๏ เมื่อจวนรุ่งสดุ้งคว้าหาผ้าห่ม |
เสียงฝนพรมหนาววู่มาหมู่ใหญ่ |
ไม่รู้ตัวรู้ตนจนตกใจ |
ผ้าผืนใหญ่ยังไม่วายหายเหน็บชา |
ตื่นขึ้นมาเห็นเวลายังไม่สาย |
นอนสบายหลายพักนานนักหนา |
นึกสงไสยไปดูนาฬิกา |
ห้าโมงกว่าเกือบครึ่งมืดถึงดี |
เข้าไปมองดูปรอทที่ยอดเข็ม |
เมื่อหนาวเต็มที่ตกหกสิบสี่ |
ตกยามบ่ายรายร้อนในตอนนี้ |
เจ็ดสิบสี่ติดเข็มอยู่เต็มวัน |
ไม่เห็นดวงสุริยนเลยจนค่ำ |
ดูฟ้าคล้ำมนท์มัวทั่วเขตรขัณฑ์ |
จะขอร่ำบรรยายเรื่องรายวัน |
แต่วานนั้นขัดขวางยังค้างมา |
เมื่อวันแรกวอข้างในไปถึงเขา |
จึงได้เค้าข้อความตามที่ว่า |
แต่ทางนั้นฉันเห็นเองแก่ตา |
มีหน้าท่าโรงมุงจากรุงรัง |
เปนตลาดราษฎรปลูกซ้อนซับ |
ตามจะจับทำรายตามชายฝั่ง |
จนไม่มีช่องว่างทางขึ้นวัง |
ที่คิดตั้งโรงกระเบื้องเปนเรื่องร้าง |
ทั้งตลาดตึกแถวไม่แล้วหลาย |
คนเช่าขายของเปนที่ก็มีบ้าง |
มีทั้งโรงกงสีเปนที่ทาง |
แต่ทิ้งว่างไม่ได้เช่าเปล่าทั้งนั้น |
ที่ถนนป่นไปไม่เรียบราบ |
ด้วยน้ำอาบเซาะรากกำแพงกั้น |
แล้วบ่าล้นขึ้นถนนหล่มลึกครัน |
เขาแบ่งปันซอมใหม่ไว้ซีกเดียว |
พอเปนทางรถม้าไปมาได้ |
อิกกึ่งไว้ให้พวกเกวียนเวียนขับเคี่ยว |
โทรเลขปักกลางขวางจริงเจียว |
เหมือนเสาเปี้ยวสนามม้าน่ารำคาญ |
ต้นไม้ริมทางรายตายเสียบ้าง |
ที่อยู่อย่างย่อมไม่ใคร่ไพศาล |
แต่ไร่นาตาแลละลิบลาน |
เกือบถึงชานเชิงคิรีมีรอบราย |
ถึงที่โรงทหารแถวเขาแผ้วกวาด |
ยังสอาดอยู่ไม่ยุบบุบฉลาย |
มีทางขึ้นสามอย่างกว้างสบาย |
คือข้างซ้ายทางรถบทจร |
เปนทางลาดอ้อมตลอดยอดภูผา |
มาข้างขวาทางกัณฐัศว์ตัดศิขร |
เลี้ยวสองทบถึงข้างบนย่อย่นทอน |
ถ้าซอกซอนขึ้นตรงกลางเปนทางตรง |
อยู่ข้างชันยันเหยียบไม่เรียบร้อย |
แต่เร็วหน่อยไปได้พลันทันประสงค์ |
ขึ้นไปร่วมรวมวิถีที่เสาธง |
มีทางวงเวียนรอบขอบชาลา |
ทางพาชีมีทิมดาบตำรวจ |
หลังหนึ่งทรวดเซหักลงนักหนา |
เบื้องบนยุบยอบตั้งแต่หลังคา |
แต่หลังหน้านั้นยังดีที่คู่กัน |
ที่ขอบลานชานชลาหน้าพระที่นั่ง |
