทุงหมาบ้า ๑ ใบสวาด ๑ ใบกระเพรา ๑ ใบเสนียด ๑ ใบมะเฟือง ๑ ลูกปราย ๑ ลูกพิลังกาสา ๑ ลูกจันทน์ ๑ ดอกจันทน์ ๑ กระวาน ๑ การพลู ๑ เทียนแดง ๑ น้ำประสานทอง ๑ รวมยา ๑๕ สิ่งนี้เอาส่วนเท่ากัน ตำเปนผงบดทำแท่งไว้ละลายน้ำท่าแซกน้ำประสานทอง กินแก้สารพัดพิศม์ดีนัก

(จบลักษณะทรางไฟแต่เท่านี้)

สิทธิการิยะ จะกล่าวกำเนิดทรางน้ำต่อไป ตามลำดับโดยสังเขป อนึ่งถ้ากุมารกุมารีผู้ใด คลอดจากครรภ์มารดาวันจันทร์ กำเนิดทรางน้ำเปนเจ้าเรือน อันว่าลักษณะทรางน้ำนั้นในเมื่อครรภ์มารดาตั้งขึ้นได้ ๓ เดือนนั้น มารดามักให้ปวดศีศะแลเจ็บนม แล้วให้อยากของอันหวาน แลให้เมื่อยแขนทั้งสองข้าง ให้หูหนักตาฟางมักเปนลมให้มึนให้ตึง แลให้รากให้กระหายน้ำเปนกำลังไปจนกำหนดคลอด อันว่าลักษณะทรางน้ำนั้นโตประมาณเท่าใบพุดทรา มีสีอันแดงดุจลูกผักปลังห่ามขึ้นหลังแลราวข้าง ขึ้นแขนแลตามทรวงอกก็ดี ทรางน้ำนี้หาแม่มิได้ ถ้าเห็นขึ้นมาดังกล่าวไว้นี้ ท่านว่ามิตายเลย ให้แพทย์พึงพิจารณาดูจงเลอียดเถิด ถ้าจะแก้ให้เอายาขนานนี้แก้ก่อน

(๑) ยาแก้ทรางน้ำขนานนี้ ท่านให้เอาใบผักคราด ๑ ใบผักเปด ๑ ใบสวาด ๑ ใบสมี ๑ ว่านน้ำ ๑ น้ำประสานทอง ๑ เมล็ดในมะนาว ๑ พริกไทย ๑ ขิงแห้ง ๑ รวมยา ๙ สิ่งนี้เอาส่วนเท่ากัน ตำเปนผงบดทำแท่งไว้ละลายน้ำเหล้ากินดีนัก ได้หายมามากแล้ว

(๒) ถ้ามิฟังขนานนี้ท่านให้เอา ใบแมงลัก ๑ ใบหนาด ๑ เทียนดำ ๑ เปลือกโพบาย ๑ ดีปลี ๑ รวมยา ๕ สิ่งนี้เอาส่วนเท่ากันตำเปนผง บดทำแท่งไว้ละลายน้ำเหล้ากินหาย

(๓) ถ้ามิฟังขนานนี้ท่านให้เอา เปลือกมะเดื่อ ๑ ใบทองพันชั่ง ๑ ลูกจันทน์ ๑ ลูกพิลังกาสา ๑ ลูกสารพัดพิศม์ ๑ ลูกมะคำดีควาย ๑ พริกไทย ๑ ขิงแห้ง ๑ รวมยา ๘ สิ่งนี้เอาส่วนเท่ากัน ตำเปนผงบดทำแท่งไว้ละลายน้ำเหล้ากินหาย

(๔) ถ้ามิฟังขนานนี้ท่านให้เอา ลูกปราย ๑ ลูกราชดัด ๑ ลูกสารพัดพิศม์ ๑ ลูกพิลังกาสา ๑ น้ำประสานทอง ๑ ว่านกีบแรด ๑ ว่านร่อนทอง ๑ ลูกจันทน์ ๑ ดอกจันทน์ ๑ รวมยา ๙ สิ่งนี้เอาสิ่งละ ๒ สลึง โหราเดือยไก่สองสลึง พริกไทย ๑ เฟื้อง เปนยา ๑๑ สิ่งด้วยกัน ตำเปนผงบดทำแท่งไว้ละลายน้ำเหล้ากินแก้ทรางน้ำแลทรางทั้งปวงวิเศษนัก

(จบลักษณะทรางน้ำแต่เท่านี้)

