- คำนำ
- บานแพนก
- ฉันทศาสตร์
- ว่าด้วยทับ ๘ ประการ
- ว่าด้วยคำภีร์ตักกะสิลา
- ว่าด้วยกำเนิดไข้, ด้วยที่อยู่, ฤดู, อาหาร, แลธาตุ
- ว่าด้วยลักษณะน้ำนมดีแลชั่ว
- ว่าด้วยลักษณะอาการไข้ที่เข้าเพศเปนโทษ ๔ อย่าง
- ว่าด้วยกำเนิดแห่งไข้ (โรค) ต่าง ๆ
- ว่าด้วยชีพจร ให้ระวังในการระบายยา
- ว่าด้วยลักษณะธาตุ
- ว่าด้วยป่วง ๘ ประการ
- ตำรายาแก้สันนิบาต สองคลอง และอะหิวาตะกะโรค
- ว่าด้วยสมุฏฐาน
- ว่าด้วยอติสาร
- ว่าด้วยมรณะญาณสูตร์
- ว่าด้วยโรคไภยต่าง ๆ แห่งกุมาร
- พระคัมภีร์ประฐมจินดา
- ว่าด้วยลักษณครรภ (ผูก ๑ บริเฉท ๑)
- คำภีร์ครรภรักษา ลักษณะครรภวารกำเนิด (ผูก ๑ บริเฉท ๒)
- ครรภ์วิปลาศ ครรภ์ปริมณฑล ครรภ์ประสูตร
- ว่าด้วยลักษณกุมาร กุมารออกจากครรภ์ ฝังรกแห่งกุมาร กุมารอยู่ในเรือนเพลิง (ผูก ๑ บริเฉท ๓)
- ว่าด้วยสังโยชน์ลักษณ์สัตรีดีแลชั่ว แลรศน้ำนมดีแลชั่ว (ผูก ๑ บริเฉท ๔)
- ว่าด้วยลักษณะรูปสัตรีแลรูปกุมาร (ผูก ๒ บริเฉท ๑)
- ว่าด้วยลักษณะปักษี แลปิศาจกระทำโทษ ลักษณะน้ำนมมีโทษ ๓ ประการ
- ว่าด้วยลักษณะทราง
- กำเนิดทรางทั้งปวง
- อาการไข้อันบังเกิดแห่งกุมารกุมารีทั้งหลาย
- ว่าด้วยกุมารเกิดวันอาทิตย์ (ผูก ๓ บริเฉท ๑)
- ว่าด้วยกุมารเกิดวันจันทร์ (ผูก ๓ บริเฉท ๒)
- ว่าด้วยกุมารเกิดวันอังคาร (ผูก ๓ บริเฉท ๓)
- ว่าด้วยกุมารเกิดวันพุฒ (ผูก ๓ บริเฉท ๔)
- ว่าด้วยกุมารเกิดวันพฤหัศบดี (ผูก ๓ บริเฉท ๕)
- ว่าด้วยกุมารเกิดวันศุกร์ (ผูก ๓ บริเฉท ๖)
- ว่าด้วยกุมารเกิดวันเสาร์ (ผูก ๓ บริเฉท ๗)
- คัมภีร์เตร็จซึ่งคัดมาจากคัมภีร์อภัยสันตา ว่าด้วยทรางต่างๆ (ผูก ๔)
- ลักษณะกำหนดทรางแลทรางจร กำลังไข้ กิมิชาติแลตานโจร (ผูก ๕)
- ตานโจรเกิดด้วยธาตุทั้ง ๔ ตานโจรอันเกิดเพื่ออะติสาร (ผูก ๖)
- ตานโจรเกิดเพื่ออติสาร แลว่าด้วยกาฬต่าง ๆ
- ว่าด้วยอุจจาระปัสสาวะแห่งกุมารแลกุมารี แลลักษณะตานจร
- พระคัมภีร์ธาตุวิภังค์
- คัมภีร์สรรพคุณ (แลมหาพิกัด)
- สรรพคุณยาแก้ไข้ทรพิศม์
ว่าด้วยกุมารเกิดวันอาทิตย์
