๏ พอสิบทุ่มถูกกระชากจากไสยาสน์ |
จะคลาคลาศก่อนแจ้งประจุสมัย |
มาล้างหน้าน้ำเย็นเยือกหัวใจ |
แต่งตัวไว้พร้อมเสร็จเสด็จพลัน |
ตีสิบเอ็ดเศษสี่สิบนาที |
เสด็จทรงพาชีออกผายผัน |
กระบวนในไปอย่างวันก่อนนั้น |
เปลี่ยนแต่รถจรจรัลไปก่อนวอ |
ยังไม่สางสุริยาท้องฟ้าคลุ้ม |
ตะคุ่มตะคุ่มรถขับมาสอสอ |
หนาวสท้านสทกในน้ำใจฅอ |
นั่งหง่อนหง่อมาตามทางข้างเจดีย์ |
เขาตัดทางเลียบข้างทิศทักษิณ |
มาจนสิ้นบริเวณเห็นวิถี |
เลี้ยวประจิมมาอิกด้านฐานทางนี้ |
แล้วจึงได้จรลีโดยตรงไป |
ทางตัดใหม่ก็ไม่ไกลกับทางเก่า |
ทั้งแห้งเข้าทางเก่าเสาไสว |
คงเห็นสายโทรเลขไม่หลีกไกล |
ถึงปล่อยไว้ฉันก็คงไม่หลงเลือน |
ทางตัดใหม่ห้ามไม่ให้เกวียนเดินชัก |
แต่ไม่ฟังมันยังลักเดินกันเปื้อน |
จนเปนฝุ่นฟุ้งหนักหนาหูตาเฟือน |
เสื้อแสงเปื้อนขาวปลอดตลอดตัว |
เมื่อแรกมายังไม่ไกลองค์พระ |
เห็นแต่ไผ่เรอะระไปทั่วทั่ว |
ล้วนใบแดงแห้งหยองเหมือนหมองมัว |
ฟ้าสลัวแลชัดสนัดตา |
ฤๅอยู่ใกล้ได้ข่าวพระแท่นสถาน |
ว่าพระเจ้าเข้านิพพานที่แผ่นผา |
ทั่วทั้งโลกโศกเศร้าเปล่าวิญญา |
แต่ชั้นหญ้าก็ร้องไห้มิได้คลาย |
จึงพลอยหงอยจ๋อยไปไม่สดชื่น |
ยังตายขุยดาดดื่นเพราะใจหาย |
ควรต่อเรื่องหญ้าร้องไห้ได้สบาย |
ท่านซึมทราบสิ้นทั้งหลายคงสาธุการ |
น่ารักแท้แต่ไร่เขาปลูกอ้อย |
มิใช่น้อยแลลิ่วตลอดย่าน |
ดูริมทางสองข้างแสนสำราญ |
ต่อนานนานเว้นไปไร่ถั่วมี |
เขาว่างาเปนสินค้าข้างนี้มาก |
ฉันอยากเห็นยังไม่พบเลยที่นี่ |
ต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลทางจรลี |
แต่เห็นมีมพร้าวหมากมากกะไร |
โรงหีบอ้อยสองหมู่อยู่ห่างห่าง |
เห็นท่าทางโรงโกงก็โตใหญ่ |
กำลังต้มควันขมงตรงปล่องไฟ |
ลมพัดได้กลิ่นฉ่ำน้ำตาลทราย |
ฉันตามเสด็จมาทางนี้ปีฉลู |
ดูไม่สู้มีไร่ไปมากหลาย |
สิบเอ็ดปีมีคนขึ้นมากมาย |
เปนไร่รายตลอดข้างหนทางมา |
จนเกินที่กุดตะโหนดมิใช่น้อย |
เปนทางเดินสองร้อยเส้นกว่ากว่า |
เปนแจกมากกว่าอื่นออกดื่นตา |
ไปภายหน้าหนองแขมคงมีคน |
วัดอ้ายก้องของคุณหญิงหนูมาสร้าง |
ชื่อจากช้างเลี้ยงไว้ในไพรสณฑ์ |
ชื่อพลายก้องจึงร้องเรียกชื่อตำบล |
บ้านอ้ายก้องเลยจนถึงชื่อวัด |
มีอุโบสถสถานวิหารตั้ง |
อยู่สองหลังใหม่ใหม่ใหญ่ถนัด |
กำแพงแก้วกุฎีมีสารพัด |
รถเดินตัดเฉียดมาข้างขวาทาง |
กุดตะโหนดนั้นเขาทำโรงน้ำร้อน |
เปนที่หยุดพักผ่อนไม่ขัดขวาง |
น้ำร้อนเย็นโซดามารายวาง |
