วัน ๕ ฯ๘ ๒ ค่ำ

วัน ๕ ๒ ค่ำ

๏ ตื่นแต่เช้าหนาวเจ็ดสิบเอ็ดถ้วน ได้ยินสรวลเสกันสนั่นเสียง
ข้างในที่ขี้อายชม้ายเมียง ได้หลบเลี่ยงเล่นน้ำตามสบาย
ทอดพระเนตรธาราเวลาเช้า แล้วรีบเร้าลงนาวาช้ากลัวสาย
คอนโดล่าลำน้อยค่อยเคลื่อนคลาย ลอยถึงท้ายฉนวนกั้นคั่นข้างใน
แล้วแจวทวนสวนทางพลางประพาส ทางน้ำหยาดหยดเย็นกระเซ็นใส
รุกขชาติชื้อชัดรบัดใบ ที่ต้นใหญ่ร่มแสงสุริยัน
ต้นย่อมย่อมล้อมอ่างวางจังหวะ ได้ระยะทั่วทุกแห่งเหมือนแกล้งกลั่น
อยากชมอยู่ดูให้อิ่มสักสามวัน จนใจครันขัดข้องต้องจำจร
เสด็จลงทรงเรือที่นั่งใหญ่ แจวครรไลพลางดูหมู่ศิขร
ถัดพุมาท่าคล้ายถ้ำกินร เปนโพรงพรอนเฉนียนผาดูน่าชม
ไปคุ้งหนึ่งถึงที่ธาราหลัง อยู่ริมฝั่งวารีอย่างมีถม
ที่ฟากเหนือเนินเห็นเช่นพนม แต่ล้วนร่มไม้ใหญ่มีใบชิด
ไปข้างหน้ามีศิลาเปนตลิ่ง ดูงามจริงต่างต่างอย่างเบือนบิด
เยื้องยักย้ายหลายท่าน่าพินิจ ยาวต่อติดสามเส้นเปนประมาณ
แล้วมีหาดลาดล้วนศิลาแผ่น แท่งทึบแน่นไม่มีร้าวขาวสอ้าน
ดูก็เปนประหลาดครั้นเกิดบันดาล เหมือนเชิงชานหาดทรายลาดคล้ายกัน
ทางต่อนี้มีเนินเปนเทินผา มีศิลาต่อขึ้นไปใหญ่มหันต์
มีเทือกแถวแนวเนื่องเรื่องเรียงรัน อิกฟากนั้นก็ศิลาหนาเรียงราย
แห่งหนึ่งเห็นเปนโพรงเหมือนโค้งถ้ำ ดูมืดดำสอบในไม่ผึ่งผาย
อิกฟากหนึ่งน้ำพุพุ่งกระจาย ลงที่ชายชโลธรย้อนยอกมา
ยื่นขึ้นไปได้ประมาณสักสามศอก ที่ปากกรอกเห็นตระนักสักศอกกว่า
แล้วไหลซาบไปอิกทางข้างเคียงมา ที่ตรงหน้ากอตะไคร้ใบปกบัง
ที่บนฝั่งเยื้องมาหน้าผาใหญ่ ศิลาหลุดกระเด็นไปเปนเกาะตั้ง
ที่พรุนโพรงโต้งเติบเต็มกำลัง รายบนฝั่งติดพืดเปนยืดยาว
ที่ฝั่งใต้คล้ายลำเนาเขาตกน้ำ ศิลาคร่ำชลเซาะจนสีขาว
ที่คอดกิ่วกร่อนเห็นเปนรนาว รทมท่าวทุ่มขวางข้างคงคา
แม่น้ำน้อยตอนนี้งามดีมาก ทั้งสองฟากล้วนเปนเนินเทือกเทินผา
แม่น้ำไปในระหว่างบรรพตา ต้นพฤกษาเรียงกันเปนหลั่นลด
ชายวารีมีต้นตะไคร้น้ำ ขึ้นประจำรายทางสองข้างหมด
ถัดขึ้นไปเปนแถวไผ่ไม้ตะพด เห็นปรากฎเหมือนอย่างชั้นคั่นบันได
ที่ชันสูงฝูงทุมาพฤกษาชาติ เดียรดาษยางยูงสูงไสว