พระคัมภีร์ปฐมจินดาผูก ๓ บริเฉท ๑ ว่าด้วยกุมารเกิดวันอาทิตย์เปนลักษณแห่งทรางเพลิงเจ้าเรือนทรางกรายเปนทรางจร, หละชื่ออุไทยกาล ลอองชื่อเปลวไฟฟ้าโดยสังเขป
จะกล่าวบัดนี้ ชีวกะโกมารภัจก็เข้าสู่สำนักนิ์แห่งพระฤๅษีสิทธิผู้มีนามชื่อว่า “นาไลยดาบศ” ก็ไต้ถามซึ่งพยาธิทุกข์ มีประการต่างๆ พระนาไลยดาบศเมื่อวิสัชนาซึ่งพยาธิทุกข์นั้นกล่าวแล้วด้วยประการดังนี้ อันว่ากุมารกุมารีก็ดีเกิดมาแล้วก็จะเปนที่ตั้งแห่งพยาธิต่างๆ ทรางเกิดแก่กุมารกุมารีนั้นมีลักษณ ๓ ประการ ก็แจกออกเปน ๑๔ ประการด้วยประการดังนี้ อันว่าลักษณ ๓ ประการนั้นคือทรางกำเนิดจรแม่ซื้อเปน ๓ ประการดังนี้ ที่แจกออกเปน ๑๔ ประการนั้นคือว่าทรางเจ็ดวันเปนทรางกำเนิด ทรางจรแซกอีก ๗ จำพวกเข้ากันเปน ๑๔ จำพวกดังนี้ อันลักษณแม่ซื้อนั้นเล่าคือแม่ซื้อกำเนิด ๗ จำพวกแม่ซื้อจรอิก ๒๔ จำพวกเข้ากันเปน ๓๑ จำพวกด้วยกันดังนี้ ลักษณสะพั้นนั้นเล่าคือสะพั้นกำเนิดนั้น ๑๒ จำพวกสะพั้นจร ๗ จำพวกเข้ากันเปน ๑๙ จำพวกด้วยกันดังนี้แล ลักษณโรคาพยาธิจะบังเกิดแก่กุมารกุมารีทั้งหลายนั้นก็มีปรากฎอยู่ดุจดังกล่าวมานี้
อันว่าลักษณะกำเนิดทราง ซึ่งจะบังเกิดแก่กุมารกุมารีทั้งหลายนั้น ตั้งปฏิสนธิในครรภ์มารดาได้ ๓ เดือน ก็แตกออกเปนปัญจะสาขาแล้ว ทรางก็กระทำตั้งขึ้นด้วยยอด ๑ ตามลักษณะทรางกำเนิด ๗ วันนั้น ถ้าว่าตั้งข้างขึ้นตั้งเหนือสดือ ถ้าตั้งข้างแรมตั้งใต้สดือ ถ้าเปนหญิงตั้งข้างซ้าย ถ้าเปนชายตั้งข้างขวา จึ่งบังเกิดติดต่อกันมาจนกำหนดคลอด ถ้าจะตั้งทรางอันในก็พึงให้พิเคราะห์ดู เภทอาการแห่งมารดาซึ่งว่ามาแต่หลังนั้นเถิด
ลำดับนี้พระอาจาริย์เจ้า จะกล่าวในลักษณะกำเหนิดทราง ๗ วันอันจะมาบังเกิดแก่กุมารกุมารีทั้งหลายนั้น ให้แพทย์พิเคราะห์ดูสำคัญประเภทแลอาการให้รู้แจ้ง ดุจไนยอันกล่าวไปข้างน่านั้นเถิด
บัดนี้จะกล่าวด้วยลักษณะกุมารกุมารีเกิดวันอาทิตย์ กำเนิดแห่งทรางเพลิงเปนเจ้าเรือนแห่งกุมารผู้นั้นก่อนเปนอาธิ (ลักษณทรางเพลิงนี้มีแจ้งอยู่ในน่า ๑๗๗ แห่งเล่มนี้แล้วแต่ต้นฉบับกล่าวซ้ำกันแลถ้อยคำต่างกันบ้างจึ่งได้คัดมาพิมพ์ไว้อีก แล้วแต่ผู้ศึกษาจะเลือกกำหนดเอาเถิด) อันว่าลักษณะทรางเพลิงนั้น