วัน ๓ ฯ๖ ๒ ค่ำ

วัน ๓ ๒ ค่ำ

๏ ปรอทหนาวเจ็ดสิบหกไม่ตกหย่อน รู้สึกร้อนกว่าเมื่อวานนั้นพานกล้า
เสด็จเรือที่นั่งใหญ่ออกไคลคลา จากพลับพลาเสียงฆ้องสองโมงเช้า
นางมอญมวยกับยายชีมีของถวาย ไม่มากมายนักหนาอยากมาเฝ้า
รับสั่งถามถิ่นฐานบ้านลำเนา ว่าพึ่งเข้ามาแต่นอกบอกยุบล
เปนมอญในเมืองไทยไปกับพระ ด้วยมนะมั่นหมายฝ่ายกุศล
มีพระแลคฤหัสถ์ไปด้วยหลายคน เสด็จดลวังกร่างข้างเช้าวาน
ก็ประสบพระสงฆ์องค์หนึ่งนั่ง กับชีสองอยู่บนฝั่งฉันอาหาร
ก็แจ้งว่าพากันไปมัสการ ที่สถานพระย่างกุ้งพึ่งกลับมา
กะเหรี่ยงพวกพระสุวรรณนั้นตามติด กับพวกศิษย์ด้วยอันมีสักสี่ห้า
แจ้งว่ามีพวกหลังที่ยังล้า จะไคลคลาไปอาวาสราชบุรี
คือสองคนที่พากันมานั้น พระเจ็ดรูปด้วยกันหยุดอยู่นี้
ฉันช่างขันเรื่องครองของยายชี ดูไม่มีพ้นกูเลยดูมา
จะประทานผ้าห่มหนาวนางสาวมอญ ทลึ่งซ้อนเข้ามาฉวยเอาชายผ้า
นางมอญหง่อยค่อยค่อยยื่นมือมา แกกลับบึ้งถลึงตากอดผ้าไว้
ผ้าสก๊อดตาทะแยงแดงกับเขียว เช่นนั้นเจียวแกยังจะเต๊กได้
รับสั่งถามแกจะเอาไปทำไม ฤๅจะห่มถมไปจะให้ปัน
ออกเอียนหน่อยหน่อยไม่ปล่อยผ้า ทูลว่าไม่ได้เคยห่มสีสัน
ยี่สิบปีมานี่เนิ่นนานครัน แล้วอึ้งอั้นเล่อล่าหน้าเต็มทน
รับสั่งว่าห่มไม่ได้ก็ให้เขา ให้คอยเอาเงินตราอย่าฉงน
จึงจำเปนปล่อยผ้าตาเหลือกลน เที่ยวมองค้นหาว่าใครที่ไปเอา
คุณเถ้าแก่ผ่านมาหน้าผงก ดูกลามงกเลือกลานพานจะเก่า
เห็นเงินมาเหมือนจะร่าเข้าชิงเอา ยื่นมือเข้ามาขยุ้มเหมือนสุมปลา
เงินก็ได้ยังไม่หายกลามผ้าห่ม หยิบมาชมแย่งเย่อกระเล่อกระล่า
ปากบับบับขยับเยื้องชำเลืองตา ไม่ผิดท่าชียังที่บางปอิน
เปนมหานุ่งหยี่อย่างอุกฤษฐ อันตรวาสกติดเปนนิจสิน
เพราะล้างบาปอยู่ไม่ขาดปราศมลทิน คนถือศีลเปนเช่นนี้ก็มีชุม
ออกจากหาดที่พลับพลามาคุ้งหนึ่ง ไปถึงที่น้ำแรงแก่งลุ่มสุ่ม
มีหาดเก่าชายเฟือยเลื้อยเปนซุ้ม ต้นตะไคร้ขึ้นฉอุ่มสองข้างทาง
เขาช้างผอมอ้อมไปตั้งบังอยู่หน้า ถึงแก่งท่าผักกูดกั้นกีดขวาง
น้ำเชี่ยวปร๋อถ่อไปไม่เบาบาง ถึงเกาะข้างฝั่งสิ้นถิ่นแก่งนี้
