๏ ตื่นแต่เช้าหนาวเจ็ดสิบเอ็ดถ้วน |
ได้ยินสรวลเสกันสนั่นเสียง |
ข้างในที่ขี้อายชม้ายเมียง |
ได้หลบเลี่ยงเล่นน้ำตามสบาย |
ทอดพระเนตรธาราเวลาเช้า |
แล้วรีบเร้าลงนาวาช้ากลัวสาย |
คอนโดล่าลำน้อยค่อยเคลื่อนคลาย |
ลอยถึงท้ายฉนวนกั้นคั่นข้างใน |
แล้วแจวทวนสวนทางพลางประพาส |
ทางน้ำหยาดหยดเย็นกระเซ็นใส |
รุกขชาติชื้อชัดรบัดใบ |
ที่ต้นใหญ่ร่มแสงสุริยัน |
ต้นย่อมย่อมล้อมอ่างวางจังหวะ |
ได้ระยะทั่วทุกแห่งเหมือนแกล้งกลั่น |
อยากชมอยู่ดูให้อิ่มสักสามวัน |
จนใจครันขัดข้องต้องจำจร |
เสด็จลงทรงเรือที่นั่งใหญ่ |
แจวครรไลพลางดูหมู่ศิขร |
ถัดพุมาท่าคล้ายถ้ำกินร |
เปนโพรงพรอนเฉนียนผาดูน่าชม |
ไปคุ้งหนึ่งถึงที่ธาราหลัง |
อยู่ริมฝั่งวารีอย่างมีถม |
ที่ฟากเหนือเนินเห็นเช่นพนม |
แต่ล้วนร่มไม้ใหญ่มีใบชิด |
ไปข้างหน้ามีศิลาเปนตลิ่ง |
ดูงามจริงต่างต่างอย่างเบือนบิด |
เยื้องยักย้ายหลายท่าน่าพินิจ |
ยาวต่อติดสามเส้นเปนประมาณ |
แล้วมีหาดลาดล้วนศิลาแผ่น |
แท่งทึบแน่นไม่มีร้าวขาวสอ้าน |
ดูก็เปนประหลาดครั้นเกิดบันดาล |
เหมือนเชิงชานหาดทรายลาดคล้ายกัน |
ทางต่อนี้มีเนินเปนเทินผา |
มีศิลาต่อขึ้นไปใหญ่มหันต์ |
มีเทือกแถวแนวเนื่องเรื่องเรียงรัน |
อิกฟากนั้นก็ศิลาหนาเรียงราย |
แห่งหนึ่งเห็นเปนโพรงเหมือนโค้งถ้ำ |
ดูมืดดำสอบในไม่ผึ่งผาย |
อิกฟากหนึ่งน้ำพุพุ่งกระจาย |
ลงที่ชายชโลธรย้อนยอกมา |
ยื่นขึ้นไปได้ประมาณสักสามศอก |
ที่ปากกรอกเห็นตระนักสักศอกกว่า |
แล้วไหลซาบไปอิกทางข้างเคียงมา |
ที่ตรงหน้ากอตะไคร้ใบปกบัง |
ที่บนฝั่งเยื้องมาหน้าผาใหญ่ |
ศิลาหลุดกระเด็นไปเปนเกาะตั้ง |
ที่พรุนโพรงโต้งเติบเต็มกำลัง |
รายบนฝั่งติดพืดเปนยืดยาว |
ที่ฝั่งใต้คล้ายลำเนาเขาตกน้ำ |
ศิลาคร่ำชลเซาะจนสีขาว |
ที่คอดกิ่วกร่อนเห็นเปนรนาว |
รทมท่าวทุ่มขวางข้างคงคา |
แม่น้ำน้อยตอนนี้งามดีมาก |
ทั้งสองฟากล้วนเปนเนินเทือกเทินผา |
แม่น้ำไปในระหว่างบรรพตา |
ต้นพฤกษาเรียงกันเปนหลั่นลด |
ชายวารีมีต้นตะไคร้น้ำ |
ขึ้นประจำรายทางสองข้างหมด |
ถัดขึ้นไปเปนแถวไผ่ไม้ตะพด |
เห็นปรากฎเหมือนอย่างชั้นคั่นบันได |
ที่ชันสูงฝูงทุมาพฤกษาชาติ |
เดียรดาษยางยูงสูงไสว |
เห็นตลอดลำต้นจนข้างใน |