มีแม่ ๔ ยอด มีบริวาร ๔๐ ยอด เมื่อคลอดจากครรภ์มารดานั้น เขม่าขึ้นแต่ในเรือนเพลิง ครั้นได้ ๗ วันแล้วก็หายไป ด้วยแม่ทรางเพลิงจะมาบังเกิด ในฝ่าเท้าแห่งกุมารผู้นั้น ถ้าเปนชายแม่ทรางเพลิงขึ้นฝ่าเท้าขวา ๓ ยอดซ้าย ๑ ยอด ถ้าเปนหญิงแม่ทรางเพลิงขึ้นฝ่าเท้าซ้าย ๓ ยอดขวา ๑ ยอด แลบริวาร ๔๐ ยอดนั้นก็มาขึ้นหน้าแข้ง อยู่ข้างละ ๔๐ ยอด (น่าจะเปนข้างละ ๒๐ ยอด) ครั้นออกจากเรือนเพลิงได้ ๓ เดือนแล้ว แม่ทรางที่ฝ่าเท้าก็เลื่อนขึ้นมาตั้งอยู่นาภียอด ๑ เมื่อได้ ๔ เดือนจึงกระทำให้หลังเท้าฟกขึ้นสักหน่อย ให้เมื่อยข้อเท้ากินเข้าให้ระคายฅอให้นอนนานตื่น ครั้นได้ ๖ เดือนแม่ทรางจึ่งขึ้นอิกยอดหนึ่งเปนสองยอดเข้ากันจึงเปนเม็ดพรึงขึ้นมาข้างนอกเนื้อ สีดุจผลหว้าห่ามอยู่ไปได้หกเจ็ดแปดเก้าสิบวันแล้วก็ดาดจมหายไป ครั้นได้ ๘ เดือนแม่ทรางขึ้นมาในนาภีอีกยอดหนึ่ง บรรจบกันเข้าเปนสามยอดบริวารขึ้นอยู่ที่ข้อเข่าตลอดถึงข้อเท้า ครั้นได้ ๙ เดือนแม่ทรางก็เลื่อนขึ้นมานาภีอีกยอดหนึ่งเปน ๔ ยอดด้วยกัน จึ่งบริวาร ๔๐ ยอดนั้นก็กระจายกันออกไป ขึ้นกลางแข้งขาแลหัวเข่าบ้าง จึ่งตั้งยอดแดงดังผลมะไฟแล้วก็ดำด้านลง ขอบแดงออกไปดุจดังเพลิงไหม้ แลหนังนั้นก็พองเลื่อนเข้าหากัน ด้วยว่าสุกออกพร้อมกัน แล้วก็กระทำให้ปวดแต่เท้าตลอดถึงลำแข้ง ขา ตะโพก บั้นเอวก็ดี ถ้าแลแพทย์เห็นดังนี้แล้ว อย่าให้รักษาเลย ด้วยแม่ทราง ๔ ยอดในนาภีนั้นเปื่อยออกดังหัวบุก แล้วก็เปื่อยออกมาลามลงถึงหัวเหน่าแลปากทวารหนักแลกระเพาะอาจม แล้วก็ลามขึ้นมาถึงตับปอดแลไส้ใหญ่น้อยแล้วก็ลามไปรอบนาภี แล้วจึ่งกระทำให้ตกมูกเลือดหนอง แล้วให้ลงเปนน้ำส่าเหล้า, น้ำล้างเนื้อ, ไข่เหน้า, คาวปลา, ก็ดี ด้วยแม่ทรางนั้นข้ามมาตามไส้แก่อ่อนแล้ว เข้าจับหัวตับปอดใจจึ่งสำแดงออกมาตามทวาร จึ่งบริวารนั้นกระทำให้เจ็บแสบร้อนนักดุจไฟไหม้อันมีพิศม์ เมื่อจะสำแดงความตายนั้นให้ฝ่ามือเท้าแดงดังหยาดโลหิต อันว่าลักษณะทรางเพลิงแลเมื่อกำเหนิดพร้อมกันดังนั้นแล้วเมื่อใด ท่านกำหนดไว้แต่ในแปด, เก้า, สิบ, สิบเอ็จ, วัน