วันที่ ๑ วัน ๑ ๕ฯ ๒ ค่ำ

วันที่ ๑ วัน ๑ ๒ ค่ำ

๏ เมื่อคืนนอนไม่ใคร่หลับเพราะนับทุ่ม ให้กลัดกลุ้มดวงจิตต์ผิดไฉน
ข้างธานีฤๅก็มีห่วงใย ข้างอยากไปฤๅก็แรงแย่งยื้อกัน
แปดทุ่มเศษสู้ระงับหลับสนิธ เขาสกิดปลุกยังกำลังฝัน
ว่าไปไทรโยคค้างอยู่กลางคัน จำได้มั่นแต่ท้องช้างชลพร่างพรู
แต่ถิ่นฐานทางไศลให้เลื่อนเปื้อน เห็นเลือนเลือนเหลวไหลอย่างไรอยู่
เผยเนตรจ้องมองนาฬิกาดู เห็นจวนตรู่เกือบสางสำอางกาย
พอเสร็จสรรพกลับคืนเข้าในห้อง นึกถึงต้องจากไกลก็ใจหาย
ชลเนตรแถวถั่งลงพรงพราย ผูกคาดด้ายขวัญตฤกนึกให้พร
แล้วปลงใจว่าจะไปทุรสถาน ทางกันดารเดินพักขยักขย่อน
ถึงพาไปไหนจะสู้อยู่นคร หักใจจรจากตรงลงเรือนมา
พอตีย่ำรุ่งเสร็จเสด็จออก โดยทางนอกข้างในตรงลงไปท่า
เสด็จลงเรือที่นั่งส่งสัญญา เรียกแตรมาเป่ากระทั่งเปนกังวาน
ให้ดำเนินเดินกระบวนถ้วนทุกหมู่ ฉันเปิดดูนาฬิกาน่าขนาน
ได้ย่ำรุ่งสามสิบสี่มีประมาณ จากสถานกรุงเทพดำเนินทาง
เปนหมอกหนาวขาวสลัวทั่วแม่น้ำ ไม่เห็นลำเรือทั่วน่ากลัวขวาง
ปรอทเจ็ดสิบถ้วนจำนวนวาง เปนปานกลางไม่สู้หนาวคราวรดู
เรือลำทรงองค์นี้มีนามว่า ที่นั่งหยอดไนยนานับเปนคู่
ฟ้าชายทึ่งที่นั่งรองงามฟ่องฟู หนึ่งในหมู่นั้นสมเด็จเสด็จทรง
เสด็จที่บนเรือต้นคู่ชีวิต ลำชื่อพิศพาปลื้มไม่ลืมหลง
ท่านองค์เล็กลอยกระชั้นจำมั่นคง ตราพระองค์มีประจำหน้าลำไว้
อิกเจ็ดลำทำเปนเรือประเทียบ ในรเบียบชื่อประทานอ่านจำได้
ลำหนึ่งแลลืมพริบเพราะกะไร ต่อไปสิบลำแลกแซกเสียดกัน
ยังเรือแปลกเหล่าหลายตามลายขาด หนึ่งคล้ายอาสน์สรวงตรงทรงเสกสรร
ลำหนึ่งล่วงอาสน์หล้ามาเรียงรัน อิกลำนั้นชื่อว่าฝ่าชลปลิว
ลำหลังฉิวเฉียดลมชั่งสมชื่อ ลมกระพือเพียงจะพลอยเลื่อนลอยลิ่ว
ขนาดเดียวกันทั้งผองฟ่องเปนทิว ธงรื้วรื้ววายุพัดสบัดปลาย
รูปเรือเลียนอิตาลีเลี่ยนแหล่งวินิศ ประดับประดิษฐเก๋งใช้งามใจหาย
ทั้งนอกในไม้ประกอบกรอบลวดลาย น้ำมันรายทาฉาบปลาบเปนเงา
ที่ลำดีแพรดวงติดห่วงม่าน ล้วนสอ้านสอาดสีไม่มีเศร้า
ที่สามัญกำมหลิดพิศเพริศเพรา เหมือนจะเย้ากมลปลื้มลืมวังใน
ฝีพายพื้นแต่สกรรจ์เลือกสรรจัด ได้ฝึกหัดท่าทางเปนอย่างใหม่