สูงขึ้นไปซ้อนสลับลำดับกัน |
ถัดไม้ใหญ่ไปแล้วจึงถึงตัวเขา |
ล้วนต่างเค้าต่างที่มีแผกผัน |
บ้างเปนเพิงเวิ้งผาบ้างหน้าชัน |
ต้นไม้นั้นโกร๋นแห้งด้วยแรงร้อน |
ไม่ปกคลุมหุ้มหน้าศิลาเด่น |
แต่ใช่เช่นโกร๋นโกร๋นโกนฤๅถอน |
เหมือนไม้ดัดจัดลำเนาเขาละคอน |
เขาข้างหลังซับซ้อนจนสุดตา |
ที่ท้ายแก่งแห่งนี้นั้นมีหาด |
อิกฝั่งหนึ่งผึ่งผงาดเปนหน้าผา |
น้ำเปนเรี่ยวเชี่ยวดะระขึ้นมา |
จนถึงตัวแก่งลว้ามีเกาะกัน |
อันตัวแก่งแฝงฝั่งตวันออก |
เปนละลอกกระทบฝั่งดังเลื่อนลั่น |
ล้วนศิลาในวารีมีมากครัน |
น้ำตรงนั้นลึกนักต้องชักพวน |
พ้นหัวแก่งถึงตำแหน่งห้วยลว้า |
ก้อนศิลาริมวารีมีทั่วถ้วน |
พุลว้าธาราคำรณครวญ |
พอเรือจวนใกล้เข้าไปก็ได้ยิน |
เสด็จลงเรือน้อยคล้อยประเวศ |
ทอดพระเนตรน้ำกระจายสู้สายสินธุ์ |
สูงประมาณห้าศอกบอกรบิล |
ต้นพุหินก้อนตั้งบังโพรงใน |
กว้างประมาณสี่ศอกข้างนอกเห็น |
แล้วเรียวเปนปากชนางไม่กว้างใหญ่ |
กระทบกระทั่งอ่างชั้นเปนหลั่นไป |
โดยยาวได้เห็นงามสักสามวา |
สายวารีนี้แรงไม่แกล้งกล่าว |
กระทบท่าราวกระเษียรเสียงซู่ซ่า |
หนึ่งเมื่อใครไปบรรลุพุลว้า |
เห็นภูผารอบข้างอย่างคอกวง |
เหมือนจะไปไหนไม่ได้ให้มืดมิด |
เพราะคิรีทุกทิศน่าพิศวง |
แลรอบข้างเหมือนอย่างภาพวาดผจง |
น่างวยงงเพลิดเพลินเจริญใจ |
มีละเมาะศิลาไลยใกล้ธารน้ำ |
แล้วเรือซ้ำผ่านทางข้างไศล |
เกาะศิลานาวาเลียบครรไล |
หน้าผาใหญ่ชโงกเงื้อมเอื้อมลงมา |
แล้วยาวค้อมอ้อมไปตามท้องคุ้ง |
มีเขาวุ้งเวียนวัดสกัดหน้า |
ไปหน่อยหนึ่งถึงแก่งลูกลว้า |
น้ำเชี่ยวมาพ้นหาดดาดลงไป |
ฝั่งทักษิณถิ่นนี้มีเพิงผา |
เขาขวางหน้าชันตั้งทั้งสูงใหญ่ |
รอยน้ำกัดเปนกาบมีคราบไคล |
กอตะไคร้แหลมเลี้ยวเปนเรี่ยวแรง |
เลี้ยวหาดคุ้งวังวงตรงหน้าผา |
ที่เรียกว่าถ้ำกินรอักษรแถลง |
เปนวุ้งโว้งโปล่งปล่องช่องพลิกแพลง |
เห็นสองแห่งเล็กใหญ่ไม่ไกลกัน |
ถ้ำน้อยนั้นคั่นศิลาเปนทีแท่น |
มีม่านแขวนสองไขตามใฝ่ฝัน |
ส่วนถ้ำใหญ่เพิงยื่นมีพื้นยัน |
เปนช่องชั้นหลืบชวากเปนฉากบัง |
มีพวงภู่ธาราระย้าย้อย |
เหมือนแกล้งห้อยไว้ให้ชมพอสมหวัง |
แต่ห้องนอกยังเช่นนี้ที่ในรัง |
จะสะพรั่งพรายตายิ่งกว่านี้ |
ตรงฝากันขั้นห้องช่องคูหา |
เหมือนวิชาเยนทร์จำลองช่องที่นี่ |
