๏ ปรอทหนาวเจ็ดสิบหกไม่ตกหย่อน |
รู้สึกร้อนกว่าเมื่อวานนั้นพานกล้า |
เสด็จเรือที่นั่งใหญ่ออกไคลคลา |
จากพลับพลาเสียงฆ้องสองโมงเช้า |
นางมอญมวยกับยายชีมีของถวาย |
ไม่มากมายนักหนาอยากมาเฝ้า |
รับสั่งถามถิ่นฐานบ้านลำเนา |
ว่าพึ่งเข้ามาแต่นอกบอกยุบล |
เปนมอญในเมืองไทยไปกับพระ |
ด้วยมนะมั่นหมายฝ่ายกุศล |
มีพระแลคฤหัสถ์ไปด้วยหลายคน |
เสด็จดลวังกร่างข้างเช้าวาน |
ก็ประสบพระสงฆ์องค์หนึ่งนั่ง |
กับชีสองอยู่บนฝั่งฉันอาหาร |
ก็แจ้งว่าพากันไปมัสการ |
ที่สถานพระย่างกุ้งพึ่งกลับมา |
กะเหรี่ยงพวกพระสุวรรณนั้นตามติด |
กับพวกศิษย์ด้วยอันมีสักสี่ห้า |
แจ้งว่ามีพวกหลังที่ยังล้า |
จะไคลคลาไปอาวาสราชบุรี |
คือสองคนที่พากันมานั้น |
พระเจ็ดรูปด้วยกันหยุดอยู่นี้ |
ฉันช่างขันเรื่องครองของยายชี |
ดูไม่มีพ้นกูเลยดูมา |
จะประทานผ้าห่มหนาวนางสาวมอญ |
ทลึ่งซ้อนเข้ามาฉวยเอาชายผ้า |
นางมอญหง่อยค่อยค่อยยื่นมือมา |
แกกลับบึ้งถลึงตากอดผ้าไว้ |
ผ้าสก๊อดตาทะแยงแดงกับเขียว |
เช่นนั้นเจียวแกยังจะเต๊กได้ |
รับสั่งถามแกจะเอาไปทำไม |
ฤๅจะห่มถมไปจะให้ปัน |
ออกเอียนหน่อยหน่อยไม่ปล่อยผ้า |
ทูลว่าไม่ได้เคยห่มสีสัน |
ยี่สิบปีมานี่เนิ่นนานครัน |
แล้วอึ้งอั้นเล่อล่าหน้าเต็มทน |
รับสั่งว่าห่มไม่ได้ก็ให้เขา |
ให้คอยเอาเงินตราอย่าฉงน |
จึงจำเปนปล่อยผ้าตาเหลือกลน |
เที่ยวมองค้นหาว่าใครที่ไปเอา |
คุณเถ้าแก่ผ่านมาหน้าผงก |
ดูกลามงกเลือกลานพานจะเก่า |
เห็นเงินมาเหมือนจะร่าเข้าชิงเอา |
ยื่นมือเข้ามาขยุ้มเหมือนสุมปลา |
เงินก็ได้ยังไม่หายกลามผ้าห่ม |
หยิบมาชมแย่งเย่อกระเล่อกระล่า |
ปากบับบับขยับเยื้องชำเลืองตา |
ไม่ผิดท่าชียังที่บางปอิน |
เปนมหานุ่งหยี่อย่างอุกฤษฐ |
อันตรวาสกติดเปนนิจสิน |
เพราะล้างบาปอยู่ไม่ขาดปราศมลทิน |
คนถือศีลเปนเช่นนี้ก็มีชุม |
ออกจากหาดที่พลับพลามาคุ้งหนึ่ง |
ไปถึงที่น้ำแรงแก่งลุ่มสุ่ม |
มีหาดเก่าชายเฟือยเลื้อยเปนซุ้ม |
ต้นตะไคร้ขึ้นฉอุ่มสองข้างทาง |
เขาช้างผอมอ้อมไปตั้งบังอยู่หน้า |
ถึงแก่งท่าผักกูดกั้นกีดขวาง |
น้ำเชี่ยวปร๋อถ่อไปไม่เบาบาง |
ถึงเกาะข้างฝั่งสิ้นถิ่นแก่งนี้ |
ตัวท่าตั้งฝั่งใต้ชายตลิ่ง |