สิทธิการิยะ จะกล่าวลักษณะกำเนิดทรางแดงต่อไปตามลำดับเรื่องโดยสังเขป อนึ่งถ้ากุมารกุมารีผู้ใด คลอดจากครรภ์มารดาวันอังคาร กำเนิดทรางแดงเปนเจ้าเรือน อันว่าลักษณะทรางแดงนั้น ในเมื่อครรภ์มารดาได้สามเดือนนั้น ให้มารดาเกิดเปนลม จุกเสียด ให้วิงเวียน ให้หอบพักแลราก ให้เมื่อยมึนเปนกำลัง ให้มือแลเท้าบวม แลให้นอนมิหลับ ลักษณะทรางแดงมีแม่นั้น ๖ ยอด อยู่ในกระหม่อม ๓ ยอด อยู่กลางสันหลัง ๓ ยอด มีบริวารอยู่ ๗๒ ยอด เมื่ออยู่ในเรือนไฟหาเขม่ามิได้ เหตุแม่ทรางนั้นเลื่อนขึ้นมาเกิดเพดาล ข้างบนนั้น ๑ ยอด ๒ ยอด ๓ แล ๔ ยอด ๕ ยอด ก็ดี จึ่งไม่มีเขม่าในเรือนไฟ ครั้นออกไฟแล้วจึ่งเขม่าตานทรางนั้นมีมา ครั้นถ้วน ๓ เดือนแม่ทรางจึ่งลงมาจากกระหม่อมยอด ๑ ขึ้นสันหลังยอด ๑ เปน ๒ ยอดด้วยกัน จึงสำแดงออกมาที่ฅอแลคาง ที่ขาหนีบแลรักแร้ข้างนอกแลทวารหนักก็ดี ยอดนั้นแดงคือทรางแดงสำแดงออกมา ให้ลำบากแก่กุมารกุมารีทั้งปวงนั้น จึ่งทำให้ลงแลรากให้กระหายน้ำ แลเชื่อมมึนมีพิศม์ให้ไอแลฅอแห้ง ให้ผอมเหลืองให้ตกมูกแลเลือด กินเข้าแลดื่มน้ำนมมิได้ ถ้าแพทย์เห็นดังนี้แล้วให้พิจารณาดู ให้รู้จักว่าตัวผู้แลตัวเมีย แลลักษณะเปนแลตายร้ายแลดีทั้งปวงให้ประจักษ์แจ้ง ถ้าแพทย์จะรักษาจงให้ยาที่ควรแก่โรคจึงจะหาย ถ้าวางยาผิดแลมิต้องด้วยโรคแล้ว ใน ๙ วันกุมารกุมารีผู้นั้นจะลำบากยิ่งนัก ถ้าแพทย์ผู้ใดเรียนคัมภีร์แลมิได้เรียนคัมภีร์นั้นก็ดุจกัน ถ้าจะรักษาให้รักษาจงดี ถ้าจะเจรจาก็ให้เจรจาจงดี ในเมื่อได้ ๓ เดือนนั้นแม่ทรางลงอิกยอด ๑ เมื่อได้ ๖ เดือนลงอิกยอด ๑ แต่ ๙ เดือนไปจนถึง ๑๑ เดือนลงอิกยอด ๑ ทั้งนี้คือทรางที่กระหม่อม ๑ บอกไว้ให้แพทย์พึงรู้ทรางซึ่งลงมานั้นคือทรางยอดเอกลงมาเกิดเปน ๖ ยอดด้วยกัน ทรางยอดเอกนั้นลงมาให้มีพิศม์เจ็บปวดเปนกำลัง ให้แพทย์รักษาจงดี ถ้าไม่รู้จักรักษาตายเปนเที่ยง ถ้ารู้รักษามิตาย ถ้าจะวางยาอย่าให้วางยารุยาผาย ถ้าจะรักษาสืบไปเมื่อน่านั้นยากนัก ครั้นได้ขวบ ๑ จึ่งทรวงยอดเอกหลบเข้าไปขึ้นในสดือเหนือสดือนั้นยอด ๑ ครั้นได้ขวบ ๑ กับ ๓ เดือนแม่ทรางจึ่งหลบเข้าไปตามกัน ขึ้นในสดืออิก ๒ ยอดด้วยกัน ครั้นได้ขวบ ๑ กับ ๖ เดือน หลบเข้าไปขึ้นในสดืออิกเปน ๓ ยอด ครั้นได้ขวบ ๑ กับ ๘ เดือน หลบเข้าไปในสดือเปน ๔ ยอด ครั้นได้ขวบ ๑ กับ ๑๑ เดือน หลบเข้าไปในสดือเปน ๕ ยอด ครั้นได้ ๒ ขวบกับ ๒ เดือน หลบเข้าไปในสดือเปน ๖ ยอด ในเมื่อเข้าพร้อมกันดังนี้แล้ว จึ่งบริวารทรางแดง ๗๒ ยอดนั้นก็ขึ้นแกมแม่ในกระเพาะน้ำ แลลำไส้อ่อนไส้แก่ ในหัวเหน่าแลสันหลังแลคางก็ดีแลขึ้นในราวข้างทั้ง ๒ ขึ้นในอกแลในฅอแลในลิ้นก็ดี ให้เจ็บทั่วสรรพางค์ ถ้าแลขึ้นหัวเหน่าแลกระเพาะเยี่ยวนั้น ให้ขัดอุจาระแลปัสสาวะ ขึ้นไส้แก่ให้ลงท้อง ขึ้นไส้อ่อนให้เยี่ยวดัง ขึ้นราวข้างทั้ง ๒ ให้ตัวร้อน ขึ้นสันหลังข้างในให้นอนมิหลับ ขึ้นกระเพาะเข้าให้ราก ขึ้นกระเพาะน้ำให้กระหายน้ำนัก ขึ้นฅอให้ไอฅอแห้ง ขึ้นตาให้ตาซม ขึ้นปากให้ปากแดง ขึ้นหูให้หูเหน้า อันว่าลักษณะทรางแดงตัวผู้แลตัวเมีย ถ้าบุคคลผู้ใดจะเปนแพทย์ ให้รู้จักดังกล่าวมานี้ คือขึ้นมาในรักแร้ ถ้าผู้ชายหลบเข้าข้างขวา ถ้าผู้หญิงหลบเข้าข้างซ้าย ครั้นสิ้นกำหนดทรางแดงตัวเมียแล้ว จึ่งทรางแดงตัวผู้มาบังเกิด ผุดออกที่รักแร้ทั้ง ๒ ข้างๆ ละยอดจึ่งตาย อันว่าลักษณะทรางแดงกำหนดแต่ใน ๓ เดือนจนถึง ๙ เดือน ไปจนขวบ ๑ กับ ๙ เดือน จึงเข้าไปพร้อมกัน แลทำให้ตกมูกตกเลือดแลตกหนอง คือม้ามย้อย ให้ตัวร้อน ให้ผอมเหลือง แลอุจาระเหลืองเยี่ยวเหลือง ให้จุกเสียด เสมหะฟูมออกมาทั้งซ้ายแลขวา แลสูนย์กลางดี ก็ให้มือแลเท้ากำ ถ้าแพทย์เห็นดังนี้ให้ต้องดูที่สดือ ถ้าหย่อนลงมาข้างขวาซ้ายแลสูนย์กลางก็ดี ให้แพทย์แก้จงดี ถ้าไม่เห็นดังนี้ คือลมกำเนิดอันชื่อว่าอุตธังคมาวาต ให้ระวังในไฟไปจน ๓ เดือนจึงจะหายไปเอง ถ้าแพทย์จะให้กินยาแลเสียผีมิหายเลย แล้วจึ่งลงมาจากสดือ แลสีข้างแลยอดอกลงมาตั้งอยู่ในสดือ จึ่งเรียกว่าลมกองใหญ่พัดออกจากสดือ แล่นขึ้นตามเส้นเอ็นเลือดแลเสมหะขึ้นชิดกระดูกลันหลัง มาถึงยอดอกแลลำฅอ แล้วจึ่งส้านออกไปทางหู, จมูก, ทางกระหม่อม แพทย์พึงรู้เถิด ถ้าเปนเดือนขึ้นตาย ถ้าเปนเดือนแรมมิตายเลย สมมุติว่าตระบองราหูก็ว่า มารทะลุนก็ว่า อัศวมุขีก็ว่า ตะพั้นไฟก็ว่า สมมุติชื่อต่างๆ ดังนี้ หญิงชายเปนดุจกัน ถ้าจะแก้ให้เอายาขนานนี้แก้ก่อน