กุมารผู้นั้นจะถึงแก่มรณะเปนอันเที่ยง อันว่าลักษณะทรางเพลิงนั้น ถึงว่าร้ายก็จริงอยู่ แต่ว่าทรางนั้นขึ้นทีละยอด ถ้าแลทรางขึ้นที่ใดก็กระทำให้กุมารเจ็บที่นั้น ถ้าแพทย์ประกอบยาชอบที่เข้า ทรางนั้นก็เลือนหายไป อันลักษณะทรางเพลิงนี้กำหนดร้ายอยู่แต่ใน ๙ เดือน ถ้าพ้น ๙ เดือนไปแล้วจนถึงอายุได้ ๑๘ เดือนจะทำอิกครั้ง ๑ จะทำให้ลงท้องคือทรางยอดเอกที่เกิดยอด ๑ แต่ยังอยู่ในครรภ์มารดานั้นจะมาประจำที่ต้นลิ้นได้ชื่อว่าปฐมกัลป์ จะให้ลิ้นไก่นั้นพองขึ้นแล้วจะทำให้ไอเปนทีหลัง ถ้าแลใส่ยาชอบจะถอยลงจับเอาขอบตาจะพาให้ตับหย่อน ถ้ากินถึงชายตับจะให้ตับพองขึ้นคับชายโครง ถ้าเปนดังนี้ยากนัก อนึ่งถึงพ้นกำหนดที่คาดแล้วก็ดี ให้เกรงทรางจรจะมาแซก อันว่าลักษณะทรางจรนั้นที่ตายก็มีดุจเดียวกัน ถ้าจะแก้ให้เอายาขนานนี้แก้ก่อน
ยาแก้ทรางเพลิง ขนานนี้ ท่านให้เอาว่านกีบแรด ๑ ว่านร่อนทอง ๑ เนระภูสี ๑ เทียนดำ ๑ เทียนแดง ๑ ชะเอมทั้งสอง ใบมะกล่ำเครือ ๑ รวมยา ๗ สิ่งนี้เอาเสมอภาคต้ม ๓ เอา ๑ กินแก้ตัวร้อนแก้ตานทรางทั้งปวง ถ้าจะบดทำแท่งไว้ก็ได้ ละลายสุรากินแก้ตกมูกเลือดหายดีนัก
ยาแก้ทรางเพลิงขนานนี้ ท่านให้เอาหญ้าเกล็ดหอย ๑ ใบสันพร้าหอม ๑ ใบพุงดอ ๑ เชือกเขาไฟ ๑ รวมยา ๔ สิ่งนี้เอา เสมอภาคทำเปนจุณ เอาน้ำผลประคำดีควายต้มเปนกระสาย บดทำแท่งไว้ละลายน้ำท่ากิน แซกดีงูเหลือมทั้งกิน, ทาหายดีนัก
ถ้ามิฟังขนานนี้ท่านให้เอา ลิ้นทะเล ๑ ฆ้องสามย่าน ๑ ขมิ้นอ้อย ๑ เข้าสารข้างครก ๑ รวมยา ๔ สิ่งนี้เอาเสมอภาคบดชะโลมแก้พิศม์ทรางเพลิงหายดีนัก
ถ้ามิฟังขนานนี้ท่านให้เอาใบน้ำเต้า ๑ ใบระงับพิศม์ ๑ ใบกทุงหมาบ้า ๑ ใบสวาด ๑ ใบกะเพรา ๑ ใบเสนียด ๑ ใบมะเฟือง ๑ ผลกราย ๑ ผลพิลังกาสา ๑ ผลจันทน์ ๑ ดอกจันทน์ ๑ กระวาน ๑ กานพลู ๑ เทียนแดง ๑ น้ำประสานทอง ๑ รวมยา ๑๔ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเปนจุณ บดทำแท่งไว้ละลายน้ำท่า แซกน้ำประสานทองกินแก้สรรพพิศม์ทั้งปวงดีนัก
จบลักษณทรางเพลิงแต่เท่านี้
----------------------------