ไปอวดอ้างเปนวิชาปัญญาดี |
ดูท่วงทีแลซึ้งถึงข้างใน |
แต่มืดคลุ้มชอุ่มอับพยับแสง |
กระจ่างแจ้งจะแลลอดตลอดได้ |
กินรีที่จะซ่อนอยู่ภายใน |
ทำไฉนจะได้ชมให้สมปอง |
พระอุณรุทพุชพงศ์เธอทรงฤทธิ |
เหาะไปชิดเชยชมประสมสอง |
ที่ถ้ำน้อยนางหัวหน้าพาประคอง |
เมื่อจากปล่องเหวใหญ่ไล่ตกลง |
แล้วพาคู่สู่สุวรรณคูหา |
ซ้ำได้สี่กินราสมประสงค์ |
ฉันเปนหญิงจริงหนะใจไม่จำนง |
จะเหาะวงเวียนไล่ให้รำคาญ |
จะขอเห็นพอเปนที่เจริญเนตร |
ให้วิเศษกว่าผู้อยู่สถาน |
นึกร่ำเรียกอยู่ในใจได้เปนนาน |
โอ๊ยนิทานกำลังปลื้มฉันลืมไป |
พอรู้สึกนึกได้ดูใหม่เล่า |
เห็นเปนเค้าท่าที่วารีไหล |
เปนพวงภู่ดูอาบล้วนคราบไคล |
ท่าน้ำใหญ่เห็นจะถั่งหลั่งลงมา |
เขาว่าเปนเช่นท้องช้างอย่างดินราบ |
มีน้ำอาบมาต่างหากจากภูผา |
ที่หน้าตั้งเปนแต่ฝั่งเทือกศิลา |
ฟังที่ว่านี้ก็เห็นเปนชอบกล |
แต่ขอบฝั่งเจียวยังสูงสามสี่เส้น |
แหงนเขม้นฅอตั้งยังฉงน |
ไม่ยลพื้นปัฐพีที่เบื้องบน |
เห็นแต่ต้นพฤกษาดาษดาราย |
ยามหน้าฝนดลเวลาธารามาก |
จะลั่นหลากไหลหยาดไม่ขาดสาย |
ถึงสี่เส้นเจียวจะหลั่งพลั่งกระจาย |
หาที่คล้ายคลึงยากลำบากนา |
ที่ริมนี้มีพุกินรเล่น |
น้ำใสเย็นกระจ่อยร่อยน้อยนักหนา |
ที่ริมนี้มีหาดพื้นศิลา |
สำหรับนางกินราได้พ้อนรำ |
แล้วถึงแก่งถ้ำผีที่น้ำเชี่ยว |
พอตกเลี้ยวถ้ำกินรงอนงามขำ |
ไปอยู่หลังตั้งทะยานตระหง่านง้ำ |
เห็นเขาถ้ำผีมาอยู่หน้าเรือ |
ตามฝั่งนี้มีศิลาก้อนใหญ่ใหญ่ |
เปนเขาบังฝั่งไปจนทิศเหนือ |
ไม่มีพื้นไพรสณฑ์มาปนเจือ |
แจวจ้ำเฝือฟูมฟองล่องลอยมา |
ถึงเชิงชานคิรีถ้ำผีใหญ่ |
ตรงขึ้นไปได้เห็นเปนเพิงผา |
แลสลับสับสอดสีศิลา |
เห็นหลากตาดำระคนปนสกาว |
ที่ตรงหน้ามีศิลาพอเรี่ยน้ำ |
สพานทำราวผจงที่ทรงสาว |
บันไดตรงถึงถ้ำทำเยิ่นยาว |
เห็นสูงราวสิบแปดวาดูท่าทาง |
มีข้างในไปตามเสด็จน้อย |
ค่อยเคลื่อนคล้อยตามลำดับขยับย่าง |
ให้หวั่นหวิววิญญาน่ารคาง |
แลข้างล่างเสียวใจกระไรเลย |
ถึงปากปล่องช่องคูหาห้าวาเศษ |
ได้สังเกตในชวากเปนปากเผย |
ที่ชั้นนอกออกมาแปดวาเลย |
ส่วนสูงเงยหน้าผงกเห็นหกวา |
เปนสองตอนท่อนในนั้นใหญ่กว้าง |
สิบวาขวางข้างสูงเสมอหน้า |
เปนเสาโพรงโปร่งปล่องช่องศิลา |