(๑) ยาแก้ทรางแดงขนานนี้ ท่านให้เอา บรเพ็ด ๑ เปลือกมะตูม ๑ หอมแดง ๑ การบูร ๑ พริกไทย ๑ ขิงแห้ง ๑ กระเทียม ๑ รวมยา ๗ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเปนจุณ บดทำแท่งไว้ละลายน้ำสุรากินหาย

(๒) ถ้ามิฟังขนานนี้ ท่านให้เอา โกฐสอ ๑ โกฐเขมา ๑ เทียนขาว ๑ จันทน์หอม ๑ ใบชุมเห็ด ๑ รวมยา ๕ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเปนจุณ เอาน้ำปูนใสเปนกระสายบดปั้นแท่งไว้ ละลายสุรากินแก้ทรางแดงทรางป่วงหาย ถ้าจะชโลมแซกพิมเสนชโลมดีนัก

(๓) ถ้ามิฟังขนานนี้ ท่านให้เอาผักหวานบ้าน ๑ ใบทับทิม ๑ ขมิ้นอ้อย ๑ แก่นมะทราง ๑ รวมยา ๔ สิ่งนี้เอาเสมอภาค ทำเปนจุณบดปั้นแท่งไว้ละลายน้ำสุรากินหาย

(๔) ถ้ามิฟังขนานนี้ ท่านให้เอาบระเพ็ด ๑ ใบกระเพรา ๑ ขมิ้นอ้อย ๑ ผลกระวาน ๑ กานพลู ๑ ฝาง ๑ ฝิ่น ๑ เบ็ญจกานี ๑ รวมยา ๘ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเปนจุณบดทำแท่งไว้ เมื่อจะกินแซกดีงูทั้งกินทั้งชะโลมแก้ทรางแดงแลสารพัดทรางทั้งปวงหายดีนัก

(๕) ถ้ามิฟัง เอายาแดงใหญ่ขนานนี้ท่านให้เอากำมถันแดง ๑ ภิมเสน ๑ กฤษณา ๑ โกฐทั้งห้า เทียนทั้งห้า ดอกจันทน์ ๑ รากไคร้เครือ ๑ ชเอมเทศ ๑ ชาตก้อน ๑ กำยาน ๑ โลดทนง ๑ สีเสียดเทศ ๑ สานส้ม ๑ สักขี ๑ สมอเทศ ๑ ว่านร่อนทอง ๑ เนรภูสี ๑ ตุมกาแดง ๑ รวมยา ๒๕ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเปนจุณ เอาสุราเปนกระสายบดทำแท่งไว้ละลายสุราทั้งกินทั้งทา แก้ทรางแดงสารพัดทรางทั้งปวงหาย (จบลักษณะทรางแดงแต่เท่านี้)