ตัวท่าตั้งฝั่งใต้ชายตลิ่ง ศิลากลิ้งเกลื่อนไปใกล้วิถี
ห้วยลุ่มสุ่มน้อยอิกครั้งชื่อยังมี แล้วจึงถึงที่วังตะเคียน
มีศิลาริมน้ำยังซ้ำเกาะ ดูหมดเหมาะงามมากเหมือนฉากเขียน
ที่ห่างฝั่งยังละเมาะเปนเกาะเกียน แล้วหาดเลียนโล่งตะไคร้เปนชายเฟือย
เรี่ยววังกร่างน้ำคว้างเรือขึ้นฝืด ดูเปนยืดเขากวางขวางหน้าเรื่อย
ถึงวังกร่างกว้างแท้แต่น้ำเนือย แจวเฉื่อยเฉื่อยกระชากแรงถึงแก่งโพ
สายชลเชี่ยวแล้วมิหนำยังซ้ำตื้น คนลงยืนแช่เล่นเปนตุ้มโผล่
เลี้ยวหาดไปเห็นไศลก้อนโตโต ไม่เว้นโหว่ต้นแว่แลเปนทิว
แล้วหาดทรายชายเฟือยทั้งสองฝั่ง จนกระทั่งแก่งแคบแอบหาดลิ่ว
เติมชื่อหยาบยักแสดงคิดแพลงพลิ้ว เรือเปนริ้วเรียงยาวสาวเชือกพวน
ต้องถ่อซ้ำค้ำจุนวุ่นกันใหญ่ เรือเดินในช่องทางอย่างฉนวน
ตวันออกบอกทางวางกระบวน เรือเล็กทวนขึ้นได้คล่องทั้งสองทาง
ไปหน่อยหนึ่งถึงที่เชี่ยวเรี่ยวหินดาด ศิลาลาดใต้น้ำซ้ำขัดขวาง
แต่ไม่สู้หนักหนาเพราะว่าบาง เปนแต่อย่างเรี่ยวที่มีศิลา
มาถึงวังตะเคียนหนูดูริมฝั่ง ก้อนผาตั้งเต็มเหมาะเหมือนเสาะหา
เปนโปล่งปล่องช่องชวากหลากนานา ไม่ซ้ำท่าท่วงทีดีต่างกัน
บ้างเปนหลืบลึกซึ้งเหมือนหนึ่งถ้ำ ชโงกง้ำหงายง่าท่าขันขัน
ดูเปนโพรงโปร่งปรุไปทั้งนั้น ตลอดคันขอบท่าชลาไลย
เห็นเขากวางข้างหลังตั้งชง้ำ เขาตกน้ำหน้าเด่นเห็นใกล้ใกล้
เลี้ยวอ้อมหาดชายเฟือยเรื่อยขึ้นไป ถึงเกาะตะไคร้กลางร่องท้องนที
เขาตกน้ำมีถ้ำที่หน้าผา สูงหกวาถึงพื้นไม่ยืนที่
สุดแต่ระดับน้ำประจำปี ถ้าชนีเรียกนามตามชาวไพร
เปนถ้ำเวิ้งเพิงรีมีชานหน้า ยาวสี่วาแน่ชัดเขาวัดได้
กว่างสองวาแหงนหน้าแลขึ้นไป เปนปล่องใหญ่สูงเส้นเห็นตวัน
ที่เวิ้งผาธารารอยหยาดย้อย เปนภู่ห้อยพริ้งเพริศดูเฉิดฉัน
เสด็จขึ้นทอดพระเนตรที่บนนั้น แล้วจึงจากจรจรัลโดยมรรคา
ตรงฝั่งข้ามถ้ำชนีนั้นมีหาด กรวดทรายดาษดื่นสล้างกว้างนักหนา
ฝั่งต่อแต่ถ้ำชนีมีศิลา เรอะระมามากมายนับก่ายกอง
ข้างซ้ายมาผาสุมอยู่ริมน้ำ เรือต้องจำเดินไปให้ตรงร่อง
อิกคุ้งหนึ่งแก่งเขาม้าฝ่าชลฟอง หนทางล่องตวันตกไม่วกวน