พร้อมเรือนำเรือตามหลามครรไล แต่ฉันไม่ทราบทั่วเพราะมัวมนท์
มองเขม้นเห็นฝั่งเปนครั้งแรก เห็นเปลี่ยนแปลกนิ่งพินิจคิดฉงน
ถิ่นวังหลังตั้งแต่ไรมาได้ยล ดูรกจนจะเปนป่าพนาดร
เดี๋ยวนี้เปลี่ยนแปลงใหม่ไม่รู้จัก แต่ตระหนักตะพานน้ำจำได้ก่อน
ได้เคยเห็นที่พระเมรุเจนใจจร แล้วถอนมาปลูกไว้ใช้ขึ้นลง
สำหรับโรงพยาบาลการกุศล ได้เพิ่มผลบุญนิธิ์อุทิศส่ง
คนเจ็บไข้ได้อาศรัยดังใจจง มดหมอคงคนผู้อยู่ประจำ
คอยดูแลปรนิบัติจัดรักษา ทั้งเวลาดึกดื่นกลางคืนค่ำ
อาหารต้มอาหารสวยช่วยหาทำ จนชั้นน้ำท่าไม่ให้ขาดเคือง
ทั้งหยูกยาก็ว่ามีชงัดขลัง ชื่อเสียงดังอึงอื้อคนฦๅเลื่อง
ที่ยากไร้ไปอยู่กันนองเนือง ช่วยปลดเปลื้องโรคภัยได้สำราญ
ชาววังในก็พอใจไปรักษา ชมกันว่าสบายใจกว่าไปบ้าน
จนถึงชั้นพวกผู้ดีที่กันดาร ไม่รำคาญเคืองหูอยู่สบาย
เข้าคลองบางกอกน้อยลอยลิลาศ มีแพตาดเนืองนองล้วนของขาย
คนคอยดูอยู่สพรั่งทั้งหญิงชายเ รือแจวพายผ่านห้ามปรามกันอึง
จะร่ำไปไหนจะจบจนพลบค่ำ ดูไม่สำคัญอะไรใกล้นิดหนึ่ง
ไปพ้นแพอิกเปนนานพานจะซึ้ง จึงลุถึงคลองมหาสวัสดี
ไชยพฤกษมาลาอารามหลวง เรือผ่านล่วงข้างเฉวียงเคียงวิถี
วัดข้างในเข้าไปหน่อยหนึ่งยังมี ชื่อว่าศรีปวัศยาราม
น้ำในคลองที่ตรงนี้ลึกสี่ศอก เขาร้องบอกแน่ใจได้สอบถาม
ไม่นึกว่าน้ำจะแห้งเหมือนแจ้งความ แลดูตามตลิ่งลดรทดใจ
ถึงศาลาเจ้าพระยามุขมาสร้าง ไว้ที่ข้างลำคลองสามห้องใหญ่
เขาเตรียมฝูงกระบือลากมากกะไร ทั้งเชือกใช้คนผู้อยู่พร้อมพรัก
จมื่นราชามาตยมาบังคับ เมืองนนท์รับตามแขวงแจ้งประจักษ์
กระบือโยงเชือกลากกระชากชัก มีตอหลักข้างคลองต้องตัดฟัน
ทอดตะพานผ่านลำกระโดงทั่ว พอจุตัวกระบือเดินดำเนินผัน
สองตัวลากกระชากเชือกมักชวนพัน ต้องแก้กันเกะกะระทางจร
เรือก็แล่นรีเรื่อยดูเฉื่อยฉุย คิดว่าพุ้ยเลนมาช้าเต็มอ่อน
บัดเดี๋ยวหัวเรือหันเข้ารันดอน ต้องถอยถอนตัวกลับนับหลายครั้ง
กระบือช้าเชือกคว้าตอรอยตัด ต้องตวัดวุ่นวายตามชายฝั่ง
คนวิ่งตามหลามหน้าดาประดัง เสียงตึงตังไปทุกทอดตลอดทาง
จีนคนหนึ่งเปนกำนันพันรองบ้าน พอเชือกพานตอไม้เข้าไปขวาง