เห็นตลอดลำต้นจนข้างใน สูงขึ้นไปซ้อนสลับลำดับกัน
ถัดไม้ใหญ่ไปแล้วจึงถึงตัวเขา ล้วนต่างเค้าต่างที่มีแผกผัน
บ้างเปนเพิงเวิ้งผาบ้างหน้าชัน ต้นไม้นั้นโกร๋นแห้งด้วยแรงร้อน
ไม่ปกคลุมหุ้มหน้าศิลาเด่น แต่ใช่เช่นโกร๋นโกร๋นโกนฤๅถอน
เหมือนไม้ดัดจัดลำเนาเขาละคอน เขาข้างหลังซับซ้อนจนสุดตา
ที่ท้ายแก่งแห่งนี้นั้นมีหาด อิกฝั่งหนึ่งผึ่งผงาดเปนหน้าผา
น้ำเปนเรี่ยวเชี่ยวดะระขึ้นมา จนถึงตัวแก่งลว้ามีเกาะกัน
อันตัวแก่งแฝงฝั่งตวันออก เปนละลอกกระทบฝั่งดังเลื่อนลั่น
ล้วนศิลาในวารีมีมากครัน น้ำตรงนั้นลึกนักต้องชักพวน
พ้นหัวแก่งถึงตำแหน่งห้วยลว้า ก้อนศิลาริมวารีมีทั่วถ้วน
พุลว้าธาราคำรณครวญ พอเรือจวนใกล้เข้าไปก็ได้ยิน
เสด็จลงเรือน้อยคล้อยประเวศ ทอดพระเนตรน้ำกระจายสู้สายสินธุ์
สูงประมาณห้าศอกบอกรบิล ต้นพุหินก้อนตั้งบังโพรงใน
กว้างประมาณสี่ศอกข้างนอกเห็น แล้วเรียวเปนปากชนางไม่กว้างใหญ่
กระทบกระทั่งอ่างชั้นเปนหลั่นไป โดยยาวได้เห็นงามสักสามวา
สายวารีนี้แรงไม่แกล้งกล่าว กระทบท่าราวกระเษียรเสียงซู่ซ่า
หนึ่งเมื่อใครไปบรรลุพุลว้า เห็นภูผารอบข้างอย่างคอกวง
เหมือนจะไปไหนไม่ได้ให้มืดมิด เพราะคิรีทุกทิศน่าพิศวง
แลรอบข้างเหมือนอย่างภาพวาดผจง น่างวยงงเพลิดเพลินเจริญใจ
มีละเมาะศิลาไลยใกล้ธารน้ำ แล้วเรือซ้ำผ่านทางข้างไศล
เกาะศิลานาวาเลียบครรไล หน้าผาใหญ่ชโงกเงื้อมเอื้อมลงมา
แล้วยาวค้อมอ้อมไปตามท้องคุ้ง มีเขาวุ้งเวียนวัดสกัดหน้า
ไปหน่อยหนึ่งถึงแก่งลูกลว้า น้ำเชี่ยวมาพ้นหาดดาดลงไป
ฝั่งทักษิณถิ่นนี้มีเพิงผา เขาขวางหน้าชันตั้งทั้งสูงใหญ่
รอยน้ำกัดเปนกาบมีคราบไคล กอตะไคร้แหลมเลี้ยวเปนเรี่ยวแรง
เลี้ยวหาดคุ้งวังวงตรงหน้าผา ที่เรียกว่าถ้ำกินรอักษรแถลง
เปนวุ้งโว้งโปล่งปล่องช่องพลิกแพลง เห็นสองแห่งเล็กใหญ่ไม่ไกลกัน
ถ้ำน้อยนั้นคั่นศิลาเปนทีแท่น มีม่านแขวนสองไขตามใฝ่ฝัน
ส่วนถ้ำใหญ่เพิงยื่นมีพื้นยัน เปนช่องชั้นหลืบชวากเปนฉากบัง
มีพวงภู่ธาราระย้าย้อย เหมือนแกล้งห้อยไว้ให้ชมพอสมหวัง
แต่ห้องนอกยังเช่นนี้ที่ในรัง จะสะพรั่งพรายตายิ่งกว่านี้
ตรงฝากันขั้นห้องช่องคูหา เหมือนวิชาเยนทร์จำลองช่องที่นี่
