วัน ๗ ๒ฯ ๓ ค่ำ

วัน ๗ ๓ ค่ำ

๏ เช้าสามโมงเศษส่วนกระบวนเคลื่อน ค่อยล่องเลื่อนลอยหลามตามวิถี
นับลำเนาระยะบ้านชานวารี ดูถึงถี่กว่าแต่ก่อนตอนข้างบน
พ้นพลับพลามาถึงบ้านสามเจ้า แล้วลำเนาท่านกเอี้ยงเสียงสับสน
ศีร์ษะกรวดม่วงชุมกลุ้มผู้คน ยืนกลางชลเชือกลากกระชากเรือ
ด้วยเปนหาดดาดไปทั้งลำน้ำ ต้องเข็นค้ำมายากลำบากเหลือ
บ้านต่อไปนั้นไม่มีเรื่องราวเจือ ว่าจะเฝือฟังซ้ำให้รำคาญ
แต่พลับพลามาตามระยะนี้ เรียงรายถี่มาถึงสามสิบห้าบ้าน
มีผู้คนคลาคล่ำทำงานการ ทั้งเรือนชานตั้งอยู่เปนหมู่กัน
มีวัดวาอารามตามลำดับ กำหนดนับหกวัดล้วนจัดสรร
ปลูกปะรำริมหาดดาดผ้าพัน คอยชยันโตถวายรายทางมา
ประทับร้อนตอนท่ากระทุ่มใหญ่ ปะรำใช้ยาวเยิ่นเกินนักหนา
เวลาเที่ยงจอดประทับที่พลับพลา มีประชาถวายของอยู่สองราย
รายหนึ่งนั้นนกยุงขังกรงใหญ่ เขาฟักไข่ได้ทั้งสี่ดีใจหาย
ยกลงในเรือที่นั่งตั้งตอนท้าย พอตกบ่ายโมงบอกออกนาวา
ระยะนี้บ้านถี่กว่าตอนเช้า ภูมิ์ลำเนาปึกแผ่นดูแน่นหนา
ไร่กล้วยอ้อยริมฝั่งสพรั่งตา ปะหลังคาโรงหีบเห็นเนืองเนือง
ที่เปนโรงจีนอยู่รู้ถนัด จุดประทัดปึงปังดังกระเดื่อง
ดาดปะรำผูกผ้าแดงแสงประเทือง ตั้งโต๊ะเครื่องบูชาหน้าโรงร้าน
ที่บ้านไทยมักใช้ปะรำแคบ สี่เหลี่ยมแบบมากกว่ารีมีทุกบ้าน
มีธูปเทียนทั้งดอกไม้ใช้ติดพาน ต่อนานนานมีบ้างอย่างหน้าพระ
คือใช้หีบฉำฉามีเท้าคู้ ผ้าขาวปูขวดตั้งเปนจังหวะ
ถ้วยแก้วปักธูปกลางหว่างระยะ เชิงครุคระปักประทีปเทียบคู่เคียง
เด็ดดอกไม้มักจะใช้แต่ชั่วก้าน ต้องลิดลานใบสดจนหมดเกลี้ยง
ปักฅอขวดเปนพนมพุ่มกลมเรียง ให้พอเพียงเสมอขอบระบอบไทย
ที่พงตึกอึกกระทึกกว่าทุกแห่ง ม้าฬ่อแฝงเผาประทัดเสียนัดใหญ่
ที่โรงบ่อนละคอนอึงคนึงไป อย่างเมืองใกล้ถิ่นฐานชานนคร
ดลพลับพลาบางพังอยู่ฝั่งขวา สุริยาเยื้องพยับแสงอับอ่อน
สี่โมงครึ่งถึงลำดับไม่ซับซ้อน ทรงอักษรจนเวลาห้าโมงปลาย
ทรงเครื่องเสร็จเสด็จขึ้นสู่ฝั่ง ตลิ่งตั้งมิได้ราบไม่ปราบฉาย
ตัดชันตรงเหมือนอย่างลงเขื่อนอิฐราย คิดขยายพื้นคั่นตัดบันได
เปนเกยตรงลงได้ทั้งสองข้าง ทางขึ้นกว้างไม่สู้ชันคั่นใหญ่ใหญ่
ขัดจนเกลี้ยงเกรียงกวดกันลงไป เหมือนกรงใส่จังหรีดเล่นก็เช่นกัน
ขึ้นถึงพื้นรื่นตาพฤกษาสวน มีลูกล้วนหลากจิตต์ดูผิดผัน
ต้นมะตูมตกเครือเหลือรำพัน จะว่าฉันลวงหลอกบอกจริงจริง