ตวันออกศิลาไลยใต้น้ำมาก ก็เบนบากหลีกไศลไม่ขัดสน
ถึงเขาม้าต่อแดนแคว้นตำบล ลุ่มสุ่มชนท่าตะกั่วรู้ทั่วกัน
อันเขาม้านี้ว่าเปนสองเสียง บางคนเถียงว่าหมามาแกล้งกลั่น
คู่เขากวางวิ่งลัดสกัดพัน เปนชื่อชั้นเชิงข้างทางพรานไพร
มาครั้งก่อนเรียกกันเขาสุนัข ในเยอแนลก็ประจักษ์ฉันจำได้
แต่ครั้งนี้เรียกแผลงเปลี่ยนแปลงไป จะเปนใช้เสียงผู้นำบอกตำบล
จะเขามาเกลี้ยงดีไม่มีหอ ผู้ฟังต่อโกช่วยด้วยฉงน
รับสั่งซักสอบความถามหลวงพล ได้ยุบลวาสุนัขประจักษ์จริง
เปนเขาใหญ่ใกล้นทีสีคล้ำหน่อย ศิลาลอยน้ำเซาะเราะตลิ่ง
ที่ในน้ำก้อนกระเดนเปนหมอนอิง เหมือนใครทิ้งหมอนขวานลอยพ่านมา
ยอดคิรีมีรูปศิลาเด่น บางคนเห็นเปนสุนัขประจักษ์หน้า
บ้างก็เห็นว่าเปนรูปอาชา ตามจินดาผาก้อนนี้เปนสีแดง
เดินเลี้ยวหาดกอตะไคร้ไปเต็มคุ้ง ศิลายุ่งริมน้ำคล่ำหลายแห่ง
เปนเขาสูงสีเหลืองเรื่อเรืองแรง ด้วยยามแล้งไม้ตะพดจะผลัดใบ
ส่วนเขาม้ากลับมาอยู่เบื้องหลัง หัวแหลมฝั่งเลี่ยนลาดเปนหาดใหญ่
ตั้งพลับพลาประทับร้อนผ่อนพลไกร ที่ระหว่างเขาใหญ่ทั้งสองนี้
ด้วยทินกรอ่อนแสงแฝงเมฆหม่น สุริยนยังพยับอ่อนอับสี
พิรุณโรยโปรยมาแต่ราตรี จนรุ่งแสงสุริย์ศรียังพราวพรม
ที่เขากวางขวางฝั่งตั้งสง่า เปนหน้าผาเพิงใหญ่มีไม้ร่ม
ศิลาขาวดำเด่นเห็นน่าชม ผ่านประสมกันเปนสายดูพรายพรรณ
ถึงแก่งยาวแลราวสักแปดเส้น น้ำเชี่ยวเช่นแก่งทั้งหลายที่ผายผัน
เห็นเขากวางอยู่ข้างหลังตั้งพงัน เขาม้านั้นขวางหน้านาวาไป
ตวันออกที่เห็นนั้นเปนหาด ศิลากลาดเกลื่อนสลอนบ้างก้อนใหญ่
จนพ้นแก่งน้ำเชี่ยวเลี้ยวขึ้นไป เปนตะไคร้แลศิลาหนาฝั่งราย
แล้วไปถึงน้ำเชี่ยวเรี่ยวอิกเล่า แลเห็นเขาม้านั้นกลับผันผาย
ไปอยู่หลังข้างล่างเขากวางย้าย ไปอยู่ฝ่ายข้างหน้านาวาจร
แจวเฉียดไปใกล้เพิงที่เนินผา ชมศิลาซ้อนซับสลับสลอน
ที่ฝั่งเหนือทรายละเมาะเปนเกาะดอน ศิลาก้อนเรียงรายชายชลธี
อิกคุ้งหนึ่งถึงแก่งหินตพาน ศิลาดานเกิดเปนคันกั้นวิถี
แต่จมขวางอยู่ในกลางวนวารี น้ำปรึงปรี่ฟุ้งกระเซนอยู่เปนฟอง
แลเห็นเรื่องเขาม้าขวางหน้าคั่น เขากวางผันไปอยูหลังบังขนอง