ภู่ธารายืนย้อยห้อยเรียงรัน |
ที่พื้นถ้ำเปนชง่อนก้อนไศล |
สูงเข้าไปในถ้ำเปนลำคั่น |
ที่พื้นต่ำช้ำแตกแยกจากกัน |
จะผายผันไม่สดวกพลวกเปนโพรง |
ไม่ใคร่มีแซกซอกที่ออกเข้า |
ดูว่างเปล่าที่ตรงกลางกว้างโถงโถง |
ก้าวไปมาแผ่นศิลามักคลอนโคลง |
เพราะพื้นโปร่งก้อนผาหน้าไม่ตรง |
มีช่องหนึ่งที่จะพึงพอเลี้ยวลัด |
ก็เดินตัดออกใกล้ใกล้ไม่ไหลหลง |
ผนังรอบขอบถ้ำน้ำอาบลง |
ตะไคร่คงเขียวคราประจำปี |
ในถ้ำนี้มีของควรคิดบ้าง |
คือรูปรางไม้รีมีอยู่สี่ |
เปนรอยขุดไม้ทั้งต้นจนลึกดี |
ต้นรางมีที่ถือฤๅลากชัก |
ถากสี่เหลี่ยมเทียมเปนเช่นรูปเดือย |
แต่ผุเปื่อยปลายรางบางกร่อนหัก |
ห้องในสองกับที่ช่องหน้าเพิงพัก |
อิกอันปักไว้บนช่องกองศิลา |
คิดคาดการประมาณเห็นเปนต่างต่าง |
บางคนเห็นเปนรางพระย้อมผ้า |
ของพระสงฆ์แต่โบราณนมนานมา |
ดูทีว่าจะไปทางข้างคนดี |
บางคนเห็นว่าเปนหัวเรือโขน |
มาหักโค่นผุพังตรงฝั่งนี้ |
ครั้นรดูน้ำมาสายวารี |
พัดมาค้างอยู่บนนี้แต่นานมา |
ไม่เห็นจริงเลยว่าน่าสงไสย |
พระที่ไหนจะได้ขึ้นมาย้อมผ้า |
สูงเกือบเส้นเห็นลำบากยากกายา |
ทั้งน้ำท่าจะไปตักเกือบชักใจ |
เรื่องหัวเรือนั้นก็เหลือจะคาดคิด |
ถึงน้ำปีวิปริตผิดวิไสย |
สิบแปดวาเจียวจะหลากมากเกินไป |
คนคงอยู่ไม่ได้ในกาญจน์บุรี |
จะว่าใหม่ให้ดีกว่านี้บ้าง |
ก็ต้องอ้างไบเบลเห็นต้องที่ |
ว่าครั้งพระยโฮวาเจ้าธาตรี |
เกลียดสัตวทั่วธรณีว่าไม่ยอ |
ยังเหลือแต่โนฮาปาเสมอ |
มิได้โผลอดีดขว้างอยู่ข้างบ่อ |
จึงพาวพาวราวเรื่องที่เคืองพอ |
ให้รู้ตัวทันต่อถังรองแพ |
เรียกว่าอ๊ากฝากสัตวที่ทรงยัว |
หลายโกฏิตัวเต็มยัดอัดกันแน่ |
ดูดเรือกินฤๅอย่างไรไม่รู้แท้ |
พอเต็มแต้แล้วให้ฝนหล่นลงมา |
มากจนล้นตลอดถึงยอดเขา |
พวกอเสทุกเหล่าตายทั่วหล้า |
ครั้นน้ำลดเรือเลื่อนค่อยเคลื่อนคลา |
ยอดภูผายับยั้งตั้งบนนั้น |
ถ้าตกลงคงเห็นว่าเปนเรือ |
ก็คงเมื่อโนฮาเปนแม่นมั่น |
แต่จะนับลำดับปีถึงสี่พัน |
เปนการอิมริมกันกับเรื่องราว |
บางคนเดาเค้าความงามกว่านี้ |
ดูท่วงทีเข้าเค้าที่เขากล่าว |
ว่าเปนรางวางรองมูลค้างคาว |
บินเกรียวกราวอยู่เปนหมู่ดูมากมี |
ยังหนักใจอยู่แต่ไม้โตถนัด |
จะลากคัดเข็นขึ้นไปก็ใช่ที่ |
ถ้าไม้ใหญ่อยู่หน้าคูหานี้ |