พนักพังพื้นทลายเสียหลายหลั่น |
ท้องพระโรงโถงใหญ่เข้าในนั้น |
ยังอยู่มั่นคงงามดีตามเคย |
เก้าอี้ตั้งพระที่นั่งโทรนพรักพร้อม |
เบื้องหลังอ้อมไปอิกทีที่เสวย |
เพดานผุพังไปกระไรเลย |
จนมุขเผยเพราะดาดฟ้าอาจินไตย |
มุขกระสันยันไปหลังในที่ |
โซมเต็มทีจนกระทั่งถึงหลังใหญ่ |
พระแท่นตั้งยังอยู่ที่ห้องใน |
ต้องเดินไปสองทางอยู่ข้างชิด |
หน้าห้องที่ออกไปเปิดใหญ่กว้าง |
ปลายสองข้างหลังน้อยน้อยทำห้อยสนิท |
หลังคาตัดตอนนี้ก็มีฤทธิ |
พันจุนติดอัฒจันท์คั่นวงเดือน |
เฉลียงรั่วทั่วรอบขอบจังหวัด |
เพราะเรื่องตัดตลอดไปจึงได้เปื้อน |
ศาลาข้างหลังลงไปใช้เปนเรือน |
ยังดีเหมือนเมื่อแต่หลังไม่พังซวน |
ทั้งห้องเครื่องห้องเคราทำเก่าใหม่ |
ยังใช้ได้อยู่ทั้งนั้นมั่นคงถ้วน |
ว่าปลวกชุมขึ้นไม้ไปทั้งมวล |
ต่างกระบวนกันกับเพชรบุรี |
ที่โน่นเปนศิลาล้วนถ้วนทุกแห่ง |
จึงแน่นแขงไม่เปนเช่นที่นี่ |
มีดินปนฝนหลากครากทุกปี |
เกือบเหมือนที่พื้นแผ่นดินถิ่นกลางแปลง |
ถึงคิรีนี้จะไม่สูงใหญ่กว้าง |
ดูรอบข้างแลไปได้ทุกแห่ง |
นึกถึงต่ำกับตาเห็นเปนต้องแคลง |
เพราะเขตรแขวงนั้นเปนนาพาเห็นไกล |
ยังมีมอต่อไปข้างในหน่อย |
กลมเปนดอยอยู่ในหว่างทางเขาใหญ่ |
แต่ก่อนมีพลับพลาตั้งเปนข้างใน |
เครื่องไม้ไผ่จากคาเวลาเดียว |
เขาแดงจันนั้นก็เดินไปได้รอบ |
ในเขตรขอบมรรคาเหมือนป่าเปลี่ยว |
แต่เดี๋ยวนี้รกหมดเพราะลดเลี้ยว |
เปนทางเที่ยวตัดเล่นเปนครั้งคราว |
ดูจากเขาตามลำเนาถนนหลวง |
ตลอดล่วงแลลึกเห็นตึกขาว |
ยังเยิ่นไปได้จนลำแม่น้ำยาว |
เขาสูงราวสามสิบวาเขาว่ากัน |
รับสั่งไว้ว่าจะให้มาตั้งซ่อม |
ให้ดีพร้อมเหมือนแต่ก่อนคิดผ่อนผัน |
แก้แต่รั่วเสียให้ได้ในเท่านั้น |
ก็จะมั่นคงไปได้ช้านาน |
กำแพงเมืองเรื่องหนึ่งฉันอึ้งอัด |
ไม่ทราบชัดเรื่องรายย้ายสถาน |
รัชกาลที่สองลองประมาณ |
ยกปราการข้ามตั้งฝั่งอุไทย |
ที่หัวแหลมลำนทีมีหาดเขื่อง |
หน้าเมืองด้านรีตรงลงทิศใต้ |
ยาวยีสิบเส้นหย่อนผ่อนลงไป |
เปนด้วยไม้วาเฟือนไม่เหมือนกัน |