สิทธิการิยะ จะกล่าวกำเนิดทรางสกอต่อไป ตามลำดับเรื่องโดยสังเขป ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดคลอดจากครรภ์มารดาวันพุฒกำเนิดทรางสกอเปนเจ้าเรือน อันว่าลักษณะทรางสกอนั้น ในเมื่อครรภ์มารดาตั้งขึ้นได้ ๓ เดือน มารดามักให้จุกเสียด ครั้นได้ ๕ เดือนมักให้ราก ครั้นได้ ๗ เดือนมักให้บวมเท้าถึงต้นขา ให้ขัดตะโพกทั้งสองกินอาหารมักให้ขม ให้พรึงเปนเม็ดยอดขึ้นทวารหนักทวารเบา แลให้เมื่อยไปทั้งตัวจนกำหนดคลอด อันว่าลักษณะทรางสกอนี้มีแม่ยอดขึ้นประจำในนาภีทั้ง ๔ ยอด เมื่ออยู่ในเรือนไฟ ๓ วันนั้น เขม่าจึงขึ้นมีบริวาร ๔๒ ยอดขึ้นกำกับแม่ทั้ง ๔ ยอดนั้นจึงบริวารข้างละ ๑๐ ยอดลงมาประจำอยู่ทวารหนัก ๔ ยอด ประจำอยู่ม้าม ๕ ยอด อยู่กระหม่อมยอด ๑ ครั้นออกจากเรือนไฟแล้วจึงเปนเขม่าตานเขม่าทราง เมื่อได้ ๓ เดือนจึงบริวารทั้งนั้นกระจายออกทั่วทั้งตัวแลลำไส้ แลทรางซึ่งประจำทวารหนัก ๔ ยอดนั้น มักให้เปนพรรดึกแลให้ขัดอุจาระให้ขัดปัสสาวะ แลทรางซึ่งประจำม้าม ๕ ยอดนั้น ก็กระจายออกยอดอกแล้วก็สำแดงออกมาที่ฅอที่ลิ้นที่ปากขึ้นอยู่ ๓ เดือน ถ้าแพทย์เห็นดังนี้แล้ว ให้พิจารณาดูให้รู้จักว่ากำเนิดทรางสกอวางยาจึงจะชอบโรค ถ้าแลมิรู้จักกำเนิดทรางสกอวางยามิต้องด้วยโรค ถ้าแลวางยาผิดเข้าไปเมื่อใด กุมารผู้นั้นก็จะแตกตายแต่ใน ๒ เดือนเปนอันเที่ยง อันว่าบริวารซึ่งอยู่ในนาภีนั้นกระจายออกตั้งท้องขึ้นจะประจบหากันในอก แลแม่ทรางซึ่งอยู่ในนาภีนั้นจึงเลื่อนขึ้นมา ๒ ยอด มาขึ้นเหงือกข้างล่างข้างละยอด เมื่อขึ้นมานั้นบริวารก็ตามขึ้นมา ๖ ยอด ๗ ยอดบ้าง ขึ้นน่าฟันแลเหงือกข้างบนข้างล่างบ้าง จึงทำให้ลงให้รากให้กระหายน้ำ แลให้เปนไข้ตัวร้อนให้เชื่อมให้มึนแลให้กระสับกระส่ายทั้งตัว อันว่าทรางที่อยู่ในกระหม่อมยอด ๑ นั้น ก็เลื่อนลงมาขึ้นสันหลังจึงเจ็บสันหลังให้ท้องขึ้น เมื่อได้ ๔ เดือนเปนที ๑ เมื่อได้ ๘ เดือนที ๑ ครั้นถ้วนกำหนดก็จมเข้าไปข้างในจึงทำให้ลงท้อง ตกมูกตกโลหิตตกหนองแล้วให้ตาเหลืองมูตร์เหลืองกินเข้ากินนมมิได้ ให้ท้องโรขี้คร้านกิน เมื่อได้ขวบ ๑ เปนที ๑ เมื่อได้ขวบ ๑ กับ ๖ เดือนเปนทีหนึ่ง เมื่อได้ขวบ ๑ กับ ๘ เดือนเปนที ๑ เมื่อได้ ๒ ขวบกับ ๑๐ เดือนประจบรวมเข้ากันเปนที ๑ จึ่งทำให้จุกเสียดผอมเหลืองให้เจ็บท้องกินเข้ากินน้ำกินนมไม่ได้ ถ้าเปนดังนี้แล้วเมื่อใดแม่ทรางสกอนั้นขึ้นพร้อมกันในนาภี จึ่งขึ้นตั้งในสดือนั้นยอด ๑ ขึ้นอยู่เหนือนาภีข้างบนข้างละยอดจึ่งทำให้จุกเสียด อันว่าบริวาร ๔๒ ยอดนั้นจึ่งรายกันขึ้นข้างโครงบ้าง ขึ้นข้างรักแร้บ้าง ขึ้นเส้นข้างในบ้าง ขึ้นสันหลังข้างในบ้าง ขึ้นไหล่รวบทั้ง ๒ บ้าง ขึ้นข้อศอกทั้ง ๒ บ้าง ขึ้นเข่าทั้งสองข้างจึ่งตั้งเปนโรคต่างๆ ดังนี้เท่ากำหนดอายุ มีกำหนดทรางสกออันเกิดแก่กุมารกุมารีทั้งหลาย เปนดังกล่าวมาให้แพทย์พึงรู้ ถ้าจะแก้ให้เอายาขนานนี้แก้ก่อนตามลำดับ

(๑) ยาแก้ทรางสกอขนานนี้ ท่านให้เอารากตะโหนด ๑ รากหมากเมีย ๑ รากชุมเห็ดเทศ ๑ ใบมะเฟือง ๑ ข่าอ่อน ๑ กระชาย ๑ พริกล่อน ๑ รวมยา ๗ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเปนจุณ บดทำแท่งไว้ละลายสุรากินหาย

(๒) ถ้ามิฟังขนานนี้ ท่านให้เอารากเล็บมือนาง ๑ รากมอลกอ ๑ (บางทีจะเปนรากมละกอ) สมุลแว้ง ๑ รากมะรุม ๑ สะค้าน ๑ ว่านนางคำ ๑ ขิง ๑ ดีปลี ๑ รวมยา ๘ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเปนจุณบดทำแท่งไว้ละลายสุรากินหาย

(๓) ถ้ามิฟังขนานนี้ ท่านให้เอาจันทน์ทั้งสอง รากทนดี ๑ รากผักโหม ๑ รากไคร้เครือ ๑ พริกไทย ๑ กระเทียม ๑ รวมยา ๗ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเปนจุณ บดทำแท่งไว้ละลายสุรากินหาย

(๔) ถ้ามิฟังขนานนี้ ท่านให้เอาเจ็ตพังคี ๑ พระยามือเหล็ก ๑ สมอเทศ ๑ กระลำภัก ๑ ขิงแห้ง ๑ ขอนดอก ๑ โกฐหัวบัว ๑ โกฐพุงปลา ๑ เปลือกไข่เหน้า ๑ รวมยา ๙ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเปนจุณบดทำแท่งไว้ละลายสุรากิน แก้ทรางสกอหายอย่าสนเท่ห์เลยได้ใช้มามากแล้ว (จบลักษณทรางสกอแต่เท่านี้)