ตัดลงทำเห็นทีจะพอใช้ |
ประพาสเสร็จเสด็จกลับเรือที่นั่ง |
ออกจากฝั่งหน้าคิรีถ้ำผีใหญ่ |
มีเขาตั้งอยู่ที่ฝั่งเยื้องกันไป |
เทือกไศลตลอดมาหน้าผาชัน |
ข้างฝั่งซ้ายหาดทรายอยู่ริมฝั่ง |
ตะไคร้บังปกปิดไม่ผิดผัน |
พุมีน้อยตกลงมาตรงกัน |
โดยสูงนั้นหกศอกซอกเหลี่ยมบัง |
ดูตามขวางกว้างประมาณสองศอกหย่อน |
ตกอาบก้อนศิลามาบนหลัง |
เปนสองทางตอนล่างรวมประดัง |
ตกริมฝั่งนทีสีขาวงาม |
ไปหน่อยหนึ่งก็พอถึงที่ตัวถ้ำ |
เปนเพิงง้ำดินนูนพูนออกหลาม |
ว่ามีงูอยู่ในนั้นเขาครั่นคร้าม |
เที่ยวติดตามได้มิได้ไม่แจ้งการ |
ให้รอเรือพระที่นั่งยั้งอยู่ท่า |
ทรงนาวาน้อยดลยลสถาน |
มิได้จัดถ้ำนี้ไม่มีตพาน |
จอดที่ด้านใต้ได้ขึ้นง่ายดี |
เปนซอกกว้างไปข้างหลังกองดินใหญ่ |
ต้องขึ้นไศลหน่อยหนึ่งก็ถึงที่ |
ล้วนกิ่งไผ่ไหลมาตามวารี |
วนมาติตอยู่ตรงนี้กองพเนิน |
เหยียบลงไปไม่ถึงพื้นยืนยวบยาบ |
ดังสวบสาบโครมครามยามเดินเหิน |
เพิงกว้างแปดวาได้เห็นไม่เกิน |
จะประเมินลึกเข้าไปในห้าวา |
แล้วมีปล่องช่องโปร่งตรงกลางถ้ำ |
เห็นดำดำกว้างข้างนอกสามศอกกว่า |
แต่กลัวงูอยู่ในนั้นพรั่นวิญญา |
ทั้งไม่น่าจะสนกบุกต่อไป |
เสด็จกลับจับขีดอัคคีจ่อ |
ด้วยเชื้อล่อทรงเห็นเว้นไม่ได้ |
เปลวแวบแปลบเดียวประเดี๋ยวใจ |
เสด็จถึงที่นั่งใหญ่ไฟลุกโพลง |
เลี้ยวแหลมไปคุ้งหนึ่งถึงเกาะใหญ่ |
ต้นตะไคร้มีบ้างแต่อย่างโปร่ง |
น้ำเชี่ยววนจนต้องใช้เชือกโยง |
เห็นเขาโต้งเติบตั้งบังหนทาง |
เขากินรผ่อนไพล่ไปข้างหลัง |
พวกมอญตั้งชื่อแก่งแกล้งกล่าวอ้าง |
ว่าน้ำวนจนเปนลายรายรางราง |
ชื่อแก่งช่างทองสลักประจักษ์นาม |
พ้นแก่งไปทิศใต้ศิลาพรุน |
กลิ้งเกลื่อนวุ่นใกล้กระแสแลออกหลาม |
เปนตอนตอนมิได้ห่างบ้างติดลาม |
เกาะอิกสามตำบลมีที่ทางมา |
จึงถึงห้วยกระโถนทองเปนคลองแห้ง |
แล้วข้างแก่งพระรเบิดเกิดกั้นหน้า |
เปนหาดกรวดรวดเรียวน้ำเชี่ยวมา |
ถึงหาดสูงนาวาเลี้ยวครรไล |
ที่ท้องคุ้งมุ่งเขม้นเห็นน้ำตก |
สูงสักหกศอกออกซอกไศล |
จากศิลาสองก้อนข้างตอนใน |
มีถ้ำใหญ่พื้นเปนบ่อขังท่อธาร |
คูปากกว้างข้างนอกสองศอกกว่า |
มีมัจฉาตัวใหญ่ในลหาน |
ว่ายสู้สายน้ำเชี่ยวเที่ยวสำราญ |
เสียงชลฉานฉ่าก้องห้องคิรี |
ที่สายชลล้นลงตรงก้อนผา |