อันส่วนกว้างห้าเส้นยังเปนเศษ |
อยู่ในเขตรหกเส้นเห็นจะมั่น |
ป้อมหกทิศใช้ชนิดเท่าเทียมทัน |
ประตูนั้นหกช่องต้องตามระยะ |
ด้วยเมืองนี้ที่ลุ่มเลิกดินทิ้ง |
ดูลึกจริงตรงกลางเหมือนอย่างสระ |
ใช้กำแพงอิฐต้านทานประทะ |
โดยหนากะเจ็ดศอกพอกถึงใน |
ทิ้งดินแต่ในระหว่างค่อยบางหน่อย |
ดูสูงลอยเบ็ดเสร็จเจ็ดศอกได้ |
ปลายกำแพงเสมาบางเปนอย่างไทย |
หลักเมืองใช้เสาไม้แก่นแทนศิลา |
มีมหาวิฆเนศวร์พักตร์เพศช้าง |
สององค์วางอยู่ที่นั่นขันนักหนา |
เดิมจะอยู่แห่งใดไปได้มา |
มิได้ปรากฎเรื่องใครเลื่องฦๅ |
เห็นมีเครื่องบูชาคาระวะ |
ชรอยจะเปนที่คนนับถือ |
มีฉางเข้าอยู่ฝั่งข้างซ้ายมือ |
สองหลังคือฉางหลวงกระทรวงนา |
บ้านเจ้าเมืองเยื้องข้างประจิมทิศ |
ตึกดินติดหลังซุ้มป้อมมุมขวา |
มีสระกว้างยาวใหญ่ในนัครา |
เปนที่อาศรัยน้ำสำหรับเมือง |
ไม่มีใครในกำแพงกี่แห่งนัก |
เปนตมปลักลำลาบเปนมาบเหมือง |
ทำนาได้ในจังหวัดไม่ขัดเคือง |
เปนสิ้นเรื่องทอดพระเนตรสังเกตมา |
พอบ่ายสี่โมงถ้วนควรสมัย |
เสด็จทรงมโนไมยไปข้างหน้า |
กระบวนรถเรียงสล้างทางลิลา |
จากพลับพลาตามทุ่งมุ่งเมิลทาง |
โดยสำเหนียกเรียกกันอรัญญิก |
แต่แพลงพลิกกลับกลายเปนหลายอย่าง |
ผ่านวัดหนึ่งริมนี้มีพระปรางค์ |
โบถใหม่สร้างเช่นกับเรือนเหมือนทั้งปวง |
พระยาธรรมจรรยาศรัทธาจัด |
มาสร้างวัดนี้สำเร็จเสร็จลุล่วง |
เรียกจำเริญธรรมวิหารขานชื่อควง |
เจ้าของห่วงกลัวใครใครเรียกไม่ตรง |
ขออย่าให้ใช้เจริญเปนอันขาด |
จะแคล้วคลาศข้อความตามประสงค์ |
ธรรมฤๅทำใช้ได้ไม่เจาะจง |
ขอให้คงอยู่แต่คำว่าจำเริญ |
ทางต่อนี้มีต้นมะขามเทศ |
เวียนประเวศทางเก่าเขาเดินเหิน |
ยลภูผานาพินิจพิศเพลิดเพลิน |
ลำเนาเนินแนวระหว่างห่างห่างกัน |
แลข้างซ้ายฝ่ายใต้ทิวไม้เขียว |
มีเขาเดียวดูประหลาดสีฉาดฉัน |
มรคากว่าร้อยดอยแดงจัน |
ตรงหน้านั้นเขางูเปนหมู่ยาว |
แต่หลายยอดหลายอย่างต่างชื่อเสียง |
ที่เล็กเคียงข้างลงมาหน้าผาขาว |
เปนเขางูอยู่เท่านั้นปันเรื่องราว |
เขาหลักว่าวแลเปนสูงในฝูงนี้ |