ต่อไปฝั่งเปนศิลาหนาเปนกอง ต้นแว่ป้องปกหลังกำบังเงา
บ้างรูปรีที่วางขวางเปนแท่น บ้างง่อนแง่นดูผงกจวนตกเขา
ที่เอนอิงพิงกันขันไม่เบา ดูเหมือนเข้าไปกระเทือนจะเคลื่อนครืน
หมดศิลามาถึงแก่งน้ำเชี่ยว เขากวางเลี้ยวขึ้นไปขวางทางทมื่น
เรื่องเขาม้ามาข้างหลังไม่ยั่งยืน เห็นหาดยื่นยาวพอต่อแก่งไป
หัวหาดเห็นเปนชวากบากหาฝั่ง ศิลาตั้งเพิงผาหน้ายื่นใหญ่
เรือสำปั้นน้อยน้อยลอยเข้าไป จอดอาไศรยร่มบังได้ทั้งลำ
เห็นเขากวางอยู่ข้างตวันตก แต่เวียนวกเห็นไปได้ยังค่ำ
แลเห็นเขาช้างอ้วนสวนมานำ ดูโตดำรูปเหมือนช้างอย่างคุกเทา
ยังลูกน้อยพลอยแอบอยู่ที่นั่น เขาเรียกกันก่อนเก่าเขายุ้งเข้า
ที่ช้างกินแล้วก็นอนซ่อนซบเซา เลยเปนเขาอยู่ที่นี่มีนิทาน
ตวันออกเฉียงใต้นั้นได้เห็น เขากวางเปนที่สุดอวสาน
เพราะวิ่งเหนื่อยเลื่อยล้ามาช้านาน จึงคิดอ่านเลี่ยงไถลไปซุ่มกาย
ริมร่องมามีศิลาสุมในน้ำ ต้นตะไคร้ขึ้นประจำเปนเครื่องหมาย
อิกคุ้งหนึ่งก็พอถึงที่พุพราย ค่อนข้างร้ายในวารีมีศิลา
ทั้งสองข้างร่องกลางทางเรือแล่น ต้องเหมาะแม่นมิให้บ่ายไปซ้ายขวา
แผนที่เรียกพุไคร้ได้เห็นมา แต่ที่ว่าพุพรายนั้นกลายไป
ตำบลนี้มีในจดหมายเหตุ เปนขอบเขตรตัดลำเลียงสเบียงไพร่
คราวพม่าหมายมาเหยียบกรุงไกร ตั้งทัพใหญ่ลาดหญ้าท่าสงคราม
ฝ่ายกรมพระราชวังมาตั้งรับ แต่งกองทัพตัดลำเลียงสเบียงข้าม
เพื่อให้หย่อนอ่อนกำลังข้างภุกาม นายทัพสามคนรับสั่งมาตั้งคอย
อยู่ที่นี่มีความขามขยาด ด้วยเขลาขลาดเลี่ยงหลบทบทวนถอย
ขุนหมื่นที่กตัญญูเปนผู้น้อย จึงนำถ้อยความฟ้องถึงกองทัพ
ดำรัสใช้ให้พระยามณเฑียรบาล รับบรรหารถืออาญาลงมาสรรพ
แม้นได้จริงมั่นคงจงบังคับ ให้สมกับความผิดที่คิดท้อ
ข้าหลวงไปไต่ถามตามรับสั่ง ได้ความดังที่หามาทุกข้อ
ตัวนายทัพนั้นบังคับให้ฟันฅอ ชลอมห่อหัวตามกันสามคน
คือพระยาสีหราชเดโชไชย แลสิงหราชฤทธิไกรอิกเปนต้น
พระยาเพ็ชรบุรีที่นายพล จะได้ยลเปนอย่างปางหน้าไป
ปลัดทัพดาบสับศีร์ษะเสี่ยง เพราะหาเถียงทานทัดขัดกันไม่