สิทธิการิยะจะกล่าวกำเนิดทรางวัวต่อไป ตามลำดับเรื่องโดยสังเขป ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดคลอดจากครรภ์มารดาได้วันพฤหัศกำเนิดทรางวัวเปนเจ้าเรือน อันว่าลักษณทรางวัวนั้น ในเมื่อครรภ์มารดาตั้งขึ้นได้ ๓ เดือนมักให้มารดาปากเปื่อยแลให้ลิ้นเปนยอดขึ้นมาข้างริมลิ้นข้างละ ๕ ข้างละ ๖ ยอด แลให้กินเผ็ดกินร้อนมิได้ ครั้นได้ ๖ เดือนก็ลามออกมากลางลิ้นจึ่งแตกระแหง แล้วให้ปวดแสบเปนกำลัง แล้วให้เปนบิดตกมูกตกโลหิต ต่อคลอดแล้วจึ่งหาย อันว่าลักษณทรางวัวนี้มีแม่ ๔ ยอด มีบริวาร ๔๐ ยอด เมื่ออยู่ในเรือนไฟ เขม่าตานเขม่าทรางขึ้นเต็มปากแล้วหายไป จึ่งให้พรึงขึ้นทั่วทั้งตัวดังยอดผดทำให้ตัวร้อนแลบิดตัว ครั้นจมลงไปก็ทำให้ลงท้อง ครั้นได้ ๓ เดือนจึ่งแม่ทราง ๔ ยอดนั้นก็มาขึ้นตั้งอยู่ปลายลิ้นยอด ๑ ขึ้นริมสองข้างลิ้นข้างละยอดขึ้นต้นลิ้นนั้น ยอดหนึ่งเปน ๔ ยอดด้วยกันคือแม่ทรางยอดเอก ครั้นได้ ๖ เดือนก็เลื่อนลงไปในนาภี จึ่งบริวารก็ลงมาขึ้นกระเพาะเข้า ๑๐ ยอด แลบริวาร ๔๐ ยอดนั้นก็ขึ้นในลิ้นในแก้มแม่ทรางยอดเอกนั้น จึ่งทำให้ลงให้อาเจียนให้กระหายน้ำ ครั้นได้ ๙ เดือนจึ่งทรางยอดเอกอยู่ปลายลิ้นนั้นก็ถอยลงไปขึ้นในนาภีข้างขวา บริวาร ๑๐ ยอดก็ลงไปขึ้นกะเพาะน้ำ จึ่งทำให้ลงให้อาเจียนให้กระหายน้ำ ครั้นได้ ๑๑ เดือน จึ่งแม่ทรางที่ขึ้นอยู่ริมลิ้นทั้ง ๒ ข้างนั้นก็เลื่อนลงมากับบริวาร ๒๐ ยอดขึ้นไส้แก่ยอด ๑ กับบริวาร ๑๐ ยอด ขึ้นไส้อ่อนยอด ๑ กับบริวาร ๑๐ ยอด แลยังบริวารอิก ๑๐ ยอดนั้นจึ่งลงไปขึ้นในหัวเหน่าใต้นาภี ครั้นได้ขวบ ๑ กับ ๖ เดือนจึ่งทำให้ตกมูกตกโลหิตเปนไปต่าง ๆ ถ้าแพทย์ผู้ใดจะรักษาให้พิจารณาดูให้รู้แท้ ว่าทรางวัวมาเกิดแก่กุมารกุมารีทั้งหลาย แลกำเนิดทรางวัวนั้นแต่ใน ๙ วัน ๑๐ วัน ถ้าจะแก้ให้เอายาขนานนี้แก้ก่อนตามลำดับโรค

(๑) ยาแก้ทรางวัวขนานนี้ ท่านให้เอาผลจิงจ้อ ๑ ผลหมอน้อย ๑ ผลหญ้าไต้ใบ ๑ เนรภูสี ๑ สมอเทศ ๑ นมวัวขัน ๑ ผลจันทน์ ๑ ดอกจันทน์ ๑ พริกไทย ๑ รวมยา ๙ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเปนจุณ บดทำแท่งไว้ละลายสุรากินหายแล

(๒) ถ้ามิฟังขนานนี้ ท่านให้เอาใบส้มซ่า ๑ ใบมะกรูด ๑ ใบมะเฟือง ๑ แห้วหมู ๑ ลูกเขยตาย ๑ สมอพิเภก ๑ รากชาพลู ๑ รวมยา ๗ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเปนจุณ บดทำแท่งไว้ละลายสุราแซกดีงูเหลือมกินหายดีแล

(๓) ถ้ามิฟังท่านให้เอาผลหลาวหลก ๑ ผลกระวาน ๑ ผลพุมเรียง ๑ พริกไทย ๑ ขมิ้นอ้อย ๑ น้ำประสานทอง ๑ รวมยา ๖ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเปนจุณ บดทำแท่งไว้ละลายสุรากินหาย

(๔) ถ้ามิฟังเอายาขนานใหญ่นี้ให้กิน ท่านให้เอาผลมะกอกเทศ ๑ ผลประคำดีควาย ๑ ผลตาลขโมย ๑ ผลมตูม ๑ เปลือกมรุม ๑ เบ็ญจกานี ๑ ดอกจันทน์ ๑ กานพลู ๑ รากหิงหาย ๑ ขอนดอก ๑ ชลูด ๑ รวมยา ๑๑ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเปนจุณ บดทำแท่งไว้ละลายสุรากิน ถ้าจะชะโลมละลายน้ำดอกไม้ยาสำหรับทรางวัววิเสศนัก

(จบลักษณะทรางวัวแต่เท่านี้)