เรียกอะไรได้ทุกอย่างไม่ยากใจ |
ทางต่อมามีพฤกษาพึ่งกานตัด |
เปนจังหวัดที่จะทำไร่ไปใหม่ |
บางแห่งปลูกอ้อยบ้างอย่างข้างใน |
ทางต่อไปเปนป่าพฤกษาราย |
มีศาลาสองห้องสองสามแห่ง |
พอรู้แจ้งด้วยว่ามีเปนที่หมาย |
คือหลังคาเปนปั้นหย่าอยู่กลายกลาย |
ท่านกรมท่าที่ตายท่านชอบนัก |
อิกศาลาท่าทางอยู่ข้างขัน |
ปั้นหย่ามีหน้าบันเหมือนพังหัก |
เปนหลังใหญ่ไว้เปนที่สำนัก |
ใกล้ที่พักหนองแขมแรมค้างคืน |
เข้าปะรำทำยาวราวสักเส้น |
ใบไม้เปนเฟื่องย้อยห้อยสดื้น |
ผูกธงสีต่างต่างอย่างครึกครื้น |
ทางเดินราบปราบรื่นดังหน้ากลอง |
เจ้าเมืองกรมการกับลูกค้า |
มาพร้อมหน้าคอยเฝ้าไม่เศร้าหมอง |
ถวายเข้าห่อตั้งไว้ทั้งกอง |
เสด็จถึงหนองแขมค่อนข้างเช้า |
โมงหนึ่งกับห้าสิบสามมินิต |
สองชั่วโมงเศษอิกหนิดเขาบอกเล่า |
กระบวนรถก็ไปถึงเร็วไม่เบา |
เสวยเข้าต้มเสร็จเสด็จจร |
กระบวนวอต่อเสด็จแล้วจึงถึง |
พักหน่อยหนึ่งฉันจะว่าพลับพลาก่อน |
หลังข้างหน้าห้าห้องเปนสองตอน |
กันฝาผ่อนให้กว้างส่วนข้างใน |
มีอิกหลังตั้งขวางชนหลังเก่า |
ชักฝาเข้าบรรจบกับหลังใหญ่ |
เฉลียงแล่นรอบสนิทติดกันไป |
เฟี้ยมไม้ไผ่เกลี้ยงเกลาเข้าฝากัน |
ดูกว้างใหญ่ไปกว่าที่ประทับร้อน |
น่านั่งนอนเปนสุขเกษมสันต์ |
ยังอิกหลังตั้งห่างหลังใหญ่นั้น |
รั้วแฝกกั้นคันขอบรอบพลับพลา |
ระยะทางตั้งแต่หนองแขมไป |
เปนบ่าไม้แล้งดอนแดดร้อนกล้า |
ที่หนทางกลางย่านมีศาลา |
อย่างเจ้าคุณกรมท่าที่กล่าวไว้ |
แต่ศาลาห้วยกะบอกที่สำนัก |
เหมือนหนองแขมบันไม่หักหาผิดไม่ |
เข้าแขวงเมืองราชบุรีแต่นี้ไป |
พลับพลาเปนอย่างไทยนั่งไม่พอ |
เฉลียงรอบครอบลำต้นพฤกษา |
ปะรำแฝกดาดมายกพื้นต่อ |
รถมาถึงไม่สู้ช้ากว่าพระวอ |
เพราะม้าท้อกำลังไปไม่แขงแรง |
เสด็จมาระยะนี้สองโมงหย่อน |
ด้วยแดดร้อนต้นไม้ก็ใบแห้ง |
น้ำเลี้ยงรากไม่มีที่แห้งแล้ง |
ถ้าจะแคลงว่าร้องไห้ได้อิกทาง |
ประทับช้าเกือบห้าชั่วโมงถ้วน |
จัดกระบวนเปลี่ยนใหม่ไปอิกอย่าง |
ทางสามร้อยฝีเท้าม้าว่าอย่างกลาง |
สบัดย่างสองโมงครึ่งถึงพลับพลา |
กระบวนวอพอสามชั่วโมงถึง |
จึงรับสั่งให้ครรไลล่วงไปหนา |
ครึ่งชั่วโมงหมายมาดคาดเวลา |
ส่วนรถทูลกระหม่อมฟ้าเมื่อมานั้น |
มาอ่อนล้ามาไม่ไหวต้องไปฉุด |
เพราะได้หยุดที่พลับพลาเวลาสั้น |
ให้ไปหน้าม้าที่นั่งพลาดพลั้งพลัน |
ช่วยผ่อนผันแก้ไขได้ทันที |
รถข้างในม้าได้พักอยู่น้อย |
กำลังถอยคงไม่ไปได้เร็วรี่ |
