๏ ปรอทเมื่อคืนนี้มีเบ็ดเสร็จ |
หกสิบเอ็จหนาวกระไรฉันได้จด |
กลางวันเท่าวานนี้ไม่มีลด |
แต่รู้รสร้อนมากหลากทุกวัน |
ด้วยอากาศมืดคลุ้มเหมือนกลุ้มฝน |
ได้ยินบ่นเรรวนกันป่วนปั่น |
ตกตอนบ่ายกลายเปนพูดโจทย์กัน |
ว่าฝนนั้นตกไกลคงไม่มี |
ฉันตื่นแต่ตีสิบเอ็จเสด็จประพาส |
ชมรุกขชาติปลาผักทั้งปักษี |
พอย่ำรุ่งก็ลงมาท่านที |
ทรงเรือม่วงจรลีก่อนกระบวน |
ส่วนข้างในไปน้อยคอยตามหลัง |
ลงที่นั่งคอนโดล่าพอมาถ้วน |
ในแม่น้ำมืดตระหลบหมอกอบอวล |
เรือแจวทวนธาราตั้งตาชม |
กระลาดำทำแก่ตัวกระตุกกระติก |
เที่ยวจับจิกตามหาดเกลื่อนกลาดถม |
หัวปีกแหลมเหมือนอย่างแซมด้วยเข็มคม |
ไว้ขู่ข่มเพื่อนกันประจันบาน |
เขาเรียกกันเซงแซ่แตแต้แวด |
ตามเสียงร้องแช็ดแช็ดเปนคำขาน |
กระลาดำนี้คือชื่อประทาน |
เปนนกพ่านอยู่ในลำแม่น้ำน้อย |
ยางเสวยยืนเฉยอยู่ริมหาด |
เรือแจวผาดก็ไม่ตื่นยืนหงอยก๋อย |
นกตขาบจับตไคร้ตั้งใจคอย |
เห็นปลาลอยโฉบแวบแฉลบบิน |
นกปักหลักบินถลาลงหาเหยื่อ |
แลเห็นเรือบินถลากจากกระสินธุ์ |
เข้าซ่อนซุ่มพฤกษาจิกปลากิน |
แล้วโผผินบินจ้องมองต่อไป |
โคนไผ่ป่านกกระทาเที่ยวคุ้ยเขี่ย |
อยู่สองตัวผัวเมียไม่ไปไหน |
นกกระเต็นเต้นต่ายอยู่ปลายไม้ |
แล้วหยุดไซ้ปีกหางป้อนนางนก |
เห็นไก่ป่าขาดำทำพองสร้อย |
ขนเสียงลอยเอ้กอีเอ๊กวิเวกอก |
เรียกนางไก่ที่เข้าไปอยู่ในรก |
มาเดินกกเก็บกิมิชาติกิน |
นางนกกวักลักมองช่องใบไม้ |
เห็นเรือใกล้วิ่งถลากเกือบปากบิ่น |
ร้องกวักกวักประจักษ์นามตามรบิล |
นกขมิ่นโผมาผ่านหน้าเรือ |
กระลุมพูจับอยู่ปลายกิ่งไผ่ |
เห็นไกลไกลเจียวยังว่าน่ารักเหลือ |
นกตะกรุมเกาะซุ่มพุ่มมเกลือ |
ดูน่าเบื่อโกนฤๅถอนจึงล่อนโล้ง |
นกยูงหางยาวเฟื้อยร้องเจื้อยแจ้ว |
ก๊อกก๊อกก๊อกแล้วกระโต้งโห่ง |
กระสาแดงแฝงตอทำฅอโค้ง |
พอปลาผุดฮุบโผงกลืนพองฅอ |
สาลิกาเกาะกิ่งต้นไม้โกร๋น |
เต้นกระโจนแจจรรพูดกันจ้อ |
ยังพวกฝูงเจ้าขุนทองจับกองออ |
เสียงแจ้จ้อเจรจาภาษากัน |