ยอดมีหลักปักเห็นเด่นถนัด |
เขาที่ถัดเปนรากกล้วยพวยแผกหนี |
ถ้าเปนเขารอกไปได้จะดี |
ต่อยอดนี้เขาจุลาคว้าพนัน |
ตามเขากล่าวว่าว่าวสุวรรณหงส์ |
ที่ตกลงตามไต่ป่านผายผัน |
เมืองมัดตังตั้งอยู่ราวสุพรรณ |
เพียงเท่านั้นคงกันดารยักษ์มารมี |
เขาห่างห่างยังสล้างอยู่หลายยอด |
ว่าตลอดเห็นจะเยิ่นเกินถ้วนถี่ |
จะขอลัดตัดแต่ที่ไปวันนี้ |
ห่างวิถีหน่อยหนึ่งถึงอาราม |
ชื่อว่าวัดโคกตลุงต่อทุ่งเขา |
ภูมิ์ลำเนาน่าชมร่มมะขาม |
เขาว่าอาวาสนี้ที่มีความ |
พระท่านคร้ามไม่อาจตั้งสังฆกรรม |
เพราะอ้ายอ่อนองค์พระครูผู้นุ่งหยี่ |
มาผูกสีมาด้วยช่วยสวดว่า |
ต้องผูกใหม่ในคณะพระท่านทำ |
เปนที่ลำบากลำบนคนโสมม |
พระเจดีย์ที่แถบนี้ใช้เรียวผอม |
ระฆังย่อมก้นปอดยอดไม่สม |
ทั้งโบถรามตามทำนองไม่ต้องชม |
อย่างมีถมกลาดเกลื่อนเหมือนเหมือนกัน |
ถัดถึงทุ่งเขางูอยู่ข้างขวา |
สุดสายตาตลอดแลเมื่อแปรผัน |
ทำนาปรังสพรั่งไปที่ในนั้น |
จรจรัลหน่อยหนึ่งถึงท้องนา |
มีเรือนคนหลายหลังมาตั้งต่อย |
ศิลาย่อยรับส่งลงไปท่า |
สำหรับเผาปูนใช้ในภารา |
เปนราคาหกสลึงส่งถึงเตา |
เมื่อไปเฉียดเชิงคิรีที่ชง่อน |
ศิลาก้อนหนึ่งใหญ่รอยไฟเผา |
แล้วสกัดตัดทอยต่อยทุบเอา |
เปนก้อนเท่าอิฐใหญ่ไปเรียงกอง |
ขายที่นี่เกวียนละบาทขนาดนับ |
มีเกวียนรับหน้าน้ำลำเรือล่อง |
คิดราคาค่าบันทุกสิ้นทั้งกอง |
เกวียนละสองสลึงล้วนควรราคา |
ยังอิกหลายพันปีที่จะหมด |
อย่ารันทดเกิดใหม่ไม่ต้องหา |
ที่ตามทางจรลีมีทุกนา |
ดาษดาดื่นทุ่งฉันมุ่งมอง |
ตามไม้หย่อมหอมฟุ้งจรุงจิตต์ |
หนามพรมติดนาสาลมพาล่อง |
ขึ้นพันไม้ลำมะลอกออกเปนกอง |
น่าเก็บกรองพวงมาไลยไว้ถือดม |
ไปหน่อยหนึ่งถึงปะรำถ้ำฤๅษี |
เขาทำดีดาดใบไม้รื่นร่ม |
ฉันเห็นเปนกระตู้วู้จู่ไปชม |
ไหนเล่าถมไปข้างนอกดอกสแก |
ที่ตามเสาเขาผูกต้นกล้วยไม้ |
ทีนี้ไม่พลั้งพลำจำได้แน่ |
เขาแย่งเก็บกันเสียพอจวนจอแจ |
ฉันสู้แก้เชือกพัวกลัวจะยับ |
ต้นหงอนไก่ใช้ผูกตอแทนต้น |
ดอกขาวปนพรรณแดงแกล้งสลับ |