นำศีร์ษะไปถวายที่ค่ายใน เสียบปลายไม้ไว้ให้คนดู
ฝ่ายกองโจรก้าวสกัดดำรัสเกณฑ์ พระองค์เจ้าขุนเณรให้เปนผู้
ไปตั้งคอยด้อมมองหาช่องคู ที่ตัดหมู่กองลำเลียงสเบียงพล
ก็ไปอยู่ตามรับสั่งตั้งพุไคร้ แต่กองลาดกวาดไปในไพรสณฑ์
ได้สเบียงม้าช้างบ้างผู้คน จนผจญพม่าพ่ายกระจายไป
ตวันตกต่อนี้มีคลองน้ำ ชื่อก็ซ้ำกันกับแก่งหาแปลงไม่
เปนคลองมีวารีตลอดไป ลึกเท่าน้ำใหญ่ไม่ผิดกัน
ที่ปากคลองมีกองศิลาบ้าง แล้วเลี้ยวทางทิศเหนือเรือผายผัน
ไปถึงเรี่ยวมะกอกน้ำไม่สำคัญ เกิดเกาะกันกีดขวางทางคงคา
ร่องน้ำใหญ่ไปทางตวันออก พอถึงนอกหมายมุ่งไปคุ้งหน้า
ถึงหาดทรายชายวารีมีศิลา ที่ฝั่งหนึ่งนั้นก็หนาเนื่องกันไป
ตวันออกกอตะไคร้ไปพอสิ้น ก็ถึงถิ่นห้วยมะเดื่อเรือเดินใกล้
เห็นเขาแดนศรีสวัสดิ์ชัดไกลไกล เปนชวากเวิ้งใหญ่เข้าในบึง
แก่งแม่น้ำจ้ำแจวรีบแคล้วคลาศ น้ำเชี่ยวปราดเหมือนจะไปไม่ใคร่ถึง
แม่น้ำเก่าอยู่ข้างดูกว้างซึ้ง ช้างอ้วนซึ่งเห็นแต่ก่อนย้อนตามมา
ศิลารายชายชนจนถึงเรี่ยว ไปอิกเลี้ยวเรือจึงถึงก้อนผา
ล้วนงามงามหลายอย่างสำอางตา จะพรรณาไปไม่หมดเหลือจดจำ
เห็นเขาเขียวขึงตั้งอยู่ข้างหน้า อ้อมหาดมาถึงเรี่ยวเทียวแจวจ้ำ
ชื่อวังใหญ่ในฉลากลากหมึกดำ ต้องทวนน้ำหน้าหาดไหลปราดปรึง
เลี้ยวชวากบากเรือไปข้างซ้าย แสนสบายดีจริงน้ำนิ่งอึ้ง
เขียวจนดำด้วยว่าล้ำเหลือลึกซึ้ง ก็พอถึงที่ทอดจอดพลับพลา
พอบ่ายสามโมงถ้วนกระบวนพร้อม รายจอดอ้อมหัวหาดประหลาดท่า
ที่ริมหาดดาดปะรำทำยาวมา ให้นาวาพระประเทียบจอดเรียบเรียง
ตรงหัวแง่แคร่ปะรำทำที่เลี้ยว จอดลำเดียวที่นั่งรองต้องเฉลียง
เปนที่พักพวกข้างหน้ามาพร้อมเพรียง พลับพลาเบี่ยงออกไปห่างต่างตำบล
ลึกเข้าไปถึงในชวากหาด ตัดกันขาดกับข้างในไม่สับสน
ดูริมน้ำข้ามคละเหมือนปะปน ข้างในชนกับข้างหน้าพลับพลาไกล
ต่อขึ้นไปถึงบนหาดจึงคาดถูก ปะรำปลูกผ้าขึงเดินถึงใกล้
ข้ามตอแหลมตัดทางมาข้างใน ข้างหน้าไปลอยเด่นเปนเขตรแดน
หว่างพลับพลากั้นฝาเปนที่สรง ข่ายลวดวงเฝือกกั้นอิกชั้นแน่น
ปะรำคาไม่มีใช้ใบไม้แทน แครต่างแท่นเทียมหน้าขอบวารี