สิทธิการิยะ จะกล่าวกำเนิดทรางช้างต่อไป ตามลำดับเรื่องโดยสังเขป ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใดคลอดจากครรภ์มารดาวันศุกร์ กำเนิดทรางช้างเปนเจ้าเรือน อันว่าลักษณทรางช้างนั้นในเมื่อมารดามีครรภ์ได้ ๓ เดือน ให้ทวารเบานั้นพรึงขึ้นดังยอดผดแล้วให้คัน ครั้นเมื่อแตกออกก็เปื่อยลามเปนน้ำเหลืองรอบทวาร แลให้ปวดหัวเหน่าเปนกำลัง ให้เจ็บสองตะคากแลให้ขัดเบา ครั้นได้ ๔ เดือน ๕ เดือน ๖ เดือน ๗ เดือนให้จุกเสียด ครั้นได้ ๘ เดือน ๙ เดือนให้บวมเท้าไปจนกำหนดคลอด เมื่อคลอดจากครรภ์มารดาแล้วนั้นเขม่าขึ้นแต่ในเรือนไฟ เขม่านั้นหนาขึ้นหลายชั้นด้วยทรางนั้นขึ้นแต่ในนาภีถึงทรวงอก ขึ้นมาถึงลำฅอแต่สำฅอขึ้นมาถึงลิ้น ตั้งแต่ ๙ วัน ไปจน ๑๘ วัน ๑๙ วันได้แล้วก็ดาดไปทั้งลิ้นแลปาก ครั้นออกจากเรือนไฟได้ ๓ เดือนจึ่งมีแม่ทรางขึ้นตั้งอยู่ในนาภีนั้น ๓ ยอด ขึ้นในเพดาน ๒ ยอด ๓ ยอดบ้างขึ้นในอก ๓ ยอด เมื่อได้ ๖ เดือนจึ่งแม่ทรางอยู่ในเพดาน ๒ ยอด ๓ ยอดนั้นก็เลื่อนลงมาขึ้นฅอ จึ่งมีบริวาร ๘๐ ยอด รายกันมาขึ้นลำขาทั้งสองข้างขึ้นหัวเหน่าทั้งสองข้าง ขึ้นลำแขนทั้งสองข้าง ขึ้นข้างโครงแลกลางสันหลังบ้าง เมื่อขึ้นพร้อมกันดังนี้แล้ว จึ่งแม่ทรางที่เพดานซึ่งเลื่อนลงมาขึ้นฅอนั้นจึงกระทำให้ไอให้ฅอแห้ง ให้เจ็บคอให้รากลมเปล่าให้ฟกให้พรึงรอบฅอให้เปื่อยให้เหน้าให้คันทั้งตัวให้พุให้พอง ครั้นได้ ๙ เดือนก็แห้งลงเอง แล้วจึ่งกลับเข้าไปทำท้องให้ลงให้อาเจียนให้กระหายน้ำให้กินเข้าให้กินนมมิได้ จึ่งบริวารขึ้นแก้มแม่ทรางขึ้นวันละ ๕ ยอดวันละ ๖ ยอด จึงทำให้เลาทั่วสรรพางค์กาย ครั้นได้ขวบ ๑ กับ ๓ เดือนจึ่งแม่ทรางที่ขึ้นในลำฅอนั้น ก็ถอยลงไปขึ้นในทรวงอกประจบกันเข้าเปน ๕ รอบ จึ่งทำให้ตัวร้อนแต่ตะวันบ่ายไปจนเที่ยงคืนจึ่งคลาย ให้กระหายน้ำให้เชื่อมให้มึน ให้กินนมน้อยมักให้อยากน้ำเปนกำลัง ครั้นได้ขวบ ๑ กับ ๓, ๔, ๕, ๖, ๗, เดือนต่อกัน จึ่งแม่ทรางในอกทั้ง ๕ ยอดนั้นก็ลงไปขึ้นในกะเพาะเข้าจึ่งทำให้เบื่อเข้า ขึ้นในลำไส้ทำให้เปนพรรดึก ขึ้นหัวเหน่าทำให้ขัดปัสสาวะ เมื่อจะรู้ความเมื่อจะรู้นั่งเมื่อรู้เดินนั้นทำให้ตกมูกโลหิต ด้วยว่าตับ, ปอด, ไส้, พุง, นั้น พองขึ้นแลเมื่อกินอาหารเครื่องมันเครื่องคาวทั้งปวงนั้น จึ่งแปลกธาตุทั้ง ๔ แลทรางจำพวกนี้จึ่งพลอยขึ้นมา แล้วจึ่งกระทำให้เจ็บปวดลำบากต่างๆ ถ้ารู้รักษามิตาย ถ้าไม่รู้รักษาตายแล เมื่อตายนั้นให้พิจารณาดูที่ท้องที่ฅอที่อก สำแดงออกมาลายดุจไข่นกกรอดรอบนาภี ที่ยอดอกนั้นเขียวดุจไข่กา ที่ฅอนั้นแดงดุจสายเลือด แล้วให้บวมด้วยเปนดังนี้ ถ้าแพทย์ผู้ใดจะพยาบาลให้รู้จักทรางช้างจำพวกอันเกิดแก่กุมารกุมารีทั้งหลายนั้น ให้พิจารณาให้แม่นแท้ ถ้าจะแก้ให้เอายาขนานนี้แก้ก่อน

(๑) ยาแก้ทรางช้าง ขนานนี้ ท่านให้เอาใบชุมเห็ดเทศ ๑ ใบสวาด ๑ ใบผักขวง ๑ ใบกะเพรา ๑ ลอองพระกฤษ ๑ รวมยา ๕ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเปนจุณ เอามูตร์ม้าสดเปนกระสาย บดทำแท่งไว้ละลายสุรากินหายดีนัก

(๒) ถ้ามิฟังท่านให้เอาผักคราด ๑ ขอบชะนางแดง ๑ ขอบชะนางขาว ๑ ผักเสี้ยนผี ๑ ขมิ้นอ้อย ๑ ผลประคำดีควาย ๑ พริกไทย ๑ ระย่อม ๑ รวมยา ๗ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเปนจุณ บดทำแท่งไว้ละลายสุรากินหายดีนัก

(๓) ถ้ามิฟังท่านให้เอาหญ้าไทรกำมือ ๑ ยอดเต่าร้างกำมือ ๑ กะทือ ๑ ไพล ๑ ตาลเสี้ยน ๑ รวมยา ๕ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเปนจุณ บดทำแท่งไว้ละลายน้ำสุรากินหาย

(๔) ถ้ามิฟังเอายาขนานใหญ่นี้แก้ ท่านให้เอารากสันพร้ามอญ ๑ รากชะมดต้น ๑ ใบพิมเสน ๑ จุกโรหินี ๑ สังกรณี ๑ ผลผักชีล้อม ๑ ผลผักชีลา ๑ ผลผักกาด ๑ ผลพิลังกาสา ๑ ผลจันทน์เทศ ๑ กลำภัก ๑ ว่านร่อนทอง ๑ ขิงแห้ง ๑ รวม ๑๓ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเปนจุณ บดทำแท่งไว้ละลายสุรากินแก้ทรางช้างหาย เปนยามหาวิเศษนักได้เชื่อแล้วอย่าสนเท่ห์เลย

(จบลักษณะทรางช้างแต่เท่านี้)