ไปอวดอ้างเปนวิชาปัญญาดี ดูท่วงทีแลซึ้งถึงข้างใน
แต่มืดคลุ้มชอุ่มอับพยับแสง กระจ่างแจ้งจะแลลอดตลอดได้
กินรีที่จะซ่อนอยู่ภายใน ทำไฉนจะได้ชมให้สมปอง
พระอุณรุทพุชพงศ์เธอทรงฤทธิ เหาะไปชิดเชยชมประสมสอง
ที่ถ้ำน้อยนางหัวหน้าพาประคอง เมื่อจากปล่องเหวใหญ่ไล่ตกลง
แล้วพาคู่สู่สุวรรณคูหา ซ้ำได้สี่กินราสมประสงค์
ฉันเปนหญิงจริงหนะใจไม่จำนง จะเหาะวงเวียนไล่ให้รำคาญ
จะขอเห็นพอเปนที่เจริญเนตร ให้วิเศษกว่าผู้อยู่สถาน
นึกร่ำเรียกอยู่ในใจได้เปนนาน โอ๊ยนิทานกำลังปลื้มฉันลืมไป
พอรู้สึกนึกได้ดูใหม่เล่า เห็นเปนเค้าท่าที่วารีไหล
เปนพวงภู่ดูอาบล้วนคราบไคล ท่าน้ำใหญ่เห็นจะถั่งหลั่งลงมา
เขาว่าเปนเช่นท้องช้างอย่างดินราบ มีน้ำอาบมาต่างหากจากภูผา
ที่หน้าตั้งเปนแต่ฝั่งเทือกศิลา ฟังที่ว่านี้ก็เห็นเปนชอบกล
แต่ขอบฝั่งเจียวยังสูงสามสี่เส้น แหงนเขม้นฅอตั้งยังฉงน
ไม่ยลพื้นปัฐพีที่เบื้องบน เห็นแต่ต้นพฤกษาดาษดาราย
ยามหน้าฝนดลเวลาธารามาก จะลั่นหลากไหลหยาดไม่ขาดสาย
ถึงสี่เส้นเจียวจะหลั่งพลั่งกระจาย หาที่คล้ายคลึงยากลำบากนา
ที่ริมนี้มีพุกินรเล่น น้ำใสเย็นกระจ่อยร่อยน้อยนักหนา
ที่ริมนี้มีหาดพื้นศิลา สำหรับนางกินราได้พ้อนรำ
แล้วถึงแก่งถ้ำผีที่น้ำเชี่ยว พอตกเลี้ยวถ้ำกินรงอนงามขำ
ไปอยู่หลังตั้งทะยานตระหง่านง้ำ เห็นเขาถ้ำผีมาอยู่หน้าเรือ
ตามฝั่งนี้มีศิลาก้อนใหญ่ใหญ่ เปนเขาบังฝั่งไปจนทิศเหนือ
ไม่มีพื้นไพรสณฑ์มาปนเจือ แจวจ้ำเฝือฟูมฟองล่องลอยมา
ถึงเชิงชานคิรีถ้ำผีใหญ่ ตรงขึ้นไปได้เห็นเปนเพิงผา
แลสลับสับสอดสีศิลา เห็นหลากตาดำระคนปนสกาว
ที่ตรงหน้ามีศิลาพอเรี่ยน้ำ สพานทำราวผจงที่ทรงสาว
บันไดตรงถึงถ้ำทำเยิ่นยาว เห็นสูงราวสิบแปดวาดูท่าทาง
มีข้างในไปตามเสด็จน้อย ค่อยเคลื่อนคล้อยตามลำดับขยับย่าง
ให้หวั่นหวิววิญญาน่ารคาง แลข้างล่างเสียวใจกระไรเลย
ถึงปากปล่องช่องคูหาห้าวาเศษ ได้สังเกตในชวากเปนปากเผย
ที่ชั้นนอกออกมาแปดวาเลย ส่วนสูงเงยหน้าผงกเห็นหกวา
เปนสองตอนท่อนในนั้นใหญ่กว้าง สิบวาขวางข้างสูงเสมอหน้า
เปนเสาโพรงโปร่งปล่องช่องศิลา ภู่ธารายืนย้อยห้อยเรียงรัน
ที่พื้นถ้ำเปนชง่อนก้อนไศล สูงเข้าไปในถ้ำเปนลำคั่น
ที่พื้นต่ำช้ำแตกแยกจากกัน จะผายผันไม่สดวกพลวกเปนโพรง
ไม่ใคร่มีแซกซอกที่ออกเข้า ดูว่างเปล่าที่ตรงกลางกว้างโถงโถง
ก้าวไปมาแผ่นศิลามักคลอนโคลง เพราะพื้นโปร่งก้อนผาหน้าไม่ตรง
มีช่องหนึ่งที่จะพึงพอเลี้ยวลัด ก็เดินตัดออกใกล้ใกล้ไม่ไหลหลง
ผนังรอบขอบถ้ำน้ำอาบลง ตะไคร่คงเขียวคราประจำปี
ในถ้ำนี้มีของควรคิดบ้าง คือรูปรางไม้รีมีอยู่สี่
เปนรอยขุดไม้ทั้งต้นจนลึกดี ต้นรางมีที่ถือฤๅลากชัก
ถากสี่เหลี่ยมเทียมเปนเช่นรูปเดือย แต่ผุเปื่อยปลายรางบางกร่อนหัก
ห้องในสองกับที่ช่องหน้าเพิงพัก อิกอันปักไว้บนช่องกองศิลา
คิดคาดการประมาณเห็นเปนต่างต่าง บางคนเห็นเปนรางพระย้อมผ้า
ของพระสงฆ์แต่โบราณนมนานมา ดูทีว่าจะไปทางข้างคนดี
บางคนเห็นว่าเปนหัวเรือโขน มาหักโค่นผุพังตรงฝั่งนี้
ครั้นรดูน้ำมาสายวารี พัดมาค้างอยู่บนนี้แต่นานมา
ไม่เห็นจริงเลยว่าน่าสงไสย พระที่ไหนจะได้ขึ้นมาย้อมผ้า
สูงเกือบเส้นเห็นลำบากยากกายา ทั้งน้ำท่าจะไปตักเกือบชักใจ
เรื่องหัวเรือนั้นก็เหลือจะคาดคิด ถึงน้ำปีวิปริตผิดวิไสย
สิบแปดวาเจียวจะหลากมากเกินไป คนคงอยู่ไม่ได้ในกาญจน์บุรี
จะว่าใหม่ให้ดีกว่านี้บ้าง ก็ต้องอ้างไบเบลเห็นต้องที่
ว่าครั้งพระยโฮวาเจ้าธาตรี เกลียดสัตวทั่วธรณีว่าไม่ยอ
ยังเหลือแต่โนฮาปาเสมอ มิได้โผลอดีดขว้างอยู่ข้างบ่อ
จึงพาวพาวราวเรื่องที่เคืองพอ ให้รู้ตัวทันต่อถังรองแพ
เรียกว่าอ๊ากฝากสัตวที่ทรงยัว หลายโกฏิตัวเต็มยัดอัดกันแน่
ดูดเรือกินฤๅอย่างไรไม่รู้แท้ พอเต็มแต้แล้วให้ฝนหล่นลงมา
มากจนล้นตลอดถึงยอดเขา พวกอเสทุกเหล่าตายทั่วหล้า
ครั้นน้ำลดเรือเลื่อนค่อยเคลื่อนคลา ยอดภูผายับยั้งตั้งบนนั้น
ถ้าตกลงคงเห็นว่าเปนเรือ ก็คงเมื่อโนฮาเปนแม่นมั่น
แต่จะนับลำดับปีถึงสี่พัน เปนการอิมริมกันกับเรื่องราว
บางคนเดาเค้าความงามกว่านี้ ดูท่วงทีเข้าเค้าที่เขากล่าว
ว่าเปนรางวางรองมูลค้างคาว บินเกรียวกราวอยู่เปนหมู่ดูมากมี
ยังหนักใจอยู่แต่ไม้โตถนัด จะลากคัดเข็นขึ้นไปก็ใช่ที่
ถ้าไม้ใหญ่อยู่หน้าคูหานี้ ตัดลงทำเห็นทีจะพอใช้