ศิลากลิ้งเกลื่อนไปใกล้วิถี |
ห้วยลุ่มสุ่มน้อยอิกครั้งชื่อยังมี |
แล้วจึงถึงที่วังตะเคียน |
มีศิลาริมน้ำยังซ้ำเกาะ |
ดูหมดเหมาะงามมากเหมือนฉากเขียน |
ที่ห่างฝั่งยังละเมาะเปนเกาะเกียน |
แล้วหาดเลียนโล่งตะไคร้เปนชายเฟือย |
เรี่ยววังกร่างน้ำคว้างเรือขึ้นฝืด |
ดูเปนยืดเขากวางขวางหน้าเรื่อย |
ถึงวังกร่างกว้างแท้แต่น้ำเนือย |
แจวเฉื่อยเฉื่อยกระชากแรงถึงแก่งโพ |
สายชลเชี่ยวแล้วมิหนำยังซ้ำตื้น |
คนลงยืนแช่เล่นเปนตุ้มโผล่ |
เลี้ยวหาดไปเห็นไศลก้อนโตโต |
ไม่เว้นโหว่ต้นแว่แลเปนทิว |
แล้วหาดทรายชายเฟือยทั้งสองฝั่ง |
จนกระทั่งแก่งแคบแอบหาดลิ่ว |
เติมชื่อหยาบยักแสดงคิดแพลงพลิ้ว |
เรือเปนริ้วเรียงยาวสาวเชือกพวน |
ต้องถ่อซ้ำค้ำจุนวุ่นกันใหญ่ |
เรือเดินในช่องทางอย่างฉนวน |
ตวันออกบอกทางวางกระบวน |
เรือเล็กทวนขึ้นได้คล่องทั้งสองทาง |
ไปหน่อยหนึ่งถึงที่เชี่ยวเรี่ยวหินดาด |
ศิลาลาดใต้น้ำซ้ำขัดขวาง |
แต่ไม่สู้หนักหนาเพราะว่าบาง |
เปนแต่อย่างเรี่ยวที่มีศิลา |
มาถึงวังตะเคียนหนูดูริมฝั่ง |
ก้อนผาตั้งเต็มเหมาะเหมือนเสาะหา |
เปนโปล่งปล่องช่องชวากหลากนานา |
ไม่ซ้ำท่าท่วงทีดีต่างกัน |
บ้างเปนหลืบลึกซึ้งเหมือนหนึ่งถ้ำ |
ชโงกง้ำหงายง่าท่าขันขัน |
ดูเปนโพรงโปร่งปรุไปทั้งนั้น |
ตลอดคันขอบท่าชลาไลย |
เห็นเขากวางข้างหลังตั้งชง้ำ |
เขาตกน้ำหน้าเด่นเห็นใกล้ใกล้ |
เลี้ยวอ้อมหาดชายเฟือยเรื่อยขึ้นไป |
ถึงเกาะตะไคร้กลางร่องท้องนที |
เขาตกน้ำมีถ้ำที่หน้าผา |
สูงหกวาถึงพื้นไม่ยืนที่ |
สุดแต่ระดับน้ำประจำปี |
ถ้าชนีเรียกนามตามชาวไพร |
เปนถ้ำเวิ้งเพิงรีมีชานหน้า |
ยาวสี่วาแน่ชัดเขาวัดได้ |
กว่างสองวาแหงนหน้าแลขึ้นไป |
เปนปล่องใหญ่สูงเส้นเห็นตวัน |
ที่เวิ้งผาธารารอยหยาดย้อย |
เปนภู่ห้อยพริ้งเพริศดูเฉิดฉัน |
เสด็จขึ้นทอดพระเนตรที่บนนั้น |
แล้วจึงจากจรจรัลโดยมรรคา |
ตรงฝั่งข้ามถ้ำชนีนั้นมีหาด |
กรวดทรายดาษดื่นสล้างกว้างนักหนา |
ฝั่งต่อแต่ถ้ำชนีมีศิลา |
เรอะระมามากมายนับก่ายกอง |
ข้างซ้ายมาผาสุมอยู่ริมน้ำ |
เรือต้องจำเดินไปให้ตรงร่อง |
อิกคุ้งหนึ่งแก่งเขาม้าฝ่าชลฟอง |
หนทางล่องตวันตกไม่วกวน |
ตวันออกศิลาไลยใต้น้ำมาก |
