กีษกินธากัณฑ์

ที่ ๔ - กีษกินธากัณฑ์ เรียกตามนามนครกีษกินธ์ (ซึ่งในรามเกียรติ์ของเราเรียกว่า “ขีดขินธ์”) จับแต่สองกษัตร์ไปถึงเขาฤษยมุกใกล้เขามลัยที่อยู่พญาสุครีพ ฝ่ายสุครีพเห็นสองกษัตร์สำคัญว่าพญาพาลีใช้ไปฆ่าตน จึ่งเรียกหนุมานและพวกบริวารเตรียมอยู่พร้อมกันเพื่อต่อสู้ แล้วสุครีพจึ่งใช้ให้หนุมานไปเฝ้าพระรามถามเหตุการณดูก่อน หนุมานเปนทูตไปแสดงไมตรีต่อพระราม ทั้งสองฝ่ายเล่าเรื่องราวสู่กันฟัง แล้วหนุมานก็ทูลลาไปรับสุครีพที่เขามลัย สุครีพไปเฝ้าที่เขาฤษยมุก พระรามกับสุครีพก็กระทำสัตย์สัญญาต่อหน้าไฟ เปนสัมพันธมิตรต่อกันจะช่วยกันและกันให้สมปราถนา คือพระรามรับจะสังหารพญาพาลี และสุครีพรับจะค้นหานางสีดาและช่วยสังหารทศกรรฐ เมื่อทำสัญญากันเสร็จแล้วสุครีพจึ่งเล่าเรื่องที่ตนถูกเนรเทศ ใจความว่าคืนหนึ่ง อสูรชื่อมายาวี ลูกทุนทุพี (ซึ่งเราเรียก “ทรพี”) ได้มาร้องท้าทายพญาพาลี พญาพาลีนอนหลับอยู่ก็ตื่นขึ้น ลุกออกไปรบ สุครีพตามออกไป มายาวีเห็นมาด้วยกันสองตน มีความกลัว จึ่งหนีไปอยู่ในถ้ำ พาลีสั่งสุครีพให้คอยอยู่ที่ปากถ้ำ แล้วก็ตามมายาวีเข้าไป สุครีพคอยอยู่ถึงปี ๑ จนเห็นเลือดไหลออกมาจากปากถ้ำ และได้ยินแต่เสียงอสูร ไม่ได้ยินเสียงพาลี ก็สำคัญว่าพาลีตายแล้ว จึ่งเอาสิลาปิดปากถ้ำเสียแล้วกลับไปเมืองกีษกินธ์ พวกเสนาพฤฒามาตย์ก็อัญเชิญสุครีพขึ้นทรงราชย์แทนพาลีต่อไป แต่ไม่ช้าพาลีก็กลับไปยังกีษกินธ์ หาว่าสุครีพกับอำมาตย์คบคิดกันเปนขบถ จึ่งฆ่าพวกอำมาตย์เสีย ส่วนสุครีพนั้นพาลีให้ริบราชบาทว์และเนรเทศจากกีษกินธ์ นางรูมาผู้เปนมเหษีสุครีพพาลีก็เอาไปเปนมเหษีเสียเอง พระรามได้ฟังเรื่องก็พลอยแค้น จึ่งรับว่าจะฆ่าพาลี เพื่อลงโทษในการที่บังอาจผิดเมีย สุครีพทูลว่าพาลีนั้นมีฤทธิ์มาก แล้วจึ่งเล่าเรื่องอสูรทุนทุพี (“ทรพี”) ซึ่งมีรูปเปนควาย อิ่มเอิบกำเริบฤทธิ์เพราะมีกำลังมาก จึ่งไปท้าพระสมุทให้รบกัน พระสมุทบอกให้ไปท้าพระหิมพานคิริราช พระหิมพานบอกให้ไปท้าพญาพาลี ทุนทุพีก็ไปท้าพญาพาลี พญาพาลีก็ออกไปสู้กับทุนทุพี หักคอทุนทุพีได้แล้ว  จึ่งยกทรากศพขึ้นขว้างไป พะเอินตกลงในป่าอันเปนที่จงกรมของพระมตังคมุนี