ประพาสเสร็จเสด็จกลับเรือที่นั่ง ออกจากฝั่งหน้าคิรีถ้ำผีใหญ่
มีเขาตั้งอยู่ที่ฝั่งเยื้องกันไป เทือกไศลตลอดมาหน้าผาชัน
ข้างฝั่งซ้ายหาดทรายอยู่ริมฝั่ง ตะไคร้บังปกปิดไม่ผิดผัน
พุมีน้อยตกลงมาตรงกัน โดยสูงนั้นหกศอกซอกเหลี่ยมบัง
ดูตามขวางกว้างประมาณสองศอกหย่อน ตกอาบก้อนศิลามาบนหลัง
เปนสองทางตอนล่างรวมประดัง ตกริมฝั่งนทีสีขาวงาม
ไปหน่อยหนึ่งก็พอถึงที่ตัวถ้ำ เปนเพิงง้ำดินนูนพูนออกหลาม
ว่ามีงูอยู่ในนั้นเขาครั่นคร้าม เที่ยวติดตามได้มิได้ไม่แจ้งการ
ให้รอเรือพระที่นั่งยั้งอยู่ท่า ทรงนาวาน้อยดลยลสถาน
มิได้จัดถ้ำนี้ไม่มีตพาน จอดที่ด้านใต้ได้ขึ้นง่ายดี
เปนซอกกว้างไปข้างหลังกองดินใหญ่ ต้องขึ้นไศลหน่อยหนึ่งก็ถึงที่
ล้วนกิ่งไผ่ไหลมาตามวารี วนมาติตอยู่ตรงนี้กองพเนิน
เหยียบลงไปไม่ถึงพื้นยืนยวบยาบ ดังสวบสาบโครมครามยามเดินเหิน
เพิงกว้างแปดวาได้เห็นไม่เกิน จะประเมินลึกเข้าไปในห้าวา
แล้วมีปล่องช่องโปร่งตรงกลางถ้ำ เห็นดำดำกว้างข้างนอกสามศอกกว่า
แต่กลัวงูอยู่ในนั้นพรั่นวิญญา ทั้งไม่น่าจะสนกบุกต่อไป
เสด็จกลับจับขีดอัคคีจ่อ ด้วยเชื้อล่อทรงเห็นเว้นไม่ได้
เปลวแวบแปลบเดียวประเดี๋ยวใจ เสด็จถึงที่นั่งใหญ่ไฟลุกโพลง
เลี้ยวแหลมไปคุ้งหนึ่งถึงเกาะใหญ่ ต้นตะไคร้มีบ้างแต่อย่างโปร่ง
น้ำเชี่ยววนจนต้องใช้เชือกโยง เห็นเขาโต้งเติบตั้งบังหนทาง
เขากินรผ่อนไพล่ไปข้างหลัง พวกมอญตั้งชื่อแก่งแกล้งกล่าวอ้าง
ว่าน้ำวนจนเปนลายรายรางราง ชื่อแก่งช่างทองสลักประจักษ์นาม
พ้นแก่งไปทิศใต้ศิลาพรุน กลิ้งเกลื่อนวุ่นใกล้กระแสแลออกหลาม
เปนตอนตอนมิได้ห่างบ้างติดลาม เกาะอิกสามตำบลมีที่ทางมา
จึงถึงห้วยกระโถนทองเปนคลองแห้ง แล้วข้างแก่งพระรเบิดเกิดกั้นหน้า
เปนหาดกรวดรวดเรียวน้ำเชี่ยวมา ถึงหาดสูงนาวาเลี้ยวครรไล
ที่ท้องคุ้งมุ่งเขม้นเห็นน้ำตก สูงสักหกศอกออกซอกไศล
จากศิลาสองก้อนข้างตอนใน มีถ้ำใหญ่พื้นเปนบ่อขังท่อธาร
คูปากกว้างข้างนอกสองศอกกว่า มีมัจฉาตัวใหญ่ในลหาน
ว่ายสู้สายน้ำเชี่ยวเที่ยวสำราญ เสียงชลฉานฉ่าก้องห้องคิรี
ที่สายชลล้นลงตรงก้อนผา เปนลดหลั่นกันลงมาจนถึงที่