สิทธิการิยะ ทีนี้จะกล่าวด้วยลักษณทรางกรายซึ่งเปนทรางจรจะมาแซกทรางเพลิงเจ้าเรือน กับทั้งลักษณหละอันชื่อว่าหละอุไทยกาลประจำวัน ลอองพระบาทอันชื่อว่าละอองเปลวไฟฟ้านั้น อันว่าประเภทหละอุไทยกาลนั้น แจ้งอยู่ในบริเฉท ๓ ลักษณทรางแดงนั้นแล้ว ประเภทลอองเปลวไฟฟ้านั้น ก็แจ้งอยู่ในลักษณทรางโจรบริเฉท ๗ โน้นแล้ว แต่ลักษณทรางเพลิงบริเฉท ๑ บัดนี้จะกล่าวแต่ลักษณทรางกรายซึ่งเปนทรางจรนั้นต่อไป ในเมื่อทรางจรแลหละลอองทั้ง ๓ ประการนี้ เมื่อจะบังเกิดขึ้นแซกทรางเพลิงเจ้าเรือนนั้น บางทีต่อสิ้นกำหนดทรางเพลิงเจ้าเรือน แลทรางจรแลหละลอองจึ่งทำต่อไปจนกำหนดอายุได้ ๑๒ ปี บางทียังมิสิ้นกำหนดทรางเพลิงเจ้าเรือนแลทรางจรแลหละลอองก็ดี ให้แพทย์พึงรู้ดุจดังมีไปข้างน่านั้น
อันลักษณทรางกรายเปนทรางจรมาแซกทรางประจำ คือทรางเพลิงกำเนิดวันอาทิตย์นั้นว่า เมื่อมารดามีครรภ์ได้แปด เก้า สิบเดือน กุมารนั้นจึ่งคลอดจากครรภ์มารดา แลกุมารผู้นั้นเลี้ยงง่าย เมื่ออยู่ในเรือนเพลิงเขม่าแต่ควรบังเกิด ครั้นได้เก้าวันสิบวันก็จะจมหายไป ครั้นได้ ๑๔, ๑๕, วันจึ่งตั้งทรางเพลิงเจ้าเรือนนั้นก่อน เมื่อสิ้นกำหนดทรางเพลิงเจ้าเรือนแล้ว ทรางกรายจึ่งผุดขึ้นมาจากกระดูกสันหลังจึ่งตั้งทราง
อันว่าลักษณทรางกรายนั้นมีแม่ ๔ ยอดขึ้นอยู่หัวเหน่า ๒ ยอด ขึ้นอยู่ในนาภี ๒ ยอดมีบริวาร ๔๐ ยอด ครั้นอายุได้ขวบหนึ่งกับ ๖ เดือน จึ่งทรางบริวารนั้นก็กระจายออกมานอกเนื้อเปนดุจยอดผดแล้วจึ่งทำให้กุมารผู้นั้นบิดตัวนอนสดุ้งอยู่ประมาณ ๓ วัน แล้วก็จมลงไปขึ้นจับในลำไส้แก่ ครั้นได้ ๓ เดือนแม่ทรางที่ขึ้นอยู่ในหัวเหน่านั้น ก็เลื่อนขึ้นมาตั้งในนาภีอิกยอด ๑ เปน ๓ ยอดด้วยกันทั้งเก่า ครั้นเมื่ออายุได้ ๘ เดือน แม่ทรางที่ตั้งขึ้นอยู่ในหัวเหน่านั้น ก็เลื่อนขึ้นมาตั้งในนาภีอีกยอด ๑ เปน ๔ ยอดด้วยกันทั้งเก่านั้น ในเมื่อแม่ทรางทั้ง ๔ ยอด ขึ้นมาประชุมพร้อมกันในนาภีแล้วเมื่อใดก็ทำให้ตัวร้อนให้ลงให้กินให้ระหายน้ำให้กินเข้านมมิได้ ครั้นอายุกุมารได้ขวบ ๑ กับ เจ็ด แปด เดือน จึ่งบริวาร ๔๐ ยอดนั้นก็แบ่งกันมาขึ้นประจำอยู่หัวเหน่า ๑๐ ยอด ขึ้นประจำอยู่นาภี ๑๐ ยอด ขึ้นประจำกะเพาะเข้า ๑๐ ยอด