สิทธิการิย จะกล่าวกำเนิดทรางขโมยต่อไป ตามลำดับเรื่องโดยสังเขป ถ้าแลกุมารกุมารีผู้ใด คลอดจากครรภ์มารดาวันเสาร์กำเนิดทรางขโมยเปนเจ้าเรือน อันว่าลักษณะทรางขโมยนั้น ในเมื่อครรภ์มารดาตั้งขึ้นได้ ๓ เดือน มักให้มารดาอยากของอันคาว แลไข่เป็ดไข่ไก่ไข่เต่าแลของอันเผ็ดร้อนแลเปรี้ยวหวานผักพล่าปลายำทั้งปวง แลให้สวิงสวาย มักให้เจ็บนม แลปากมารดานั้นให้พรึงขึ้นแล้วก็ลำลาบเปื่อยออกไปให้ตกมูกตกโลหิต แลให้เจ็บฅอ เจ็บเอวเปนกำลังเท่าถึงกำหนดคลอดจากครรภ์มารดานั้น อันว่าลักษณะทรางขโมยนั้นมีแม่ ๙ ยอด ในเมื่อกุมารกุมารีคลอดจากครรภ์มารดาได้ ๓ วันนั้น แม่ทรางจึ่งมาขึ้นในสันหลัง ๒ ยอด ครั้นได้ ๓ เดือน จึ่งสำแดงออกมาที่ปากขึ้นที่เหงือกข้างบนข้างล่างที ๑ บางทีสำแดงออกมายอดนั้นเหลือง ขึ้นบนสดือขึ้นข้างสดือก็ดียอดดังเม็ดเข้าสารหัก กลางนั้นดำเปนขอบ แลถัดนั้นเหลือง ขอบตีนนั้นแดงออกมาให้ตัวนั้นลายดังปลากะทิง แลทรางจำพวกนี้มีแม่ดังไรให้เจ็บทั่วสรรพางค์กาย ครั้นได้ ๖ เดือน ก็สำแดงเปื่อยออกมาเปนขุมทั่วทั้งตัวให้ลงท้องมิหยุด แม่ทรางที่กระหม่อมนั้นจึ่งถอยลงไปขึ้นกลางหลัง ประจบกันทั้ง ๕ ยอด พอแม่ทรางลงแล้วที่เปื่อยนั้นก็หายไป ครั้น ๘ เดือน ๙ เดือนแม่ทรางที่ขึ้นกระหม่อมอยู่นั้น ก็เลื่อนลงมาขึ้นกลางหลังอิกยอด ๑ เปน ๘ ยอดด้วยกัน ครั้นได้ขวบ ๑ แม่ทรางที่กระหม่อมก็ลงมาขึ้นกลางหลังอิกยอด ๑ เปน ๗ ยอด ครั้นได้ขวบ ๑ กับ ๖ เดือน แม่ทรางที่กระหม่อมลงมาขึ้นกลางหลังอิกยอด ๑ เปน ๙ ยอดด้วยกัน จึ่งทำให้ลงให้อาเจียน ครั้นพร้อมกันแล้วจึ่งทรางนั้นขึ้นในนาภีพร้อมกันทั้ง ๘ ยอด แล้วจึ่งทำให้ลงเปนน้ำส่าเหล้าแลเปนน้ำคาวปลาน้ำไข่เหน้าน้ำล้างเนื้อแล้วให้ตกมูกตกโลหิตตกหนองก็ดี เมื่อทรางขึ้นในนาภีนั้นแล้วก็เลื่อนลงไปจับเอาหัวเหน่ายอด ๑ มีบริวารขึ้นด้วย ๑๐ ยอด แม่ทรางลงไปขึ้นกระเพาะน้ำยอด ๑ มีบริวารขึ้นด้วย ๑๐ ยอด แม่ทรางขึ้นไปขึ้นตาทั้งสองข้าง ๆ ละยอด มีบริวารขึ้นด้วย ๙ ยอด จึ่งมีบริวารขึ้นประจำฅอ ๑๐ ยอด แม่ทรางจึงขึ้นฅอข้างขวายอด ๑ มีบริวารไปขึ้นด้วยแม่นั้น ๖ ยอด บริวารจึงประจำลำฅอข้างซ้ายอยู่แต่ ๔ ยอด เมื่อแม่ทรางกระจายกันออกไปอยู่ดังนั้นแล้ว ไปขึ้นที่สำคัญต่างๆ จึ่งสำแดงโทษ แลบอกความตายแห่งกุมารกุมารีทั้งหลาย ด้วยแม่ทรางกับบริวารนั้นไปขึ้นสำคัญทุกแห่งจึ่งทำโทษให้เปนต่าง ๆ ในเมื่อกุมารกุมารีเกิดได้ ๙ เดือน ๑๐ เดือน ๑๑ เดือน ไปจนขวบ ๑ กับ ๒, ๓, ๔, ๕, ๖, เดือนก็ดี ด้วยแม่ทรางนั้นมาขึ้นจักษุทั้ง ๒ ข้าง จึงทำให้ตาฟางประมาณ ๑๕ วันก็ดี เดือนหนึ่งก็ดี จึ่งตั้งเปนเสมหะแล้วจึ่งไปขึ้นหางจักษุทั้ง ๒ ข้าง ดุจดังเยื่อไม้ลำดับกันเข้าไว้แล้วจึ่งตั้งลามเข้าไปถึงดวงจักษุจึ่งทำให้คัน ด้วยแม่ทรางกับบริวารนั้นก็ลามออกไป น้ำเลี้ยงแก้วจักษุนั้นก็แห้ง ถ้าแพทย์จะรักษาให้ยาจงดื ถ้ามิดีจักให้เสียจักษุข้าง ๑ บ้าง ๒ ข้างบ้าง อันว่าบริวารอันอยู่ในริมฅอทั้ง ๕ ยอดนั้นทำให้เจ็บฅอให้ไอให้อาเจียนน้ำเปล่า ขึ้นกระเพาะเข้าไม่อยากเข้า ขึ้นในกระเพาะน้ำให้อยากน้ำให้อยากของอันคาวอันหวานอันแสลงนัก แลมักกินปลามากกว่าเข้า ขึ้นในตับให้ตกมูกตกโลหิตแลให้อกรวบดังไก่ ขึ้นไส้อ่อนให้อุจารเขียวดังใบไม้ แล้วให้เปนเกล็ดดังเกล็ดงูเห่าทั่วทั้งตัว ขึ้นในไส้แก่ให้ลงเปนน้ำส่าเหล้า ขึ้นในนาภีแลสันหลังข้างนอกแลข้างในนั้นทำให้ลงท้อง แลให้เจ็บท้องให้แสบให้ร้อนหนัก ขึ้นในหัวเหน่ามักให้เปนบิดปวดมวนให้ซ่องออกมาแลให้คร้านน้ำให้ผอมเหลือง แลเมื่อใกล้จะตายนั้น ทรางขึ้นอยู่ในจักษุทั้ง ๒ แลหลังทั้งสองข้างนั้นก็เลื่อนลงมาจับเอาลำฅอทั้งสองข้าง โตเท่าผลพุดทราอ่อน จึ่งบรีวารซึ่งขึ้นอยู่ในจักษุนั้น ก็มาขึ้นให้ดาดไปทั้งลิ้นแลลิ้นไก่ แลให้ขอบปากดังยวงสำลี อันว่าลักษณะทรางขะโมยนี้กำหนดแต่ใน ๔, ๕, ๖, วัน ถ้าแก้มิฟัง ตายเปนเที่ยง ถ้าสุกเหลืองดังขมิ้นแล้วราบลงต้นลิ้นแล้วเมื่อใด อย่าให้แพทย์วางยาไปเลย ถ้าจะใคร่รู้ว่าขึ้นในลำฅอดังกล่าวมาฤๅหามิได้ ให้ฝนยาทานิ้วมือล้วงฅอดู ถ้าแลขึ้นดังนี้แล้วตายดุจกันเปนเที่ยง ถ้าจะแก้เอายาขนานนี้แก้ก่อนตามลำดับเถิด