นกกามกวมหลวมละเลิงดูเปิงเปิด |
บินเตลิดมาจนใกล้มิได้พรั่น |
เหมือนแน่ใจไม่มีใครจะยิงมัน |
ดูรูปขันเปนตลกนกขี้ริ้ว |
เจ้านกเงือกหน้างอกปากออกยื่น |
น่ากลัวยืนไม่ใคร่อยู่บินลู่ลิ่ว |
ฝูงกาน้ำลอยล่องฟ่องลมปลิว |
กำลังหิวโฉบฉาบลงคาบปลา |
ต้นตะไคร้ริมตลิ่งกระลิงอยู่ |
แต่ละหมู่นับร้อยไม่น้อยกว่า |
บินต่ำต่ำคล่ำไปใกล้นาวา |
แฉลบไปแฉลบมาน่าเอ็นดู |
เสียงนกแก้วแว่วผวาว่าทารก |
ไหนเล่านกจับไม้ใหญ่เปนหมู่ |
ฟังพูดกันดูเหมือนฉันจะเกือบรู้ |
ได้สักคู่เข้ากรงคงพูดเพราะ |
นกเขาเคล้านางจับยางหนู |
เสียงกุ๊กกูกุ๊กกูคูเสนาะ |
นกหัวขวานเจาะไผ่เหมือนใครเคาะ |
เสียงเปาะเปาะปากแขงแรงสุดใจ |
กระจาบฝนมนมอบินซ้อแซ้ |
พาฝูงแผ่ปีกราตัดมาใกล้ |
นกออกอกดดังสำลีจับที่ไม้ |
ถึงเรือใกล้ก็ไม่หนีมีมานะ |
ที่ลำไผ่ชายทางฝูงค่างโหน |
บ้างจู่โจนผลอยผลอยห้อยเกะกะ |
ลางต้นลิงเต็มไปไม่ปนคละ |
กิ่งไม้ระลงมาใกล้ก็ไขว่คว้า |
พอฉวยได้ไต่ตามกันยั้วเยี้ย |
ดูนัวเนียดุบดิบกว่าสิบห้า |
บางหมู่เล่นข้างกระโจนโผนลงมา |
กิ่งพฤกษาที่ต่ำต่ำทำท่าทาง |
ขึ้นห่มกิ่งชิงเก็บใบไม้เคี้ยว |
เห็นเรือเหลียวเลิกหน้าท่าต่างต่าง |
บ้างห่มกิ่งย่อนย่อนหลอนหลอกพลาง |
บ้างหนีวางเข้าในป่าซ่อนหน้าลับ |
ชมปักษาที่ฉันว่ามาแล้วนี้ |
ล้วนแต่ที่เห็นได้ไม่สับปลับ |
ได้จดนามตามที่เห็นเปนแน่นับ |
ชั่วแต่สับหน้าหลังตั้งเปนกลอน |
กับที่จับที่กินแลบินร้อง |
ก็จำต้องเปลี่ยนความตามอักษร |
มิได้เลือกตามอย่างทางสุนทร |
อย่าขอดค่อนว่าฉันตื้นเพราะฝืนใจ |
ถึงปากลำน้ำพาชีมีเฝือกกั้น |
เขาเปิดพอผายผันเข้าไปได้ |
เรือที่นั่งเข้าไปก่อนถึงตอนใน |
เรือฉันไปภายหลังรับสั่งพลัน |
ให้หยุดอยู่ดูอวนญวนเขาลง |
แจวเรือวงทอดเวียนดูเหียนหัน |
ช่วยกันฉุดชุลมุนวนพัลวัน |
บางคนดั้นดำน้ำตามเชิงอวน |
จวนขึ้นหมดบ่นว่ามีปลาน้อย |
ดูเสียงกร่อยกันไปไม่แย้มสรวล |
แต่เต่ามากระทบเข่าเจ้าพวกญวน |
จึงชวนกันฮาลั่นสนั่นไป |