เปนลดหลั่นกันลงมาจนถึงที่ |
ยาวประมาณสิบศอกออกนที |
แต่วารีอยู่ข้างน้อยเดินหง่อยไป |
ทิพากรร้อนกล้าเวลาบ่าย |
แวะสรงสายชลธีที่หลั่งไหล |
สักครู่เดียวมิได้ช้ารีบคลาไคล |
ผ่านหาดใหญ่อิกทั้งวังฝั่งศิลา |
ล่วงละเมาะเกาะหนึ่งจึงถึงหาด |
ดูต่ำลาดไม่สู้กว้างขวางหน้าท่า |
สระสี่มุมมีวิถีทางลีลา |
คนไปมาตัดไม้ไม่ไกลนัก |
ว่าสองสามร้อยเส้นเปนกำหนด |
ป่าปรากฎว่าเปนที่มีไม้สัก |
แต่ไม้ใหญ่ไม่ใคร่มีที่ฟันชัก |
ทางกุกกักช้างลากลำบากครัน |
ที่ตรงหาดนั้นประหลาดกว่าที่อื่น |
แม้ขุดพื้นที่ตรงไหนร้อนที่นั่น |
สักคืบหนึ่งถึงน้ำก็มีควัน |
ตวงด้วยขันตั้งไว้นานไม่เย็น |
ยิ่งริมน้ำซ้ำร้อนกว่าตอนบก |
ชายหาดตกในนทีมีควันเห็น |
ถูกสายทางอย่างไรจึงได้เปน |
ไม่รู้เช่นรู้ชนิดคิดสงกา |
ต่อขึ้นไปเกาะตะไคร้อิกทั้งเรี่ยว |
ไม่ลดเลี้ยวตลิ่งเหนือเจือก้อนผา |
เขาป้อมขวางอยู่ข้างหน้านาวา |
ทัศนาเขากินรข้างตอนท้าย |
เกาะใกล้กันปันระยะสระสี่มุม |
แล้วเกาะซุ้มตะไคร้มีเปนที่หมาย |
ถึงแก่งป้อมอ้อมทางไปข้างซ้าย |
ศิลาชายฝั่งเห็นเปนโพรงโต |
เหมือนเช่นห้วยด้วยวารีมีในนั้น |
แต่ไปตันมิใช่คลองเปนช่องโหว่ |
ต่อตอนนี้มีศิลาท่าโกโร |
ตั้งจงโก้เกะกะระขึ้นไป |
ต่อตอนนี้มีเกาะอิกแห่งเล่า |
เรือต้องเข้าแก่งน้ำตื้นคนยืนได้ |
เปนสองช่องร่องเหนือเรือครรไล |
ถ่อก็ใช้ยังไม่พ้นคนพยุง |
มีหาดกรวดแลศิลาหนากว่าอื่น |
ทั้งน้ำตื้นต่อขึ้นไปไม่หมดยุ่ง |
น้ำเชี่ยวจัดนี่กระไรไปเกือบคุ้ง |
รีบหมายมุ่งเขม้นมาตั้งหน้าแจว |
ต่อไปมีเกาะแก่งทั้งแอ่งห้วย |
ชื่องิ้วด้วยกันทั้งหมดจดเปนแถว |
ไม่เห็นต้นสิมพลีมีวี่แวว |
จนคลาศแคล้วไปพ้นตำบลนี้ |
ตัวเขาป้อมอ้อมมาอยู่ภายหลัง |
ข้างหน้าเขาวังเขมรเห็นถ้วนถี่ |
ซ้ำมีเรี่ยวเชี่ยวขวางทางนที |
ท่าก็มีเว้นไม่ได้ใช้ชื่อเดียว |
หาดกรวดติดต่อไปได้คุ้งหนึ่ง |
แล้วจึงถึงเกาะปลายสายน้ำเชี่ยว |
ชื่อว่าแก่งหางนาคลำบากเจียว |
ชายเฟือยเลี้ยวเปนชวากบากเข้าไป |
น้ำยิ่งเชี่ยวเทียวทวนสาวพวนถ่อ |
หนทางต่อขึ้นไปนี้มีไศล |
สุมอยู่ที่ริมฝั่งทางครรไล |
พวกตัดไม้ขึ้นไปตั้งริมฝั่งชล |
มีเรือนบ้างอย่างกระท่อมย่อมย่อมอยู่ |
เห็นคนผู้นั่งหน้าท่าไพรสณฑ์ |
หาดศิลาครุคระระกะปน |