ขึ้นประจำอยู่ลิ้น ๑๐ ยอด เปน ๔๐ ยอดด้วยกันดังนี้ ถ้าแพทย์ผู้ใดแก้มิฟังวางยามิถอยแลยานั้นมิชอบแก่โรคๆ นั้น ครั้นอายุได้ ๒ ขวบกับ ๓ เดือน จึ่งทำให้ตกมูกเลือดแล้วให้แปรเปนไปต่างๆ ถ้าแพทย์จะรักษาให้พิจารณาดูทรางจรนี้ให้แม่นแท้ ถ้าแลสิ้นกำหนดทรางเพลิงเจ้าเรือนแล้วรู้มิถึงก็จะว่าทรางอันอื่นแซกนั้นหามิได้เลย คือทรางกรายนี้เองจรแซกสำหรับทรางเพลิงนั้นอันเกิดขึ้นในกระดูกสันหลังแต่ยังอยู่ในครรภ์มารดานั้น ให้แพทย์พึงสัญญารู้โดยสังเขปดังนี้
ยาแก้ทรางเพลิงเจ้าเรือน ทรางกรายเปนทรางจรขนานนี้ท่านให้เอารากรางแดง ๑ รากรางดำ ๑ เปลือกสมอพิเภก ๑ รากผักหวาน ๑ รากถั่วภู ๑ เปลือกประคำไก่ ๑ เปลือกมะม่วงคัน ๑ ผลมะแว้งทั้งสอง เปลือกมะเดื่อ ๑ เปลือกแคแดง ๑ รวมยา ๑๑ สิ่งนี้เอาน้ำสิ่งละจอก จึงเอาน้ำใส่ลงพอสมควรหุงให้คงแต่น้ำมันแล้วจึ่งปรุงผลจันทน์ ๑ ดอกจันทน์ ๑ เทียนดำ ๑ เทียนขาว ๑ ฟองไก่ ๓ ฟองเอาแต่ฟองแดงรวมยา ๕ สิ่งนี้ปรุงลงในน้ำมัน ให้กินตามกำลัง แก้ทรางเพลิงเจ้าเรือนทรางกรายเปนทรางจรหายวิเศษนัก
ยาแก้ลงทรางเพลิงทรางกราย ขนานนี้ท่านให้เอารากก้างปลาแดง ๑ รากเล็บมือนาง ๑ รากชุมเห็ดเทศ ๑ รากชุมเห็ดไทย ๑ รากสลอดน้ำ ๑ รากตาลดำ ๑ รากตาลหม่อน ๑ เปลือกมะเดื่อ ๑ เปลือกแทงทวย ๑ เปลือกพุดทรา ๑ เปลือกกะทุ่มขี้หมู ๑ จันทน์ทั้งสอง ใบประคำไก่ ๑ ใบชิงช้าชาลี ๑ ขมิ้นอ้อย ๑ รวมยา ๑๖ สิ่งนี้เอาเสมอภาคทำเปนจุณบดทำแท่งไว้ละลายน้ำท่ากินแก้ทรางเพลิง ทรางกรายทรางจรแลทรางอันกระทำให้ลงท้องนัก ถ้ากินยาอันใดมิหยุดให้กินยาขนานนี้หยุดสิ้นเปนมหาวิเศษนัก
พระอาจารีย์เจ้าท่านกล่าวไว้ว่า อย่าให้เสียยาอันชื่อว่าเบ็ญจตาล ให้แก้ด้วยเบ็ญจตาลด้วยเถิด
พระอาจาริย์กล่าวมาในลักษณะเกิดมาในวันอาทิตย์ เปนกำเนิดแห่งทรางเพลิงเจ้าเรือนกระทำโทษ กำเนิดทรางกรายเปนทรางจรมาแซก กระทำโทษประจำทรางเพลิงเจ้าเรือน กำเนิดหละอันชื่อว่าหละอุไทยกาล กระทำโทษประจำทรางเพลิง กำเนิดละอองอันชื่อว่าละอองเปลวไฟฟ้า กระทำโทษประจำทรางเพลิง จบบริบูรณ์ตามลักษณโดยสังเขปดังนี้
----------------------------