พระมหามุนีจึ่งแช่งให้ว่าถ้าแม้พาลีหรือผู้ใดที่รับใช้พาลีเข้ามาในเขตรป่านั้นขอให้กลายเปนหินไปทันที [เรื่องพาลีปราบมายาวีกับปราบทุนทุพีนี้ ของเราจับรวมกันเข้าเปนเรื่องเดียวกัน เห็นจะเปนเพราะเรื่องราวคล้ายๆ กัน มีไปท้าทายน่าปราสาทเหมือนกัน จึ่งเก็บไปปนกันเสีย] สุครีพเล่าเรื่องทุนทุพีแล้ว จึ่งขอให้พระรามลองกำลังให้ปรากฎ พระรามก็จับโครงกระดูกทุนทุพีซึ่งยังกองอยู่ในป่ามตังควัน (คือริมเขาฤษยมุกนั้นเอง) ขึ้นโยนไปสิบโยชน์ สุครีพก็ชมเชย แต่ยังขอให้แสดงอีก คือมีต้นรังอยู่ ๗ ต้น ซึ่งพาลีเคยแผลงศรทลุได้ ขอให้พระรามลองดูบ้าง พระรามแผลงศรทลุต้นรังนั้นได้ ๗ ต้น แล้วยังทลุเขาฤษยมุกไปอีกต่อ ๑ สุครีพก็ยินดีชมเชยยิ่งนัก จึ่งเชิญไปสังหารพาลีในวันนั้น พระรามรับคำแล้วก็ไปสังหารพาลี [ข้อความตรงกับในฉบับไทยทุกประการ ตลอดจนคำสอนน้องและทูลขอโทษพระราม มีผิดกันอยู่แต่ข้อที่นางดารานั้นไม่ใช่มเหษีสุครีพซึ่งพาลีแย่งไป นางดาราเปนลูกวานรชื่อสุเษนและเปนแม่องคทจริงๆ ด้วย] เมื่อพาลีตายแล้ว พระรามจึ่งให้จัดการราชาภิเษกสุครีพเปนราชาครองเมืองกีษกินธ์ และสุครีพก็ตั้งให้องคทเปนยุพราชสืบไป ฝ่ายพระรามและพระลักษมณ์จึ่งไปพักอยู่ในถ้ำที่เขาปรัศรวัน ซึ่งเปนยอด ๑ ในเทือกเขามลัยหรือมาลยวัน และเวลานั้นพะเอินถึงฤดูฝน ไม่เปนเวลาควรจะยกทัพ พระรามจึ่งมิได้เตือนสุครีพในข้อที่จะให้เที่ยวตามนางสีดาหรือรบทศกรรฐ จนสิ้นฤดูฝนแล้ว สุครีพมัวเมาหลงไหลในกามคุณารมณ์และความสมบูรณ หนุมานจึ่งเข้าไปเตือน สุครีพก็สั่งให้หนุมานจัดสั่งเกณฑ์พล ฝ่ายพระรามคอยๆ เห็นสุครีพเงียบหายไปจึ่งใช้พระลักษมณ์เข้าไปเตือน พระลักษมณ์เข้าไปพูดจาว่ากล่าวอย่างแรงๆ จนนางดารา ซึ่งบัดนี้ได้เปนมเหษีสุครีพด้วยแล้วนั้น ต้องช่วยแก้ไขไกล่เกลี่ย พระลักษมณ์กับสุครีพก็พากันออกไปเฝ้าพระราม แล้วสุครีพก็เรียกบรรดาวานรมาชุมนุมพร้อมกัน รวมพลได้หลายโกฏิ สุครีพจึ่งจัดแบ่งปันน่าที่ให้แยกย้ายกันไป ให้วานรชื่อวินัตคุมพลไปค้นทางทิศบุรพา ใช้ให้องคทคุมพลไปค้นทางทิศทักษิณ ในกองทัพทักษิณนี้จัดพญาวานรและหัวน่าไปคือ หนุมาน ชมพูพาน นีละ (คือที่เราเรียก “นิลนนท์”) สุโหตร สะรารี สะระคุลมะคัย คะวากษยะ คะวัย สุเษน พฤษภ เมนทะ ทวีวิท คันธมาทน์ อุลกามุข และอนังคะ [ใน ๑๓ ตนนี้ ที่พอเดาเทียบได้อย่างใกล้แต่ “สุเษน” คือ “สุรเสน” นอกนั้นถ้าจะเทียบจะต้องตรวจดูกำเหนิด ซึ่งในเวลานี้ข้าพเจ้ายังไม่มีเวลาจะทำได้ ชื่อวานรในรามเกียรติ์ของเรากับในฉบับสังสกฤตช่างผิดกันไกลจริงๆ จนเหลือที่จะเดาไปได้] ใช้ให้สุเษนผู้เปนพ่อนางดาราคุมพลไปค้นทางทิศประจิม [ในกองทัพขององคทก็มีชื่อสุเษนอยู่ว่าไปด้วย บางทีผู้แต่งจะเผลอไปก็เปนได้ หรือมิฉนั้นก็จะเปนคนละตัวแต่ชื่อพ้องกัน] ใช้ให้สัตพล (ของเราเรียก “สัตพลี”) คุมพลไปค้นทางทิศอุดร แล้วจับกล่าวต่อไปถึงกองทัพทักษิณ ซึ่งองคทคุมไปกับหนุมานและตาระ [ตาระนี้พึ่งจะมากล่าวถึง เดิมก็ไม่มี ทีจะรู้สึกว่าเอาชื่อสุเษนไปใส่ไว้ผิด จึ่งเปลี่ยนเปนตาระ] เที่ยวค้นตามเทือกเขาวินธัย พบอสูรตน ๑ (คือปักหลั่นของเรา) ซึ่งองคทชกเอารากเลือดตาย แล้วเดินต่อไปเข้าป่าสัปตบรรณ เข้าถ้ำทุกถ้ำ จนไปถึงตำบลชื่อพฤกษวิลเปนสวนของทานพอยู่ในหว่างเขา เปนที่เข้าถึงยาก มีสวนอันงดงาม มีปราสาทราชฐาน พบนางคน ๑ จึ่งถาม ได้ความว่าอสูรชื่อมัย (ของเราเรียก “มายัน”) ได้นฤมิตรขึ้นไว้เปนสถานที่อยู่ ภายหลังมัยได้บังอาจรักกับนางเทพอับศรชื่อเหมา (ของเราเรียก “บุษมาลี”) พระอินทรกริ้วสังหารมยาสูรเสีย พระพรหมาจึ่งประทานรมณียสถานนี้แก่นางเหมา ตัวนางผู้เล่าเรื่องนั้นเองชื่อสยัมประภา [ซึ่งรามเกียรติ์ของเราไม่มีตัว และเรื่องราว “บุษมาลี” เล่าให้หนุมานเอง] นางนั้นเปนผู้เฝ้าสถานที่นั้น ถามถึงกิจการของหนุมาน หนุมานก็เล่าความให้นางฟัง นางตอบว่าผู้ใดที่ได้เข้าไปถึงในเมืองมายานี้แล้ว ยากที่จะกลับออกไปได้ (อย่างเมืองลับแลที่เล่ากัน) แต่นางเต็มใจช่วยนำพวกวานรออกจากที่นั้นได้ ไปถึงฝั่งมหาสมุท แต่ก็มิรู้ที่จะไปแห่งใดต่อไป เวลาที่กำหนดก็จวนครบอยู่แล้ว พะเอินพญานกสัมปาตี (ที่เราเรียกว่า “สัมพาที”) พี่ชายพญาชดายุได้โผล่ออกมาจากถ้ำ บอกข่าวนางสีดาและชี้ทางลงกาให้ องคทจึ่งถามพวกวานรว่าใครจะรับอาสาไปลงกา ต่างตนก็ต่างรับอาสาและอวดอิทธิฤทธิ์ของตน ในที่สุดจึ่งตกลงเปนหนุมานไป หนุมานก็ขึ้นไปสู่ยอดเขามเหนทรคีรีสำแดงอิทธิฤทธิ์ถีบทยานจากยอดเขา เหาะข้ามมหาสมุทไป

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