ก็เบนบากหลีกไศลไม่ขัดสน |
ถึงเขาม้าต่อแดนแคว้นตำบล |
ลุ่มสุ่มชนท่าตะกั่วรู้ทั่วกัน |
อันเขาม้านี้ว่าเปนสองเสียง |
บางคนเถียงว่าหมามาแกล้งกลั่น |
คู่เขากวางวิ่งลัดสกัดพัน |
เปนชื่อชั้นเชิงข้างทางพรานไพร |
มาครั้งก่อนเรียกกันเขาสุนัข |
ในเยอแนลก็ประจักษ์ฉันจำได้ |
แต่ครั้งนี้เรียกแผลงเปลี่ยนแปลงไป |
จะเปนใช้เสียงผู้นำบอกตำบล |
จะเขามาเกลี้ยงดีไม่มีหอ |
ผู้ฟังต่อโกช่วยด้วยฉงน |
รับสั่งซักสอบความถามหลวงพล |
ได้ยุบลวาสุนัขประจักษ์จริง |
เปนเขาใหญ่ใกล้นทีสีคล้ำหน่อย |
ศิลาลอยน้ำเซาะเราะตลิ่ง |
ที่ในน้ำก้อนกระเดนเปนหมอนอิง |
เหมือนใครทิ้งหมอนขวานลอยพ่านมา |
ยอดคิรีมีรูปศิลาเด่น |
บางคนเห็นเปนสุนัขประจักษ์หน้า |
บ้างก็เห็นว่าเปนรูปอาชา |
ตามจินดาผาก้อนนี้เปนสีแดง |
เดินเลี้ยวหาดกอตะไคร้ไปเต็มคุ้ง |
ศิลายุ่งริมน้ำคล่ำหลายแห่ง |
เปนเขาสูงสีเหลืองเรื่อเรืองแรง |
ด้วยยามแล้งไม้ตะพดจะผลัดใบ |
ส่วนเขาม้ากลับมาอยู่เบื้องหลัง |
หัวแหลมฝั่งเลี่ยนลาดเปนหาดใหญ่ |
ตั้งพลับพลาประทับร้อนผ่อนพลไกร |
ที่ระหว่างเขาใหญ่ทั้งสองนี้ |
ด้วยทินกรอ่อนแสงแฝงเมฆหม่น |
สุริยนยังพยับอ่อนอับสี |
พิรุณโรยโปรยมาแต่ราตรี |
จนรุ่งแสงสุริย์ศรียังพราวพรม |
ที่เขากวางขวางฝั่งตั้งสง่า |
เปนหน้าผาเพิงใหญ่มีไม้ร่ม |
ศิลาขาวดำเด่นเห็นน่าชม |
ผ่านประสมกันเปนสายดูพรายพรรณ |
ถึงแก่งยาวแลราวสักแปดเส้น |
น้ำเชี่ยวเช่นแก่งทั้งหลายที่ผายผัน |
เห็นเขากวางอยู่ข้างหลังตั้งพงัน |
เขาม้านั้นขวางหน้านาวาไป |
ตวันออกที่เห็นนั้นเปนหาด |
ศิลากลาดเกลื่อนสลอนบ้างก้อนใหญ่ |
จนพ้นแก่งน้ำเชี่ยวเลี้ยวขึ้นไป |
เปนตะไคร้แลศิลาหนาฝั่งราย |
แล้วไปถึงน้ำเชี่ยวเรี่ยวอิกเล่า |
แลเห็นเขาม้านั้นกลับผันผาย |
ไปอยู่หลังข้างล่างเขากวางย้าย |
ไปอยู่ฝ่ายข้างหน้านาวาจร |
แจวเฉียดไปใกล้เพิงที่เนินผา |
ชมศิลาซ้อนซับสลับสลอน |
ที่ฝั่งเหนือทรายละเมาะเปนเกาะดอน |
ศิลาก้อนเรียงรายชายชลธี |
อิกคุ้งหนึ่งถึงแก่งหินตพาน |
ศิลาดานเกิดเปนคันกั้นวิถี |
แต่จมขวางอยู่ในกลางวนวารี |
น้ำปรึงปรี่ฟุ้งกระเซนอยู่เปนฟอง |
แลเห็นเรื่องเขาม้าขวางหน้าคั่น |