ยาวประมาณสิบศอกออกนที แต่วารีอยู่ข้างน้อยเดินหง่อยไป
ทิพากรร้อนกล้าเวลาบ่าย แวะสรงสายชลธีที่หลั่งไหล
สักครู่เดียวมิได้ช้ารีบคลาไคล ผ่านหาดใหญ่อิกทั้งวังฝั่งศิลา
ล่วงละเมาะเกาะหนึ่งจึงถึงหาด ดูต่ำลาดไม่สู้กว้างขวางหน้าท่า
สระสี่มุมมีวิถีทางลีลา คนไปมาตัดไม้ไม่ไกลนัก
ว่าสองสามร้อยเส้นเปนกำหนด ป่าปรากฎว่าเปนที่มีไม้สัก
แต่ไม้ใหญ่ไม่ใคร่มีที่ฟันชัก ทางกุกกักช้างลากลำบากครัน
ที่ตรงหาดนั้นประหลาดกว่าที่อื่น แม้ขุดพื้นที่ตรงไหนร้อนที่นั่น
สักคืบหนึ่งถึงน้ำก็มีควัน ตวงด้วยขันตั้งไว้นานไม่เย็น
ยิ่งริมน้ำซ้ำร้อนกว่าตอนบก ชายหาดตกในนทีมีควันเห็น
ถูกสายทางอย่างไรจึงได้เปน ไม่รู้เช่นรู้ชนิดคิดสงกา
ต่อขึ้นไปเกาะตะไคร้อิกทั้งเรี่ยว ไม่ลดเลี้ยวตลิ่งเหนือเจือก้อนผา
เขาป้อมขวางอยู่ข้างหน้านาวา ทัศนาเขากินรข้างตอนท้าย
เกาะใกล้กันปันระยะสระสี่มุม แล้วเกาะซุ้มตะไคร้มีเปนที่หมาย
ถึงแก่งป้อมอ้อมทางไปข้างซ้าย ศิลาชายฝั่งเห็นเปนโพรงโต
เหมือนเช่นห้วยด้วยวารีมีในนั้น แต่ไปตันมิใช่คลองเปนช่องโหว่
ต่อตอนนี้มีศิลาท่าโกโร ตั้งจงโก้เกะกะระขึ้นไป
ต่อตอนนี้มีเกาะอิกแห่งเล่า เรือต้องเข้าแก่งน้ำตื้นคนยืนได้
เปนสองช่องร่องเหนือเรือครรไล ถ่อก็ใช้ยังไม่พ้นคนพยุง
มีหาดกรวดแลศิลาหนากว่าอื่น ทั้งน้ำตื้นต่อขึ้นไปไม่หมดยุ่ง
น้ำเชี่ยวจัดนี่กระไรไปเกือบคุ้ง รีบหมายมุ่งเขม้นมาตั้งหน้าแจว
ต่อไปมีเกาะแก่งทั้งแอ่งห้วย ชื่องิ้วด้วยกันทั้งหมดจดเปนแถว
ไม่เห็นต้นสิมพลีมีวี่แวว จนคลาศแคล้วไปพ้นตำบลนี้
ตัวเขาป้อมอ้อมมาอยู่ภายหลัง ข้างหน้าเขาวังเขมรเห็นถ้วนถี่
ซ้ำมีเรี่ยวเชี่ยวขวางทางนที ท่าก็มีเว้นไม่ได้ใช้ชื่อเดียว
หาดกรวดติดต่อไปได้คุ้งหนึ่ง แล้วจึงถึงเกาะปลายสายน้ำเชี่ยว
ชื่อว่าแก่งหางนาคลำบากเจียว ชายเฟือยเลี้ยวเปนชวากบากเข้าไป
น้ำยิ่งเชี่ยวเทียวทวนสาวพวนถ่อ หนทางต่อขึ้นไปนี้มีไศล
สุมอยู่ที่ริมฝั่งทางครรไล พวกตัดไม้ขึ้นไปตั้งริมฝั่งชล
มีเรือนบ้างอย่างกระท่อมย่อมย่อมอยู่ เห็นคนผู้นั่งหน้าท่าไพรสณฑ์
หาดศิลาครุคระระกะปน ตลอดจนศิลาดาดกลาดเกลื่อนมา