ยาแก้ทรางขะโมย ขนานนี้ท่านให้เอา อัฆนีชวา ๑ ผลราชดัด ๑ ผลประคำดีควาย ๑ ผลจันทน์ ๑ เมล็ดในมะนาว ๑ ฝิ่น ๑ ดีงูเหลือม ๑ รวมยา ๗ สิ่งนี้เอาเสมอภาค ทำเปนจุณบดทำแท่งไว้เอาทองคำปิดหัวปิดท้าย ละลายน้ำสุรากินแก้พิศม์ภายใน ถ้าสลบไปวันหนึ่งยังค่ำก็ดี ถ้าได้กินยานี้ฟื้นขึ้นมาแล แก้พิศม์ทรางขะโมยทรางแดงทรางทั้งปวง

ยาชื่อเหลืองหรดาน ขนานนี้ ท่านให้เอา หรดานทอง ๑ บาท รงทองปิ้งให้สุก ๑ เฟื้อง ผลจันทน์ ๑ เฟื้อง ขมิ้นอ้อย ๑ เฟื้อง พิมเสน ๑ เฟื้องสองไพ รวมยา ๕ สิ่งนี้ทำเปนจุณ บดทำแท่งไว้ละลายสุรากิน แก้ทรางเหลืองทรางทั้งปวงหาย

ยาชื่อขาวกะบัง ขนานนี้ท่านให้เอา กะบัง ๑ บาท เบี้ยผู้เผา ๑ สลึง จันทน์ขาว ๑ สลึง พิมเสนสองไพ ผลจัน ๑ เฟื้อง ดอกจันทน์ ๑ เฟื้อง รวมยา ๖ สิ่งนี้บดด้วยสุรา ทำแท่งไว้แก้ทรางขาวแลทรางทั้งปวงหาย

ยาชื่อเขียวขี้ทอง ขนานนี้ ท่านให้เอาเขียวขี้ทอง ๑ บาท ผลจันทน์ ๑ เฟื้อง ดอกจันทน์ ๑ เฟื้อง กระวาน ๑ เฟื้อง กานพลู ๑ เฟื้อง การบูร ๑ เฟื้อง โหราเดือยไก่ ๑ เฟื้อง รวมยา ๗ สิ่งนี้บดด้วยสุราแก้ทรางเขียวแลทรางทั้งปวงหาย

ยาชื่อดำหมึก ขนานนี้ท่านให้เอา หมึกหอม ๑ บาท ผลจันทน์ ๑ เฟื้อง เทียนทั้ง ๕ สิ่งละ ๑ เฟื้อง โหราเดือยไก่ ๑ เฟื้อง รวมยา ๘ สิ่งนี้บดทำแท่งไว้ละลายสุรา แก้ทรางดำแลทรางทั้งปวงหาย

ยาชื่อยาแดง ขนานนี้ท่านให้เอา กำมะถันแดง ๒ สลึง พิมเสน ๑ เฟื้อง กฤษณา ๑ เฟื้อง โกฐทั้ง ๕ สิ่งละ ๑ เฟื้อง เทียนทั้ง ๕ สิ่งละ ๑ เฟื้อง ดอกจันทน์ ๑ เฟื้อง รากไคร้เครือ ๑ สลึง ชะเอมเทศ ๑ เฟื้อง ชาตก้อน ๑ เฟื้อง กำยาน ๑ เฟื้อง โลดทนง ๑ เฟื้อง สีเสียดเทศ ๑ เฟื้อง สานส้ม ๑ เฟื้อง กรักขี ๑ เฟื้อง สมอเทศ ๑ เฟื้อง ว่านร่อนทอง ๑ เฟื้อง เนรภูสี ๑ เฟื้อง ระงับใหญ่ ๑ เฟื้อง การบูร ๒ ไพ รวมยา ๒๗ สิ่งนี้ทำให้เปนจุณบดด้วยสุรา แก้ทรางยอดแดงแลทรางทั้งปวงหาย

ยาห้าขนานนี้คือ ยาเหลือง ยาขาว ยาเขียว ยาดำ ยาแดง นั้น ให้แพทย์พิจารณาให้แม่นแท้แน่กระหนักแล้ว เมื่อใดโรคอันมาเกิดนั้น ควรกับยาที่จะแก้นั้นแล้วจึ่งให้แก้ ด้วยยา ๕ ขนานนี้ต่างๆ กัน ดุจกล่าวมาแต่หลังนั้น ถ้าจะแก้ละอองเพลิง ท่านให้เอายาดำยาแดง ๒ ขนานนี้แก้ แต่ละลายด้วยน้ำกฤษณาทั้งกินทั้งกวาดดีนัก

(จบลักษณะทรางขะโมยแต่เท่านี้)

----------------------------

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