พอได้มาถามเขาว่าเรียกเต่าหวาย |
ดูเหลืองจ้อยจับหงายไว้ตัวใหญ่ |
แต่เรื่องปลาเขาว่าที่น้อยไป |
เพราะคนแกล้งเอาหางไหลใส่ลำธาร |
ปลาในนั้นครั้นว่าถูกยาเบื่อ |
ตายเปนเบือลอยลงมาน่าสงสาร |
ทั้งเล็กใหญ่นับพันดูกันดาร |
ปลาจึงพานขัดขวางเพราะบางเบา |
ปลาที่ได้มาวันนี้มีชื่อน้อย |
คือปลาสร้อยล่อนกระมางทั้งเข้าเม่า |
อิกเนื้ออ่อนคางเบือนทั้งปลาเค้า |
ท้องพลุเขาบอกให้จึงได้รู้ |
ปลาหนามหลังทั้งปลาตะเพียนขาว |
หมดเรื่องราวกันวันนี้ที่มีอยู่ |
ปลาเล็กน้อยอิกเท่าใดไม่ได้ดู |
แล้วแจวทวนน้ำอู้ตามเข้าไป |
ลำพาชีที่ชวากตรงปากช่อง |
มีน้ำเหมือนลำคลองเขื่องเขื่องได้ |
ไม่ก็เลี้ยวเรียวเล็กแคบเข้าไป |
จนข้างในมีน้ำเหมือนลำธาร |
มีหาดกรวดหาดทรายรายระยะ |
บ้างครุคระกรวดใหญ่ในลหาน |
บางแห่งพื้นตื้นเปนเรียวต้องเหนี่ยวกราน |
เสียงฉ่าฉานคนรอกอตะไคร้ |
ปะที่ตื้นยืนได้เสมอข้อ |
ที่ฦกซึ้งถึงฅอยืนพอได้ |
ปลาน้อยน้อยลอยเปนเหล่าเคล้ากันไป |
ด้วยน้ำใสเห็นถนัดชัดทุกตัว |
ทั้งสองฟากหลากตาพฤกษาสูง |
ล้วนยางยูงใหญ่ใหญ่มิใช่ชั่ว |
ดูรกชัฏเช่นกับป่าจนน่ากลัว |
ไผ่เปนรั้วทึบตามทางสองข้างคลอง |
แซ่ซ้องปักษาทิชาชาติ |
จับเกลื่อนกลาดโผผินบินลอยล่อง |
บ้างอยู่ไกลได้ยินแต่เสียงร้อง |
ออกแซ่ซ้องมิได้ซาสักนาที |
ทั้งรอยสัตวจตุบาทก็กลาดกลุ้ม |
เข้าสุมทุมซอกซอนส้อนกายหนี |
แว่วแต่เสียงแกรกกรากนั้นมากมี |
เพราะเปนที่สงัดไร้คนไปมา |
เสด็จไปถึงข้างในเพียงไม้ขวาง |
ต้องตัดทางไปลำบากยากนักหนา |
จึงให้พายเรือที่นั่งถอยหลังมา |
เพราะจะกลับมาข้างหน้าก็แคบนัก |
ถึงที่กว้างขวางสนัดตัดหน้ากลับ |
พายฉับฉับชลมากกระชากหนัก |
ดูหวิววู่ครู่หนึ่งไม่ถึงพัก |
ก็มาถึงที่สำนักบ้านปากคลอง |
เรือที่นั่งตั้งลำขึ้นฝ่ายเหนือ |
กระบวนเรือน้อยน้อยตามลอยล่อง |
ไปหน่อยหนึ่งถึงที่มีนามพ้อง |
เขาเรียกร้องต่อมาว่าพาชี |
อยู่ฝั่งขวาท่าชันฟันตลิ่ง |
เอาดินทิ้งตัดทางวางวิถี |
ขึ้นบกไปสามเส้นเห็นเหมาะดี |