ตัวพลับพลาห้าห้องทั้งเฉลียง ปะรำเรียงกว้างใหญ่ไว้เปนที่
เรือที่นั่งจอดชิดสนิทดี ด้วยพื้นมีชานกลางสำอางตา
พลับเพลานั้นกั้นสกัดไว้สามห้อง มุ่ลี่ลูกปัดกรองลายปรกฝา
ฉากยี่ปุ่นปันห้องช่องลิลา ตอนข้างหน้าเปิดโถงโปร่งสบาย
ที่หลังคาฝาใช้ไม้ไผ่ผ่า ไม่ใช้คาเพราะว่าขัดผลัดขยาย
ที่พื้นรอบขอบลาดหาดกรวดทราย ปักคร่าวรายขึงผาเปนฝาบัง
แลเบื้องซ้ายชายฝั่งดังบรรพต เปนวงคดเรียงรอบขอบชันตั้ง
เหมือนเชิงเทินเนินเขตรนิเวศน์วัง ซ้อนสพรั่งด้วยศิลาเปนท่ามอ
ที่ก้อนใหญ่ยื่นเห็นเปนเพิงคว่ำ ดูเงื้อมง้ำพลิกแพลงเหมือนแกล้งก่อ
ตะไคร้แซกซอกบังอยู่ทั้งกอ เปนตะง่อตะแง่แลละลาน
ที่บนหลังตั้งต่อพื้นกอไผ่ ล้วนสูงใหญ่ยอดเผยอเสมอสมาน
ชิดเสียกว่ารั้วค่ายคล้ายปราการ ไม่มีด้านใดว่างห่างขอบวง
ที่ตรงกลางหว่างวังชิดฝั่งหน่อย เปนเกาะน้อยน่าพินิจพิศวง
ต้นตะไคร้แลชอุ่มเปนพุ่มพง ปักเสาธงไว้ตรงกลางที่ข้างเต็น
ปักเตาม่อตพานน้ำให้ต่ำต้อย เก้าอี้น้อยใหญ่ตั้งไว้นั่งเล่น
โคมกระดาษกลาดตาเวลาเย็น ดูเหมือนเช่นบุบผชาติดาดเปนพวง
ริมหาดทรายรายปักหลักน้อยน้อย ผูกเรือลอยไว้สำหรับได้รับช่วง
ตวันบ่ายไม้ปิดหมดมิดดวง ยังฉายช่วงส่องสว่างกลางนภา
เสด็จลงสรงสนานในที่กั้น แล้วผายผันกลับตรงไปลงท่า
เสด็จทรงเรือกระเชียงยุคลคลา ข้างในลงนาวาสำปั้นพาย
เที่ยวเล่นล่องตามท้องชลาสินธุ์ รอบรอบถิ่นเกาะน้อยลอยผันผาย
สำราญรื่นชื่นชมด้วยลมชาย สุริย์ฉายก็ยิ่งอ่อนรอนรอนเย็น
เลยครรไลไปถึงเลี้ยวเหลียวแลลิ่ว ไม้เปนทิวแถวสล้างทางที่เห็น
เปนรั้วรายสองข้างไม่ว่างเว้น เห็นเขาเด่นดูเหมือนหมอกออกมัวมนท์
เปนหลายยอดสอดแซมแหลมสลับ เหมือนฉากพับภาพวิไลยรูปไพรสณฑ์
ล้วนเรือแพแซ่สำเนียงด้วยเสียงคน แล้วพายวนเวียนล่องฟ่องฟูมา
อยากทรงทวนวารีที่ตรงเรี่ยว เห็นโชนเชี่ยวแลลานน้ำฉานฉา
ล่องครรไลไปถึงท้ายพลับพลา ทัศนาเรือจอดทอดเรียงลำ
แล้วกลับสวนทวนกระแสสายชลเชี่ยว จ้วงเต็มเหนี่ยวตืดตึงจนถึงจ้ำ
นึกสงสารพวกฝีพายจ่ายประจำ แจวยังค่ำจะมิเหนื่อยเมื่อยเต็มประดา