จะขลุกขลักกันอย่างไรไปงัดง้าง แล้ววิ่งวางวามวู่ชูมือมา
ตะโกนก้องร้องว่าข้อมือหัก รับสั่งซักไซ้ถามตามกังขา
ก็ให้การฟั่นเฝือเหลือตำรา จนนึกน่าแหนงจิตต์คิดระแวง
ประทานห้าตำลึงพักขยักไว้ จะสืบใหม่ให้สว่างกระจ่างแจ้ง
ภายหลังได้ข้อความตามทรงแคลง แต่พลัดแพลงไปอีกอย่างต่างกระบวน
ว่ามือหักเห็นประจักษ์เปนจริงแน่ เว้นไว้แต่ไม่จำเปนเห็นกันถ้วน
ไปด้วยฤทธิ์แรงโอเดินโซซวน ไปม้วนต้วนเตะคันนาจนหน้าเปิง
ส่วนใครใครนั้นเขาใช้ไม้ง้างงัด ฤๅสาววัดตวัดไปไม่ไหลเหลิง
จะประทานเติมใหม่ก็ใช่เชิง กลัวลเลิงเลยกลมจนล้มตาย
ที่หลักสามตามคลองเปนโคลนค่น ยิ่งไปจนพรมแดนแค่นใจหาย
น้ำศอกถ้วนล้วนแต่เดินด้วยแรงควาย แล่นสบายมาบนเลนอิกเปนนาน
คลองทวีวัฒนาขุดมาหมาย จะชักสายน้ำขวางที่กลางย่าน
กลับตันยิ่งกว่าเก่าไม่เข้าการ น่าสงสารเรือลูกค้าที่มาไป
ต้องหยุดยั้งคั่งน้ำแสนลำบาก จ้างเขาลากบาทหนึ่งจึงไปได้
เรือโตโตเต็มราคาเขาว่าไว้ สามบาทให้ลากส่งลงนที
คลองนราภิรมย์นิยมหมาย มากลับกลายชื่อใหม่ไฉนนี่
เรียกมหาบุรีรมย์งมเหลือดี เห็นรอยมีเปนแต่ร่องเหมือนคลองนา
ถึงหลักห้าเขาว่าน้ำสองศอกคืบ จับแจวสืบสวนทางไปข้างหน้า
น้ำลึกลงโดยลำดับนับถึงวา ยิ่งต่อมาก็ยิ่งมากจนบากคลอง
น้ำเจ็ดศอกเมื่อจะออกแม่น้ำใหญ่ แจวครรไลเคลื่อนคล้อยเรือลอยล่อง
ฉันได้ตรวจนาฬิกานับมาลอง ถึงปากช่องตวันตกหกชั่วโมง
ที่สองข้างทางมาล้วนนาไร่ ดูทิศใดก็ล้วนมีแต่ที่โปร่ง
เจ้าของหนึ่งริมวิถีก็มีโรง ต้นไม้โหรงร่มกระท่อมเปนหย่อมราย
ไม่รื่นรมย์ชมอันใดก็ไม่ขัน เหมือนเหมือนกันไปทุกถิ่นสิ้นทั้งหลาย
ตามแถบนี้ว่าเปนที่นาเจ้านาย ได้แจกจ่ายมาแต่หลังครั้งขุดคลอง
ยามกลางวันร้อนวางอย่างอุกฤษ ปรอทติดขีดเค้าเก้าสิบสอง
เรือก็ช้าน่าเบื่อเหื่ออาบนอง แสงแดดส่องม่านขึงยิ่งถึงดี
ต่อออกไปใกล้ลำแม่น้ำใหญ่ จึงได้เห็นบ้านเรือนกลาดเกลื่อนถี่
กระโจมด่านแปลกตาริมวารี ถึงทาสีใหม่เรี่ยมแต่งเตรียมรับ
เครื่องบูชาตั้งไว้ที่ในนั้น เปนช่องชั้นคู่เคียงเรียงลำดับ
สุริยฉายบ่ายคล้อยย้อยรยับ ลาแจ่มจับชลธารฉาดฉานแดง
บ้านเรือนริมนทีก็มีมาก ปักฉลากบอกตำบลทุกหนแห่ง