ทำเกยที่ร่มไม้มีใบบัง |
สูงสิบศอกส่วนกว้างวางไว้หก |
ใบไม่ปกเปนพนักเสด็จนั่ง |
ส่วนข้างในอยากไคร่ดูเปนกำลัง |
ก็รับสั่งให้ขึ้นไปได้บนนั้น |
กับสมเด็จกรมพระกะประสงค์ |
กรมหมื่นดำรงอยู่ที่นั่น |
ข้างล่างเกยเจ้านายก็รายกัน |
มีใบไม้สคั่นกันสัตวกลัว |
พระยาสีหราชเดโชไชย |
เปนผู้ได้จัดการทุกสิ่งทั่ว |
หมู่ทวยหาญคชสารอิกแปดตัว |
รายเปนรั้วโห่ร้องก้องกันมา |
ระยะทางห่างเกยสี่สิบเส้น |
เดินแผ่เปนปีกไปถึงในป่า |
กว้างสิบห้าเส้นกระทั่งฝั่งคงคา |
เดินเข้าหาเกยตั้งใกล้ฝั่งชล |
การโห่เหล่าเข้าตำราว่าจะบอก |
สัตวเลี่ยงออกไปได้เข้าไพรสนณฑ์ |
นับเปนการลองไว้พอได้ยล |
นั่งอยู่จนคนมาถึงหน้าเกย |
จึงได้เห็นเปนอันว่าบอกได้ |
เสียใจนักหนานิจจาเอ๋ย |
อยากให้เสือมาสักตัวไม่กลัวเลย |
ยังไม่เคยเห็นเช่นนี้สักทีเดียว |
เมื่อแรกแรกขึ้นไปฉันใจเต้น |
คอยเขม้นหมู่ไม้มิได้เหลียว |
ชเง้อชแง้ทุกคราวที่กราวเกรียว |
จนเหี่ยวเหี่ยวเข้าทีหลังลงนั่งเนือย |
เรือขาล่องคล่องคล้อยเหมือนลอยเหาะ |
แจวจ้วงเฉาะเฉาะมาฉ่ำเฉื่อย |
ไม่ทันดูหมู่ไม้ตามชายเฟือย |
เรือมาเรื่อยพักหนึ่งถึงพลับพลา |
เสด็จลงสรงสนานในกรงกั้น |
เปนชั้นชั้นที่ตื้นยืนเพียงขา |
ที่แหล่งลึกไม่ถึงไหล่ไหลเชี่ยวมา |
เยือกเย็นกายาสำราญใจ |
ฉันหิวเข้าเต็มทีตลีตลาน |
ไปรับประทานเสียก่อนค่อนข้างได้ |
ตอนกลางวันอยู่ข้างร้อนดูอ่อนใจ |
นั่งเขียนไดรีนี้จนเย็น |
พอบ่ายสี่โมงเสร็จเสด็จม้า |
ข้างในไปวอผ้าแลรถเข็น |
ไปตลาดชายหาดเขาจัดเปน |
ที่ขายของเห็นเหลือเล็กน้อย |
เขามาซื้อไปเสียแต่กลางวัน |
มีขนมเผือกมันทั้งกล้วยอ้อย |
ป่าวร้องชาวบ้านนั่งร้านคอย |
คนนับร้อยบันดามาไปหาซื้อ |
แต่เนื้อโคแลปลาหามาจ่าย |
ไม่ได้ขายคนรับอยู่่อึงอื้อ |
เปนสเบียงไปไว้ใช้ปลายมือ |
ตลาดคือจ่ายสเบียงเลี้ยงพลไกร |
เดินตามหาดทรายที่ชายเขิบ |
ดูโตเติบตัดทางไปกว้างใหญ่ |
ข้างซ้ายมือมีบึงยาวซึ้งไป |
ขอผัดไว้ว่าทีหลังยังจะมา |
ขึ้นเขิบสูงสามวาฤๅกว่านั้น |