ตลอดจนศิลาดาดกลาดเกลื่อนมา |
อิกคุ้งหนึ่งถึงแก่งตากงทอ |
น้ำเชี่ยวปร๋อวังเขมรเห็นขวางหน้า |
อิกคุ้งหนึ่งก็พอถึงที่พลับพลา |
อยู่ที่หน้าหาดประจิมริมวารี |
ที่ฟากฝั่งวังเขมรมีเขาใหญ่ |
หน้าผาใกล้ชลธารผ่านสองสี |
ดำกับขาวพราวอร่ามดูงามดี |
ที่ตรงนี้ลึกล้ำน้ำไม่แรง |
หัวคิรีมีท่อทางอุทก |
ไหลหลั่งตกใต้ผามาทางแฝง |
กว้างสี่ศอกบอกขนาดคาดแสดง |
ที่เห็นแจ้งสามวามาตามรอย |
เปนเหลี่ยมแง่กระแสใสไหลกระทั่ง |
ขาวพรั่งพรั่งสาดกระเซนดูเปนฝอย |
ตกหลังน้ำพร่ำพรูดูพร่างพร้อย |
มิใช่น้อยเสียงสนั่นลั่นไปไกล |
เสด็จลงทรงเรือคอนโดล่า |
แต่แก่งตากงทอพอมาใกล้ |
ถึงที่ห้าโมงถ้วนด่วนครรไล |
เสด็จไปทัศนาที่หน้าธาร |
ผูกแพลอยน้อยไว้ที่ใกล้ฝั่ง |
ด้วยคิดหวังว่าจะลงสรงสนาน |
แต่ท่าทางอยู่ข้างจะกันดาร |
ต้องคิดอ่านรองวักตักวารี |
เพราะธารต่ำน้ำตกมาตามลาด |
แพจอดขาดออกมาไกลไม่ถึงที่ |
เสด็จข้ามฟากฝั่งมาข้างนี้ |
ประทับที่ปะรำหน้าพลับพลาพลัน |
เสด็จออกนอกม่านชานเฉลียง |
พวกกะเหรี่ยงสระสี่มุมกลุ้มสนั่น |
เดินมาเฝ้าถึงที่นี่มีอนันต์ |
หมดด้วยกันเห็นจะกว่าห้าสิบคน |
ของถวายรายบาญชีมีต่างต่าง |
เปนของอย่างมีในป่าพนาสณฑ์ |
ฉันเห็นว่าน่ารู้ดูชอบกล |
จึงคัดย่นเครื่องยามาว่าไว้ |
ว่านกีบแรดรากอบเชยแลแฝกหอม |
เถารย่อมขมิ้นเครือเจือหางไหล |
ทั้งแดงเผือกเปลือกดาราเอามาใช้ |
อิกเปล้าน้อยเปล้าใหญ่ใบกระวาน |
ต้นพระยามือเหล็กลักกระจั่น |
เนียมเถาคันหัวบัวบกยกชื่อขาน |
รากเจตมูลเพลิงเถาสค้าน |
คุคะว่านน้ำใส่ในชลอม |
ลูกสมอพิเภกอเนกหลาย |
ลูกประคำดีควายหัวเปราะหอม |
ต้นเนรพูสีก็มีพร้อม |
เขาวางล้อมชลอมมามหาสดำ |
รากตเนช้างงาเดียวเที่ยวเสาะหา |
ต้นพระยารมันหมั่นพร้องพร่ำ |
ต้นอุ้มลูกดูหนังยังอิกคำ |
ต้นไม้ชำระพระร่วงพวงเดียวกัน |
เปลือกคิ้วนางอย่างสำหรับกับกินหมาก |
เคยมีมากไม่สู้ฝาดรสชาดขยัน |
กำลังกินอยู่เดี๋ยวนี้ทุกวี่วัน |
แรกเห็นนั้นที่สำนักปักกิเลน |
นกที่มีมาวันนี้แต่ไก่ฟ้า |
กับนกเขาสี่ห้าฉันได้เห็น |
ประทานเงินแจกให้มิได้เว้น |
ต่างตื่นเต้นเปนที่ยินดีครัน |
เรือประเทียบทอดปะรำพอสำเร็จ |
ก็เสด็จด้วยข้างในตามผายผัน |
ลงในลำที่นั่งทรงองค์สำคัญ |