เขากวางผันไปอยูหลังบังขนอง |
ต่อไปฝั่งเปนศิลาหนาเปนกอง |
ต้นแว่ป้องปกหลังกำบังเงา |
บ้างรูปรีที่วางขวางเปนแท่น |
บ้างง่อนแง่นดูผงกจวนตกเขา |
ที่เอนอิงพิงกันขันไม่เบา |
ดูเหมือนเข้าไปกระเทือนจะเคลื่อนครืน |
หมดศิลามาถึงแก่งน้ำเชี่ยว |
เขากวางเลี้ยวขึ้นไปขวางทางทมื่น |
เรื่องเขาม้ามาข้างหลังไม่ยั่งยืน |
เห็นหาดยื่นยาวพอต่อแก่งไป |
หัวหาดเห็นเปนชวากบากหาฝั่ง |
ศิลาตั้งเพิงผาหน้ายื่นใหญ่ |
เรือสำปั้นน้อยน้อยลอยเข้าไป |
จอดอาไศรยร่มบังได้ทั้งลำ |
เห็นเขากวางอยู่ข้างตวันตก |
แต่เวียนวกเห็นไปได้ยังค่ำ |
แลเห็นเขาช้างอ้วนสวนมานำ |
ดูโตดำรูปเหมือนช้างอย่างคุกเทา |
ยังลูกน้อยพลอยแอบอยู่ที่นั่น |
เขาเรียกกันก่อนเก่าเขายุ้งเข้า |
ที่ช้างกินแล้วก็นอนซ่อนซบเซา |
เลยเปนเขาอยู่ที่นี่มีนิทาน |
ตวันออกเฉียงใต้นั้นได้เห็น |
เขากวางเปนที่สุดอวสาน |
เพราะวิ่งเหนื่อยเลื่อยล้ามาช้านาน |
จึงคิดอ่านเลี่ยงไถลไปซุ่มกาย |
ริมร่องมามีศิลาสุมในน้ำ |
ต้นตะไคร้ขึ้นประจำเปนเครื่องหมาย |
อิกคุ้งหนึ่งก็พอถึงที่พุพราย |
ค่อนข้างร้ายในวารีมีศิลา |
ทั้งสองข้างร่องกลางทางเรือแล่น |
ต้องเหมาะแม่นมิให้บ่ายไปซ้ายขวา |
แผนที่เรียกพุไคร้ได้เห็นมา |
แต่ที่ว่าพุพรายนั้นกลายไป |
ตำบลนี้มีในจดหมายเหตุ |
เปนขอบเขตรตัดลำเลียงสเบียงไพร่ |
คราวพม่าหมายมาเหยียบกรุงไกร |
ตั้งทัพใหญ่ลาดหญ้าท่าสงคราม |
ฝ่ายกรมพระราชวังมาตั้งรับ |
แต่งกองทัพตัดลำเลียงสเบียงข้าม |
เพื่อให้หย่อนอ่อนกำลังข้างภุกาม |
นายทัพสามคนรับสั่งมาตั้งคอย |
อยู่ที่นี่มีความขามขยาด |
ด้วยเขลาขลาดเลี่ยงหลบทบทวนถอย |
ขุนหมื่นที่กตัญญูเปนผู้น้อย |
จึงนำถ้อยความฟ้องถึงกองทัพ |
ดำรัสใช้ให้พระยามณเฑียรบาล |
รับบรรหารถืออาญาลงมาสรรพ |
แม้นได้จริงมั่นคงจงบังคับ |
ให้สมกับความผิดที่คิดท้อ |
ข้าหลวงไปไต่ถามตามรับสั่ง |
ได้ความดังที่หามาทุกข้อ |
ตัวนายทัพนั้นบังคับให้ฟันฅอ |
ชลอมห่อหัวตามกันสามคน |
คือพระยาสีหราชเดโชไชย |
แลสิงหราชฤทธิไกรอิกเปนต้น |
พระยาเพ็ชรบุรีที่นายพล |
จะได้ยลเปนอย่างปางหน้าไป |
ปลัดทัพดาบสับศีร์ษะเสี่ยง |
เพราะหาเถียงทานทัดขัดกันไม่ |