จะต้องสวนกระบวนกลางทางจรลี |
ให้อยู่ที่ตอนหลังดังก่อนกาล |
ไปร้อยเส้นเห็นรถทูลหม่อมหยุด |
ด้วยม้าใหม่แรงรุดกำลังพล่าน |
ไปเร็วทันกระบวนวอต้องรอนาน |
ก็เดือดดาลลำพองคนองนัก |
ต้องกลับให้ไปอยู่ภายหลังม้า |
เสด็จมาโดยด่วนจวนถึงหลัก |
ร้อยห้าสิบสบวอต้องรอพัก |
ม้าขึ้นหน้ามาถึงหลักที่สองร้อย |
มีปะรำน้ำกรอกกระบอกแขวน |
ใครขาดแคลนจะได้ไปใช้สอย |
สมเด็จกรมพระพระองค์น้อย |
ทรงม้าคอยรับเสด็จอยู่ที่นั้น |
พระยาศรีสรราชภักดี |
มากำกับการที่นี่ทุกสิ่งสรรพ์ |
นำนายส่วยถวายของกองใหญ่ครัน |
บ้านสำคัญตำบลนี้มีนิทาน |
ว่าเมื่อพระมาประทับพระแท่นนี้ |
ต่างตกใจเต็มทีทั่วทุกบ้าน |
บรรดาใครเปนหมอไม่นิ่งนาน |
วิ่งตะลีตะลานทยานมา |
จึงสำเหนียกเรียกชื่อบ้านหมอสอ |
อยู่ติดต่อบ้านโป่งไปข้างหน้า |
ในท้องที่เหล่านี้มีคันนา |
พวกพระแท่นทำมาตลอดไป |
ไปหน่อยหนึ่งถึงที่พื้นทรายขาว |
ล้อรถจมราวสามนิ้วได้ |
ดูกระหนืดตืดตึงเปนเหลือใจ |
กำลังม้าลากไปไม่ใคร่คลา |
ต้องเอาคนช่วยรุนจึงหมุนเลื่อน |
เปนฝุ่นขาวฟุ้งเกลื่อนตระหลบหน้า |
มาหน่อยหนึ่งถึงฉลากมรคา |
บอกว่าที่นี่ลำพระยาพาย |
ตำบลนี้มีเรื่องเหมือนเบื้องหลัง |
ว่าพระยาได้ฟังก็ใจหาย |
ไม่ทันเรียกบ่าวไพร่ใจวุ่นวาย |
ลงเรือพายจ้ำมาไม่รารอ |
พอสิ้นทางทรายขาวเข้าเขตวัด |
คนเยียดยัดวิ่งถลามาดูสอ |
มีศาลาใหญ่ใหญ่ปลูกไว้พอ |
โรงครัวมอเข้าของกองรุงรัง |
ที่ตรงหน้านั้นศาลาหลังคาจาก |
มีอยู่มากปลูกติดกันหลายหลัง |
คนอาศรัยเนื่องหน้าดาประดัง |
ข้างซ้ายตั้งที่อยู่หมู่กุฎี |
พระธรรมวโรดมกับพระสงฆ์ |
ลงมานั่งรับเสด็จอยู่ที่นี่ |
พระพิศาลมาแต่เพ็ชรบุรี |
ยังเมืองอื่นมาก็มีอิกหลายองค์ |
เข้าดงรังตั้งแต่บ้านโป่งมา |
แลดูหมู่พฤกษาน่าพิศวง |
ไม่มีใบโหรงหมดเหมือนปลดปลง |
โกนฤๅถอนไปทั้งดงด้วยทุกข์ร้อน |
กระบวนมายังไม่ห้าโมงก็ถึง |
กระบวนวอช้าอิกครึ่งโมงถึงก่อน |
กระบวนรถถึงเย็นเห็นรอนรอน |
ช่างเหนื่อยอ่อนนี่กระไรไม่มีแรง |
เกวียนเสื้อผ้ายังไม่มาจนปานนี้ |
หิวเต็มที่นั่งกร่องจนท้องแห้ง |
ที่พลับพลาฝาเลื่อนเหลือสำแดง |
จะไว้แจ้งต่อพรุ่งนี้มีเวลา |
เวลาค่ำเสด็จขึ้นนมัสการ |
ที่สถานพระแท่นทางข้างหน้า |
ให้นิมนต์พระสงฆ์บันดามา |
สวดมนต์ห้าสิบแปดเปนจำนวน |
ทรงถวายสบงแลจีวร |
ผ้าห่มนอนที่ผู้ใหญ่ก็ได้ถ้วน |
จุดเทียนรายรอบกำแพงแต่งตามควร |
เสด็จด่วนกลับแลพักสักยามปลาย ฯ |