ทรงตีกันเชียงไปในนที |
ทอดพระเนตรน้ำตกวังเขมร |
ให้ชัดเจนเห็นถนัดกว่าที่นี่ |
เสด็จกลับพลับพลาเกือบราตรี |
ประทับที่เฉลียงหน้าพลับพลาใน |
เวลาค่ำมีรำอย่างกะเหรี่ยง |
ไม้รวกเรียงสองลำเลือกใหญ่ใหญ่ |
อิกสี่คู่เรียงวางขวางกันไป |
คนจับไม้สี่คู่อยู่ประจำ |
มีคนเต้นเล่นกาวสอดท้าวย่าง |
ลงในหว่างลำไม้ไม่ให้ถลำ |
กระแทกไม้สองครั้งจังหวะนำ |
ที่สามซ้ำจึงกระทบปรบมือกัน |
ที่ว่องไวก็ไม่ต้องไม้ตีขา |
ที่เล่อล่าท่าทางอยู่ข้างขัน |
เหมือนไม้ต่อยตาตุ่มเราะรุมรัน |
ลงบีบคั้นข้อติ้วหน้านิ่วไป |
ผู้หญิงใช้ไม้อย่างอื่นคนยืนจ้อง |
กระทุ้งสองครั้งข้างนอกเหมือนบอกใบ้ |
ครั้งที่สามกระทุ้งตรงลงข้างใน |
ให้หัวไม้เข้าบรรจบกระทบกัน |
ผู้หญิงที่กิริยาอย่างไวว่อง |
ถือผ้าสองมือเต้นเห็นคมสัน |
คอยสอดเท้าก้าวหว่างจังหวะนั้น |
แล้วเลยหันตัวคว่างผ่านกลางวง |
ดูคล้ายรูปตุ๊กตาฝรั่งเต้น |
ถือผ้าเช่นนี้คิดน่าพิศวง |
เดิมก็จะข่าข่าอย่างป่าดง |
นี่มาลงรอยกันขันกระไร |
กะเหรี่ยงเต้นก็ต้องเห็นว่าอย่างป่า |
ฝรั่งท่างามงดไปหมดได้ |
ถ้าเต้นพลาดเท้าคลาศจังหวะไป |
ก็ถูกไม้กระทบปวดจนซวดเซ |
กะเหรี่ยงนี้มีวิชามาเท่านั้น |
ดูสนุกสนานกันต่างสรวลเส |
ได้ผ้าลายแพรห่มสมคเน |
ทั้งเงินเทประทานให้ไปเปนกอง |
พลับพลานี้ท่วงทีก็พอใช้ |
คิดทั้งเฉลียงได้เปนห้าห้อง |
หันด้านรีลงน้ำตามทำนอง |
ปะรำรองมาอิกชั้นมีบันได |
ถัดนั้นจึงถึงปะรำเรือที่นั่ง |
เรือประเทียบทอดสพรั่งยืดยาวใหญ่ |
ทั้งพื้นฝาพลับพลาข้างหน้าข้างใน |
ใช้ไม้ไผ่สับฟากด้วยมากมี |
พระอมรมหาเดชเขตรนายบ้าน |
กำกับให้ทำการอยู่ที่นี่ |
พระผลกดิฐบดี |
เจ้าบุรีกำกับพลคนทำงาน |
เวลาเย็นเห็นลิงมาโลดไล่ |
อยู่บนไหล่ภูผาตรงหน้าฉาน |
ชนีร้องก้องพงในดงดาน |
วิเวกหวานวาบวับจับฤไทย |
บนยอดเขาเอาอัคคีไปจี้จ่อ |
ลามกิดต่อต้นหญ้าพฤกษาไหม้ |
ดูวูบวาบปลาบแดงด้วยแสงไฟ |
ติดต่อไปไม่รู้ดับจนหลับนอน |
ชอุ่มฝนทนไม่ไหวซ้ำไฟเผา |
ยิ่งร้อนเร่าขึ้นหนักหนากว่าแต่ก่อน |
ว่าข้างบนฝนคลุ้มชุ่มดินดอน |
น้ำกลับผ่อนขึ้นอิกคืบเขาสืบมา |
เมื่อก่อนฝนยังไม่มาธาราลด |
โดยกำหนดตาเห็นเปนคืบกว่า |
ครั้นฝนมีวารีกลับขึ้นมา |
จบสาราส่วนวันนี้มีเรื่องราว ฯ |