นำศีร์ษะไปถวายที่ค่ายใน |
เสียบปลายไม้ไว้ให้คนดู |
ฝ่ายกองโจรก้าวสกัดดำรัสเกณฑ์ |
พระองค์เจ้าขุนเณรให้เปนผู้ |
ไปตั้งคอยด้อมมองหาช่องคู |
ที่ตัดหมู่กองลำเลียงสเบียงพล |
ก็ไปอยู่ตามรับสั่งตั้งพุไคร้ |
แต่กองลาดกวาดไปในไพรสณฑ์ |
ได้สเบียงม้าช้างบ้างผู้คน |
จนผจญพม่าพ่ายกระจายไป |
ตวันตกต่อนี้มีคลองน้ำ |
ชื่อก็ซ้ำกันกับแก่งหาแปลงไม่ |
เปนคลองมีวารีตลอดไป |
ลึกเท่าน้ำใหญ่ไม่ผิดกัน |
ที่ปากคลองมีกองศิลาบ้าง |
แล้วเลี้ยวทางทิศเหนือเรือผายผัน |
ไปถึงเรี่ยวมะกอกน้ำไม่สำคัญ |
เกิดเกาะกันกีดขวางทางคงคา |
ร่องน้ำใหญ่ไปทางตวันออก |
พอถึงนอกหมายมุ่งไปคุ้งหน้า |
ถึงหาดทรายชายวารีมีศิลา |
ที่ฝั่งหนึ่งนั้นก็หนาเนื่องกันไป |
ตวันออกกอตะไคร้ไปพอสิ้น |
ก็ถึงถิ่นห้วยมะเดื่อเรือเดินใกล้ |
เห็นเขาแดนศรีสวัสดิ์ชัดไกลไกล |
เปนชวากเวิ้งใหญ่เข้าในบึง |
แก่งแม่น้ำจ้ำแจวรีบแคล้วคลาศ |
น้ำเชี่ยวปราดเหมือนจะไปไม่ใคร่ถึง |
แม่น้ำเก่าอยู่ข้างดูกว้างซึ้ง |
ช้างอ้วนซึ่งเห็นแต่ก่อนย้อนตามมา |
ศิลารายชายชนจนถึงเรี่ยว |
ไปอิกเลี้ยวเรือจึงถึงก้อนผา |
ล้วนงามงามหลายอย่างสำอางตา |
จะพรรณาไปไม่หมดเหลือจดจำ |
เห็นเขาเขียวขึงตั้งอยู่ข้างหน้า |
อ้อมหาดมาถึงเรี่ยวเทียวแจวจ้ำ |
ชื่อวังใหญ่ในฉลากลากหมึกดำ |
ต้องทวนน้ำหน้าหาดไหลปราดปรึง |
เลี้ยวชวากบากเรือไปข้างซ้าย |
แสนสบายดีจริงน้ำนิ่งอึ้ง |
เขียวจนดำด้วยว่าล้ำเหลือลึกซึ้ง |
ก็พอถึงที่ทอดจอดพลับพลา |
พอบ่ายสามโมงถ้วนกระบวนพร้อม |
รายจอดอ้อมหัวหาดประหลาดท่า |
ที่ริมหาดดาดปะรำทำยาวมา |
ให้นาวาพระประเทียบจอดเรียบเรียง |
ตรงหัวแง่แคร่ปะรำทำที่เลี้ยว |
จอดลำเดียวที่นั่งรองต้องเฉลียง |
เปนที่พักพวกข้างหน้ามาพร้อมเพรียง |
พลับพลาเบี่ยงออกไปห่างต่างตำบล |
ลึกเข้าไปถึงในชวากหาด |
ตัดกันขาดกับข้างในไม่สับสน |
ดูริมน้ำข้ามคละเหมือนปะปน |
ข้างในชนกับข้างหน้าพลับพลาไกล |
ต่อขึ้นไปถึงบนหาดจึงคาดถูก |
ปะรำปลูกผ้าขึงเดินถึงใกล้ |
ข้ามตอแหลมตัดทางมาข้างใน |
ข้างหน้าไปลอยเด่นเปนเขตรแดน |
หว่างพลับพลากั้นฝาเปนที่สรง |
ข่ายลวดวงเฝือกกั้นอิกชั้นแน่น |
ปะรำคาไม่มีใช้ใบไม้แทน |