แต่นาวามาทห่างอ่านคลางแคลง ตวันแย้งเข้าอิกซ้ำยิ่งทำเฟือน
บ้านฝั่งซ้ายชายจะมากกว่าฝั่งขวา เรือนโรงหนาคนผู้ดูกลาดเกลื่อน
ต่อไปเปนหย่อมย่านหมู่บ้านเรือน ดูมากเหมือนอย่างจะไม่ใคร่ห่างกัน
มีเรือกสวนฤๅไร่ไม่ใคร่เว้น เพราะว่าเห็นไม่ถนัดชัดเจนมั่น
ทั้งอารามตามลำแม่น้ำนั้น เรียงคั่นคั่นบ้านรายหลายตำบล
แจวทวนน้ำร่ำมากว่าโมงหนึ่ง จึงได้ถึงที่ประทับคนสับสน
ถ้าจะคิดระยะทางมากลางชล จรดลได้ขนาดที่คาดไว้
เก้าชั่วโมงมีเศษเกือบถึงสิบ ประเทียบลิบอยู่ข้างหลังยังไหนไหน
จนเกือบพลบถึงถ้วนกระบวนใน ทางครรไลเก้าร้อยเส้นเปนประมาณ
ที่ประทับทำไว้ใต้คลองหน่อย เปนแพลอยปะรำดาดสอาดสอ้าน
ดูยาวใหญ่กว้างขวางอย่างสำราญ ที่ตรงด้านริมฝั่งตั้งฝากัน
อันด้านหน้ามีปะรำในน้ำกว้าง เรือจอดขวางลำซ้อนพอผ่อนผัน
ที่ตอนเหนือเปนข้างหน้ามีฝาปัน ตอนถัดนั้นที่ประทับลำดับมา
เรือที่นั่งจอดแนบแอบถนัด ห้องสกัดต่อไปใช้กั้นฝา
ล้วนแต่ผ้าขาวดาดสอาดตา แล้วติดผ้าแดงทับสลับลาย
ตอนต่อไปไว้ทอดเรือประเทียบ แต่งเรียบเรียบตลอดแพแลเฉิดฉาย
ปูเสื่อเจียมพรมมีเก้าอี้ราย น่าสบายเหมือนจะพักสักเจ็ดคืน
ที่ตรงข้ามตามโคมน้ำมันหิ้ว เปนแถวทิวทอแสงแดงสดื้น
ยาวจนสุดไนยนาพาครึกครื้น ดูเริงรื่นคล้ายอิลูมิเนชัน
เรือล้อมวงกงกำประจำที่ จุดโคมสีมีสำหรับดูขับขัน
เสียงเคาะฆ้องแข่งขานประสานกัน เรือผายผันขึ้นล่องร้องทักทาย
ท่านผู้หญิงสุ่นมาเวลาค่ำ อยู่คอยทำเครื่องร้อนร้อนผ่อนถวาย
ลงเรือสำปั้นเปล่าบ่าวหญิงพาย ทั้งแจกจ่ายเรือข้างในไม่เว้นตัว
พระยานครไชยศรีที่เปนบุตร ก็ดีสุดการงานพานยังชั่ว
พวกผู้ร้ายบ้ายผาพากันกลัว ด้วยไม่มัวเมาทางข้างสบง
รับสัญญาบัตรมาว่าการใหม่ จะยังไม่ถึงปีมีประสงค์
จะหาชอบประกอบนามตามจำนง ได้สืบวงศ์รับกิจต่อบิดา
จัดการสรรพรับเสด็จเปนการด่วน ทำถี่ถ้วนถูกรบอบชอบหนักหนา
คิดรอบคอบไม่รคางข้างมึนชา ควรชมว่าคนคนนี้เขาดีจริง
กลางวันนั่งมายังค่ำแสนลำบาก มันให้อยากแต่จะเอนรเนนนิ่ง
จะเขียนไปก็ให้ป่วนชวนเวียนวิง ขอจบทิ้งทอดไว้ในเท่านี้ ฯ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