อิกคุ้งหนึ่งถึงแก่งตากงทอ น้ำเชี่ยวปร๋อวังเขมรเห็นขวางหน้า
อิกคุ้งหนึ่งก็พอถึงที่พลับพลา อยู่ที่หน้าหาดประจิมริมวารี
ที่ฟากฝั่งวังเขมรมีเขาใหญ่ หน้าผาใกล้ชลธารผ่านสองสี
ดำกับขาวพราวอร่ามดูงามดี ที่ตรงนี้ลึกล้ำน้ำไม่แรง
หัวคิรีมีท่อทางอุทก ไหลหลั่งตกใต้ผามาทางแฝง
กว้างสี่ศอกบอกขนาดคาดแสดง ที่เห็นแจ้งสามวามาตามรอย
เปนเหลี่ยมแง่กระแสใสไหลกระทั่ง ขาวพรั่งพรั่งสาดกระเซนดูเปนฝอย
ตกหลังน้ำพร่ำพรูดูพร่างพร้อย มิใช่น้อยเสียงสนั่นลั่นไปไกล
เสด็จลงทรงเรือคอนโดล่า แต่แก่งตากงทอพอมาใกล้
ถึงที่ห้าโมงถ้วนด่วนครรไล เสด็จไปทัศนาที่หน้าธาร
ผูกแพลอยน้อยไว้ที่ใกล้ฝั่ง ด้วยคิดหวังว่าจะลงสรงสนาน
แต่ท่าทางอยู่ข้างจะกันดาร ต้องคิดอ่านรองวักตักวารี
เพราะธารต่ำน้ำตกมาตามลาด แพจอดขาดออกมาไกลไม่ถึงที่
เสด็จข้ามฟากฝั่งมาข้างนี้ ประทับที่ปะรำหน้าพลับพลาพลัน
เสด็จออกนอกม่านชานเฉลียง พวกกะเหรี่ยงสระสี่มุมกลุ้มสนั่น
เดินมาเฝ้าถึงที่นี่มีอนันต์ หมดด้วยกันเห็นจะกว่าห้าสิบคน
ของถวายรายบาญชีมีต่างต่าง เปนของอย่างมีในป่าพนาสณฑ์
ฉันเห็นว่าน่ารู้ดูชอบกล จึงคัดย่นเครื่องยามาว่าไว้
ว่านกีบแรดรากอบเชยแลแฝกหอม เถารย่อมขมิ้นเครือเจือหางไหล
ทั้งแดงเผือกเปลือกดาราเอามาใช้ อิกเปล้าน้อยเปล้าใหญ่ใบกระวาน
ต้นพระยามือเหล็กลักกระจั่น เนียมเถาคันหัวบัวบกยกชื่อขาน
รากเจตมูลเพลิงเถาสค้าน คุคะว่านน้ำใส่ในชลอม
ลูกสมอพิเภกอเนกหลาย ลูกประคำดีควายหัวเปราะหอม
ต้นเนรพูสีก็มีพร้อม เขาวางล้อมชลอมมามหาสดำ
รากตเนช้างงาเดียวเที่ยวเสาะหา ต้นพระยารมันหมั่นพร้องพร่ำ
ต้นอุ้มลูกดูหนังยังอิกคำ ต้นไม้ชำระพระร่วงพวงเดียวกัน
เปลือกคิ้วนางอย่างสำหรับกับกินหมาก เคยมีมากไม่สู้ฝาดรสชาดขยัน
กำลังกินอยู่เดี๋ยวนี้ทุกวี่วัน แรกเห็นนั้นที่สำนักปักกิเลน
นกที่มีมาวันนี้แต่ไก่ฟ้า กับนกเขาสี่ห้าฉันได้เห็น
ประทานเงินแจกให้มิได้เว้น ต่างตื่นเต้นเปนที่ยินดีครัน
เรือประเทียบทอดปะรำพอสำเร็จ ก็เสด็จด้วยข้างในตามผายผัน
ลงในลำที่นั่งทรงองค์สำคัญ ทรงตีกันเชียงไปในนที