แครต่างแท่นเทียมหน้าขอบวารี |
ตัวพลับพลาห้าห้องทั้งเฉลียง |
ปะรำเรียงกว้างใหญ่ไว้เปนที่ |
เรือที่นั่งจอดชิดสนิทดี |
ด้วยพื้นมีชานกลางสำอางตา |
พลับเพลานั้นกั้นสกัดไว้สามห้อง |
มุ่ลี่ลูกปัดกรองลายปรกฝา |
ฉากยี่ปุ่นปันห้องช่องลิลา |
ตอนข้างหน้าเปิดโถงโปร่งสบาย |
ที่หลังคาฝาใช้ไม้ไผ่ผ่า |
ไม่ใช้คาเพราะว่าขัดผลัดขยาย |
ที่พื้นรอบขอบลาดหาดกรวดทราย |
ปักคร่าวรายขึงผาเปนฝาบัง |
แลเบื้องซ้ายชายฝั่งดังบรรพต |
เปนวงคดเรียงรอบขอบชันตั้ง |
เหมือนเชิงเทินเนินเขตรนิเวศน์วัง |
ซ้อนสพรั่งด้วยศิลาเปนท่ามอ |
ที่ก้อนใหญ่ยื่นเห็นเปนเพิงคว่ำ |
ดูเงื้อมง้ำพลิกแพลงเหมือนแกล้งก่อ |
ตะไคร้แซกซอกบังอยู่ทั้งกอ |
เปนตะง่อตะแง่แลละลาน |
ที่บนหลังตั้งต่อพื้นกอไผ่ |
ล้วนสูงใหญ่ยอดเผยอเสมอสมาน |
ชิดเสียกว่ารั้วค่ายคล้ายปราการ |
ไม่มีด้านใดว่างห่างขอบวง |
ที่ตรงกลางหว่างวังชิดฝั่งหน่อย |
เปนเกาะน้อยน่าพินิจพิศวง |
ต้นตะไคร้แลชอุ่มเปนพุ่มพง |
ปักเสาธงไว้ตรงกลางที่ข้างเต็น |
ปักเตาม่อตพานน้ำให้ต่ำต้อย |
เก้าอี้น้อยใหญ่ตั้งไว้นั่งเล่น |
โคมกระดาษกลาดตาเวลาเย็น |
ดูเหมือนเช่นบุบผชาติดาดเปนพวง |
ริมหาดทรายรายปักหลักน้อยน้อย |
ผูกเรือลอยไว้สำหรับได้รับช่วง |
ตวันบ่ายไม้ปิดหมดมิดดวง |
ยังฉายช่วงส่องสว่างกลางนภา |
เสด็จลงสรงสนานในที่กั้น |
แล้วผายผันกลับตรงไปลงท่า |
เสด็จทรงเรือกระเชียงยุคลคลา |
ข้างในลงนาวาสำปั้นพาย |
เที่ยวเล่นล่องตามท้องชลาสินธุ์ |
รอบรอบถิ่นเกาะน้อยลอยผันผาย |
สำราญรื่นชื่นชมด้วยลมชาย |
สุริย์ฉายก็ยิ่งอ่อนรอนรอนเย็น |
เลยครรไลไปถึงเลี้ยวเหลียวแลลิ่ว |
ไม้เปนทิวแถวสล้างทางที่เห็น |
เปนรั้วรายสองข้างไม่ว่างเว้น |
เห็นเขาเด่นดูเหมือนหมอกออกมัวมนท์ |
เปนหลายยอดสอดแซมแหลมสลับ |
เหมือนฉากพับภาพวิไลยรูปไพรสณฑ์ |
ล้วนเรือแพแซ่สำเนียงด้วยเสียงคน |
แล้วพายวนเวียนล่องฟ่องฟูมา |
อยากทรงทวนวารีที่ตรงเรี่ยว |
เห็นโชนเชี่ยวแลลานน้ำฉานฉา |
ล่องครรไลไปถึงท้ายพลับพลา |
ทัศนาเรือจอดทอดเรียงลำ |
แล้วกลับสวนทวนกระแสสายชลเชี่ยว |
จ้วงเต็มเหนี่ยวตืดตึงจนถึงจ้ำ |
นึกสงสารพวกฝีพายจ่ายประจำ |
แจวยังค่ำจะมิเหนื่อยเมื่อยเต็มประดา |