อยู่ข้างชันมากมายจนหงายหน้า |
มีบ้านคนสองฟากปากมรคา |
เรือนสักห้าหกหลังสังเกตดู |
เข้าป่าไผ่ไม่ช้าถึงนาเข้า |
เปนฝุ่นเป่าปลิวว่อนจนอ่อนหู |
พอพ้นนาป่าโปร่งโล่งแผ่นภู |
มีหญ้าปูแต่ว่าแห้งใบแดงไป |
เดินครู่หนึ่งถึงนามาอิกทอด |
ฝุ่นตลอดเกือบจะไม่หายใจได้ |
ต่อนี้มาไคลคลาในหมู่ไม้ |
เนินซากไปตั้งแต่นี้ที่เรียกกัน |
เดินสบายหายฝุ่นที่มุ่นหมก |
ไม่เรี้ยวรกอย่างป่าพนาสัณฑ์ |
ดูราบเตียนเหมือนอย่างเวียนกวาดทุกวัน |
แลไม่ตันตลอดโล่งโปร่งลูกตา |
หมู่ต้นไม้รายระยะเหมือนกะให้ |
ไม่โตใหญ่โคร่งคร่างกว้างสาขา |
น่ารักแท้แต่ต้นตะโกนา |
มักเข้าท่าไม้ดัดชัดท่วงที |
ทางที่มาไม่ได้วัดเพราะตัดใหม่ |
ซ้ำทำไปไม่ถึงถิ่นสิ้นวิถี |
แต่ไม่ข้องขัดขวางป่าข้างนี้ |
ทางจะมีฤๅไม่มีไม่ร้อนรน |
เพราะไม่ต้องตัดพฤกษาถางหญ้าแฝก |
นึกจะแยกไปไหนได้ไม่ขัดสน |
แต่น่ากลัวเดินหลงเที่ยววงวน |
ดูเปนกลเดียวกันทั้งนั้นไป |
ต้องกรุยทางฤๅว่าวางใบพฤกษา |
สังเกตตาเดินตามกรุยไปได้ |
ประมาณทางจรลีวันนี้ไว้ |
เห็นจะได้ร้อยสามสิบพอดิบดี |
ตามทางไปได้ปะมขามป้อม |
เขาหามห้อมไต่ทางหว่างวิถี |
ลูกช่างใหญ่พึ่งได้เห็นในคราวนี้ |
ตขบที่ขนาดใหญ่ไม่เท่าทัน |
ถามเขาว่าของหลวงทรงหวงห้าม |
ยาวสักสามแขนเศษสังเกตมั่น |
ลูกเต็มกิ่งเกาะชิดสนิทกัน |
น่ารักครันราวจะโลดโดดเดินไป |
พวกบ่าวบ่าวมันเข้าสั่นที่ข้างทาง |
ต้องวานจ้างเขาขึ้นห่มกิ่งให้ |
เสียงเกรียวเกรียวเที่ยวเก็บกันไกลไกล |
แล้ววิ่งไล่หลังกระบวนสวนขึ้นมา |
กระบวนในไปเกือบจะถึงที่ |
พบเสด็จจรลีเก็บดอกหญ้า |
มีหลายอย่างต่างพรรค์กันนานา |
เห็นจะกว่าสิบสองลองตรวจดู |
ที่พวกขาวคราวผ้าขาวลาด |
เหล่ายาวสั้นปันขาดกันเปนหมู่ |
ที่แดงดาดเหมือนหนึ่งพาดผ้าชมภู |
ท่เปนภู่ตามพวกไม่แผกกัน |
บ้างเขียวคร่ำดำมัวสลัวเหลือง |
บ้างกลีบเขื่องบ้างเล็กยาวแลสั้น |
บ้างหยอดขาวคล้ายน้ำค้างพร่างพรายพรรณ |
เปนเช่นนั้นไปทั้งป่าน่าสำราญ |