เรือฉันเรียงเคียงแข่งพระที่นั่ง อุส่าห์ตั้งใจพายไม่ขายหน้า
เกือบขาดลำโขลนเขาหยุดสุดปัญญา หัวเกือบผ่าเข้าไปในตะไคร้น้ำ
ทีละนิดทีละหน่อยค่อยขยับ คอยจะกลับถอยหลังวันยังค่ำ
ต่อเขาช่วยส่งท้ายพายพุ้ยซ้ำ เรือจึงล้ำเลยทลึ่งเข้าถึงวัง
พอพ้นสายพายฉวางเหมือนอย่างวิ่ง ด้วยน้ำนิ่งแน่กระไรไม่ไหลหลั่ง
พบพวกญวนลงอวนแอบประนัง เข้าไปนั่งแลดูอยู่แต่ไกล
ดูไม่ดังโครมครามตูมตามมาก เห็นลากลากขึ้นมาว่าปลาใหญ่
เสียงขลุกขลักสักประเดี๋ยวเลี้ยวเข้าไป ดูใกล้ใกล้จึงเห็นออกเปนกอง
สวายวังตั้งบาญชีมีร้อยกว่า เขาจับมาถวายอย่างแต่เพียงสอง
ยาวศอกเศษสังเกตตาท่าทำนอง ได้ยินร้องว่าได้ยักษ์ฉันหนักใจ
คเนท่าว่าหน้าตาจะยู่ยี่ มิรู้อีทุบที่เห็นหาผิดไม่
แต่ตัวย่อมผอมสั้นกว่ากันไป ปลาที่ได้แต่กลางวันนั้นก็มี
เขาจัดอย่างวางเรียงไว้ถวาย มีธงรายชื่อปักประจำที่
รับสั่งให้ไปดูรู้วิธี จะได้จดแดรีเปนเรื่องราว
มีปลาสร้อยสามอย่างต่างต่างชื่อ อย่างหนึ่งคือเรียกว่าปลาสร้อยขาว
อย่างหนึ่งสร้อยนกเขาค่อนข้างยาว อย่างหนึ่งกล่าวว่าท้องแฟบเปนแยบคาย
ปลาชองโลงแลตะโกกกับกดวัง ปลากำมางกับทั้งปลาสวาย
ทั้งอย่างใหญ่อย่างย่อมพร้อมเรียงราย สำหรับจ่ายเลี้ยงดูไพร่ผู้ดี
ที่ย่อมหน่อยว่าอร่อยกว่าอย่างใหญ่ โตเกินไปหนังเหนียวต้องเคี้ยวถี่
ปลาไส้ตันกับอ้ายบ้าท่าเต็มที งามแต่สีสันสอาดประหลาดตา
ปลาตาเหลือกเลือกชื่อช่างเหมาะแท้ ปลากระแหปลากดจดเลขา
ตะเพียนทองผ่องแผ้วเพียงทองทา ยังพวกปลาอีทุบใหญ่ได้หลายตัว
ที่ยังเปนเห็นผูกไว้ในน้ำ ดูดำดำมองเขม้นเห็นแต่หัว
สักสี่ห้าด้วยกันว่ายพันพัว ดูไม่ทั่วด้วยเขาไว้ไกลพลับพลา
ปลาสวายอย่างใหญ่ได้กลางวัน หมดด้วยกันว่าถึงสามร้อยกว่า
ได้แจกจ่ายไปทุกลำนาวา เปนสเบียงโยธาไม่ฝืดเคือง
พลับพลานี้เปนที่โปรดประพาส ด้วยสอาดอิกทั้งท่ากั้นฝาเฝือง
พระชิณดิฐบดีที่เจ้าเมือง ดูแลเรื่องโยธาที่มานั้น
หมื่นไชยภูษามากำกับ ได้บังคับการสิ้นทุกสิ่งสรรพ์
เนื้อความที่จำจดพอหมดวัน ขอผ่อนผันพักไว้ไปพรุ่งนี้ ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