ทอดพระเนตรน้ำตกวังเขมร ให้ชัดเจนเห็นถนัดกว่าที่นี่
เสด็จกลับพลับพลาเกือบราตรี ประทับที่เฉลียงหน้าพลับพลาใน
เวลาค่ำมีรำอย่างกะเหรี่ยง ไม้รวกเรียงสองลำเลือกใหญ่ใหญ่
อิกสี่คู่เรียงวางขวางกันไป คนจับไม้สี่คู่อยู่ประจำ
มีคนเต้นเล่นกาวสอดท้าวย่าง ลงในหว่างลำไม้ไม่ให้ถลำ
กระแทกไม้สองครั้งจังหวะนำ ที่สามซ้ำจึงกระทบปรบมือกัน
ที่ว่องไวก็ไม่ต้องไม้ตีขา ที่เล่อล่าท่าทางอยู่ข้างขัน
เหมือนไม้ต่อยตาตุ่มเราะรุมรัน ลงบีบคั้นข้อติ้วหน้านิ่วไป
ผู้หญิงใช้ไม้อย่างอื่นคนยืนจ้อง กระทุ้งสองครั้งข้างนอกเหมือนบอกใบ้
ครั้งที่สามกระทุ้งตรงลงข้างใน ให้หัวไม้เข้าบรรจบกระทบกัน
ผู้หญิงที่กิริยาอย่างไวว่อง ถือผ้าสองมือเต้นเห็นคมสัน
คอยสอดเท้าก้าวหว่างจังหวะนั้น แล้วเลยหันตัวคว่างผ่านกลางวง
ดูคล้ายรูปตุ๊กตาฝรั่งเต้น ถือผ้าเช่นนี้คิดน่าพิศวง
เดิมก็จะข่าข่าอย่างป่าดง นี่มาลงรอยกันขันกระไร
กะเหรี่ยงเต้นก็ต้องเห็นว่าอย่างป่า ฝรั่งท่างามงดไปหมดได้
ถ้าเต้นพลาดเท้าคลาศจังหวะไป ก็ถูกไม้กระทบปวดจนซวดเซ
กะเหรี่ยงนี้มีวิชามาเท่านั้น ดูสนุกสนานกันต่างสรวลเส
ได้ผ้าลายแพรห่มสมคเน ทั้งเงินเทประทานให้ไปเปนกอง
พลับพลานี้ท่วงทีก็พอใช้ คิดทั้งเฉลียงได้เปนห้าห้อง
หันด้านรีลงน้ำตามทำนอง ปะรำรองมาอิกชั้นมีบันได
ถัดนั้นจึงถึงปะรำเรือที่นั่ง เรือประเทียบทอดสพรั่งยืดยาวใหญ่
ทั้งพื้นฝาพลับพลาข้างหน้าข้างใน ใช้ไม้ไผ่สับฟากด้วยมากมี
พระอมรมหาเดชเขตรนายบ้าน กำกับให้ทำการอยู่ที่นี่
พระผลกดิฐบดี เจ้าบุรีกำกับพลคนทำงาน
เวลาเย็นเห็นลิงมาโลดไล่ อยู่บนไหล่ภูผาตรงหน้าฉาน
ชนีร้องก้องพงในดงดาน วิเวกหวานวาบวับจับฤไทย
บนยอดเขาเอาอัคคีไปจี้จ่อ ลามกิดต่อต้นหญ้าพฤกษาไหม้
ดูวูบวาบปลาบแดงด้วยแสงไฟ ติดต่อไปไม่รู้ดับจนหลับนอน
ชอุ่มฝนทนไม่ไหวซ้ำไฟเผา ยิ่งร้อนเร่าขึ้นหนักหนากว่าแต่ก่อน
ว่าข้างบนฝนคลุ้มชุ่มดินดอน น้ำกลับผ่อนขึ้นอิกคืบเขาสืบมา
เมื่อก่อนฝนยังไม่มาธาราลด โดยกำหนดตาเห็นเปนคืบกว่า
ครั้นฝนมีวารีกลับขึ้นมา จบสาราส่วนวันนี้มีเรื่องราว ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