ไปถึงที่มขามป้อมล้อมเปนหมู่ |
มีแคร่ปูเสื่อสาดสอาดสอ้าน |
ลงจากวอจากรถไม่งดนาน |
ตลีตลานเข้าไปใต้ต้นพลัน |
เขาเอาหวายรายผูกทุกกิ่งก้าน |
จะต้องการเก็บเมื่อไรได้ชั่กสัน |
เข้าช่วยกันยื้อยุดฉุดพัลวัน |
ลูกหล่นชิงกันเก็บออกลาน |
ที่ยืนตรงหล่นลงถูกศีรษะ |
ดังปุปะแซ่ซ้องร้องเสียงขาน |
ที่ถูกหลายเปาะหน่อยม่อยไปนาน |
ไม่ได้การต้องคอยเลี่ยงเบี่ยงเบนตัว |
ที่จะเก็บให้ได้มากยากอย่างเอก |
ถูกหลายเปกก็ต้องออกจนกลอกหัว |
อีบ่าวบ่อยพลอยตะกลามตามพันพัว |
เที่ยวตะครุมไปจนทั่วถึงไล่กัน |
ที่กิ่งใหญ่เหนี่ยวไม่ไหวกลายเปนโหน |
ต้องให้โขลนนายจ่ามาช่วยสั่น |
สักหกต้นได้อยู่ที่มีตรงนั้น |
แต่ลูกไม่เท่ากันกับกลางทาง |
ที่ได้เห็นดูเหมือนเปนสามขนาด |
จนรสชาดเล่าก็ไกลกันคนละอย่าง |
ลูกใหญ่เปรี้ยวเคี้ยวอร่อยฝาดถอยจาง |
แต่เบาบางไม่ใคร่มีที่หมู่นี้ |
รับสั่งว่าต้นที่มาแวะทรงหัก |
ดกยิ่งนักต้นต่ำกว่าที่นี่ |
ต้นก็โตไม่ฝาดรสชาดดี |
คือกิ่งที่เขาห้ามตามทางมา |
อิกต้นหนึ่งถึงกับยืนเก็บได้ |
แต่ว่าไม่สู้ดกดังที่ว่า |
ลูกเปนเหลี่ยมเล็กน้อยถอยลงมา |
เปนส่วนเก็บกันข้างหน้ามาล่าไป |
เก็บอะไรไม่สนุกไปกว่าแน่ |
เว้นไว้แต่เล่นทุ่งพอเทียบได้ |
เสียดายครันด้วยตวันลงไรไร |
เก็บหญ้าไม่ได้เท่าไรก็ค่ำพลบ |
เพราะอย่างนี้สิสมเด็จเจ้าพระยา |
เจ็บมากแล้วยังมาจนสลบ |
แลที่่ไหนงามที่นั่นดูครันครบ |
สนุกลบล้ำที่อื่นฉันตื่นจริง |
สมเปนที่สัตรีมาประพาส |
เพราะเกลื่อนกลาดด้วยของเล่นเช่นผู้หญิง |
ฉันเก็บหญ้ามาเปนอย่างพออ้างอิง |
ไม่ได้ครบทุกสิ่งสิ้นเวลา |
ฝรั่งว่าป่านี้งามดีมาก |
เหมือนอย่างป๊ากเมืองอังกฤษไม่ผิดท่า |
สักทุ่มหนึ่งกลับถึงที่พลับพลา |
ตามสองข้างมรคาเขากองไฟ |
ดูสว่างไสวไปในป่า |
ใช้เช่นนี้ดีกว่ากระบอกไต้ |
วันนี้มีหมูป่าเขาหาไว้ |
ถวายในตอนค่ำทำเครื่องอาน |
ตลกเล่นละคอนกันในวันนี้ |
มีดีดสีซอรับร้องขับขาน |
ยามหนึ่งก็เลิกไปไม่เล่นนาน |
ยุติการแดรีวันนี้ไว้ ฯ |