เรือฉันเรียงเคียงแข่งพระที่นั่ง |
อุส่าห์ตั้งใจพายไม่ขายหน้า |
เกือบขาดลำโขลนเขาหยุดสุดปัญญา |
หัวเกือบผ่าเข้าไปในตะไคร้น้ำ |
ทีละนิดทีละหน่อยค่อยขยับ |
คอยจะกลับถอยหลังวันยังค่ำ |
ต่อเขาช่วยส่งท้ายพายพุ้ยซ้ำ |
เรือจึงล้ำเลยทลึ่งเข้าถึงวัง |
พอพ้นสายพายฉวางเหมือนอย่างวิ่ง |
ด้วยน้ำนิ่งแน่กระไรไม่ไหลหลั่ง |
พบพวกญวนลงอวนแอบประนัง |
เข้าไปนั่งแลดูอยู่แต่ไกล |
ดูไม่ดังโครมครามตูมตามมาก |
เห็นลากลากขึ้นมาว่าปลาใหญ่ |
เสียงขลุกขลักสักประเดี๋ยวเลี้ยวเข้าไป |
ดูใกล้ใกล้จึงเห็นออกเปนกอง |
สวายวังตั้งบาญชีมีร้อยกว่า |
เขาจับมาถวายอย่างแต่เพียงสอง |
ยาวศอกเศษสังเกตตาท่าทำนอง |
ได้ยินร้องว่าได้ยักษ์ฉันหนักใจ |
คเนท่าว่าหน้าตาจะยู่ยี่ |
มิรู้อีทุบที่เห็นหาผิดไม่ |
แต่ตัวย่อมผอมสั้นกว่ากันไป |
ปลาที่ได้แต่กลางวันนั้นก็มี |
เขาจัดอย่างวางเรียงไว้ถวาย |
มีธงรายชื่อปักประจำที่ |
รับสั่งให้ไปดูรู้วิธี |
จะได้จดแดรีเปนเรื่องราว |
มีปลาสร้อยสามอย่างต่างต่างชื่อ |
อย่างหนึ่งคือเรียกว่าปลาสร้อยขาว |
อย่างหนึ่งสร้อยนกเขาค่อนข้างยาว |
อย่างหนึ่งกล่าวว่าท้องแฟบเปนแยบคาย |
ปลาชองโลงแลตะโกกกับกดวัง |
ปลากำมางกับทั้งปลาสวาย |
ทั้งอย่างใหญ่อย่างย่อมพร้อมเรียงราย |
สำหรับจ่ายเลี้ยงดูไพร่ผู้ดี |
ที่ย่อมหน่อยว่าอร่อยกว่าอย่างใหญ่ |
โตเกินไปหนังเหนียวต้องเคี้ยวถี่ |
ปลาไส้ตันกับอ้ายบ้าท่าเต็มที |
งามแต่สีสันสอาดประหลาดตา |
ปลาตาเหลือกเลือกชื่อช่างเหมาะแท้ |
ปลากระแหปลากดจดเลขา |
ตะเพียนทองผ่องแผ้วเพียงทองทา |
ยังพวกปลาอีทุบใหญ่ได้หลายตัว |
ที่ยังเปนเห็นผูกไว้ในน้ำ |
ดูดำดำมองเขม้นเห็นแต่หัว |
สักสี่ห้าด้วยกันว่ายพันพัว |
ดูไม่ทั่วด้วยเขาไว้ไกลพลับพลา |
ปลาสวายอย่างใหญ่ได้กลางวัน |
หมดด้วยกันว่าถึงสามร้อยกว่า |
ได้แจกจ่ายไปทุกลำนาวา |
เปนสเบียงโยธาไม่ฝืดเคือง |
พลับพลานี้เปนที่โปรดประพาส |
ด้วยสอาดอิกทั้งท่ากั้นฝาเฝือง |
พระชิณดิฐบดีที่เจ้าเมือง |
ดูแลเรื่องโยธาที่มานั้น |
หมื่นไชยภูษามากำกับ |
ได้บังคับการสิ้นทุกสิ่งสรรพ์ |
เนื้อความที่จำจดพอหมดวัน |
ขอผ่อนผันพักไว้ไปพรุ่งนี้ ฯ |