ถูกแดดเผายอดอ่อนลงนอนพับ |
จนเลยลับไม่มีใครได้ทัศนา |
แต่นี้รถตามไปได้ทันเสด็จ |
เพราะขามเข็ดจึงต้องกลายหายเปนบ้า |
ถ้ามันอย่าหนืดเนิ่นเกินตำรา |
ยังจะช้าได้กว่านี้มีช่องคู |
นี่เพราะมันเสียจริตความคิดไพร่ |
ช้าจนไม่มีคนจะทนสู้ |
ช้ากว่าวอหลายเท่าคิดเค้าดู |
จนต้องขู่ต้องว่าสาแก่ใจ |
ทางวันนี้ร้อยยี่สิบสี่เส้น |
หน้าถ้ำเปนไหล่คิรีที่ไม่ใหญ่ |
ทางก่อเปนอัฒจันท์คั่นบันได |
สูงขึ้นไปถึงที่สักสี่วา |
แต่หักป่นจนไม่ใคร่เปนคั่น |
กำแพงกั้นตลอดไปตามไหล่ผา |
แต่หักพังทั้งปวงร่วงลงมา |
ปากคูหาเพิงเอื้อมออกเงื้อมง้ำ |
ก่อผนังหลังคากระเบื้องกั้น |
สำหรับกันฝนไม่ให้เข้าในถ้ำ |
ดูก็คล้ายกุฏิฤๅษีที่เขาทำ |
ตั้งประจำโรงละคอนตอนฉากบัง |
พระนอนใหญ่ที่ในนี้มีอยู่ข้าง |
ผนังกลางตรงเข้าไปใช้พระนั่ง |
พระพิมพ์แผ่นอิฐเห็นเช่นกระจัง |
มีอยู่ตั้งหมื่นแสนแน่นเปนกอง |
มีทางเลี้ยวลดไปได้ข้างซ้าย |
ดูเค้าคล้ายกับเช่นจะเปนกล่อง |
แต่ไปตันแต๊กแต๊กแปลกทำนอง |
มีแต่ช่องแลตลอดลอดออกไป |
ถึงห้องนอกซอกทางข้างหมู่พระ |
ถ้าเกะกะก็จะดอดลอดไปได้ |
เปนหมดสิ้นกันเท่านี้ไม่มีอะไร |
ช่องไศลท้ายคิรีมีอีกโพรง |
เปนชวากไม่มากไปถึงไหน |
ดูข้างนอกเห็นข้างในได้ปรุโปร่ง |
มีพระตั้งฤๅทิ้งกลิ้งเทงโทง |
เพราะถ้ำโถงถูกแดดแผดเผาลน |
เสด็จกลับมาปะรำกินน้ำท่า |
แล้วกลับมาทางเดิมโดยสถล |
ถึงพลับพลาพลบค่ำวายทำวล |
ประทานรางวัลคนที่ทำงาน |
กรมการเจ้าของเมืองมาเนื่องนับ |
อิกทั้งผู้ที่กำกับเปนนายด้าน |
ที่ได้อยู่ไตรตรวจสำรวจการ |
จมื่นราชานุบาลเปนผู้ใช้ |
มอญเขมรที่เกณฑ์มาใช้สอย |
ถึงห้าร้อยแปดสิบสามตามเรียกได้ |
ประทานคนละตำลึงให้ถึงใจ |
ด้วยทำในถิ่นฐานบ้านเมืองตัว |
ครั้นจะว่าเรื่องพลับพลาในวันนี้ |
ยังไม่มีเวลาได้ไปเที่ยวทั่ว |
พรุ่งนี้ยังเที่ยวได้ฉันไม่กลัว |
จะขอถัวเอาไปไว้ใช้ตอนเช้า |
เสวยในเขาวงก์ทรงทำเครื่อง |
ไม่ยักเยื้องท่าทางคงอย่างเก่า |
ขอสงบจบความตามข้อเค้า |
ไว้ค่อยเล่าต่อพรุ่งนี้มีเวลา ฯ |