ต้นส้มซ่าลูกระย้าเปนชมภู่ มะพร้าวอยู่ค่าคบออกกบกิ่ง
ส้มโอหล่นจากต้นตลิงปริง ลงกองกลิ้งอยู่สล้างข้างพุดทรา
ต้นมะม่วงมีลูกออกเลอะวุ่น เปนขนุนนับไม่ถ้วนล้วนหนามหนา
อ้อยไปแอบต้นมะนาวยาวเกือบวา ข้างต้นหาได้ทุกอย่างพื้นต่างพรรณ
จะว่าไปยาวนักกลัวจักช้า ด้วยเวลาจวนค่ำกรรมของฉัน
เสด็จออกนอกสวนฉนวนกัน หยุดตรงนั้นอยู่สักครู่ฉันอยู่ใน
เขาอ่านรายของถวายที่ในสวน ทุกสิ่งล้วนพระปลัดเขาจัดได้
มาแขวนห้อยคอยถวายหลายวันไป เปนเขตรในราชบุรีที่พลับพลา
พระภักดีดินแดนเปนนายด้าน มาทำการรับเสด็จเสร็จทุกท่า
แล้วดำเนินโดยทางข้างคงคา ตรงขึ้นมาข้างเหนือจากเรือราย
ทางประมาณสิบเส้นเปนโรงเจ๊ก ร่องโว้กเว้กวางกองของถวาย
แล้วเลี้ยวเข้าหมู่ไร่ไปข้างซ้าย ทางผันผายหน่อยหนึ่งถึงพลับพลา
เขาปลูกทำสามห้องเฉลียงรอบ เปนเขตรขอบป้องกันกั้นด้วยผ้า
ปะรำปูเสื่อลาดสอาดตา อ่างธาราตั้งรายไว้หลายใบ
พระดำเนินผ่านไปมิได้ยั้ง ถึงข้างหลังพลับพลามาเปนไร่
ทั้งสองฟากมีหนทางผ่านกลางไป ต้นกล้วยไข่ล้วนกำลังตั้งตกเครือ
ดูยังเขียวอยู่ทุกต้นผลไม้ห่าม เที่ยวมองตามตอนในไปจนเฝือ
เขาโน้มยอดลงไว้ให้เปนเบือ ไม่ใคร่เชื่อเลือกตัดคัดลูกกลม
ที่บางต้นตึงเต่งดูเคร่งครัด จึงเห็นชัดว่าเปนอย่างกำลังบ่ม
ทรงพระแสงองค์สั้นฟันลองคม ฉัวะเดียวล้มทั้งยืนครืนลงมา
แล้วเสด็จตอนในเปนไร่อ้อย ลำน้อยน้อยเหมือนแขนงล้วนแดงจ้า
เมื่อตัดต้องระวังปลายคายกายา ทั้งมีดพร้าก็ไม่มีดีแต่ดู
อันไร่กล้วยเหล่านี้ไม่มีร่อง แต่อ้อยต้องตาฉันเห็นขันอยู่
เขายกร่องปลูกอ้อยในรอยคู แล้วไม่รู้ว่าจะกลบกันเมื่อใด
เจ้าของเขาก็มาเฝ้าอยู่ที่นี่ แต่ไม่มีเวลาพอต่อถามไต่
จึงจำต้องเงือดงดจดเรื่องไว้ ค่ำไรไรเสด็จกลับมาพลับพลา
เรียกเช่นนี้ทีก็ยังจะไม่ถูก มิใช่ปลูกขึ้นใหม่ใช้เคหา
เปนของว่าเจ้าของสวนเขาอยู่มา สามห้องฝาสำหรวดใช้เสาไม้จริง
ระเบียงหน้ามาอิกทีกี่ทอผ้า พวกฉันมาทอได้ไม่ค้างนิ่ง
ที่ริมฝามีไถคันใหญ่พิง กระบะหมากอย่างผู้หญิงอยู่ข้างใน
มีเต้าปูนทองเหลืองเครื่องตลับ หมากสงกับยาบุหรี่ที่จัดใส่
ตะบันทองเหลืองอยู่กับพลูใบ เสียแต่มีดตะไกรขาดไม่มี
มีชานนอกออกไปใช้ฟากขัด ที่ครัวจัดเครื่องใช้ไว้ถ้วนถี่
พร้อมของสดต่างต่างล้วนอย่างดี ทรงสนุกเต็มทีทำเครื่องอาน
เสวยสรงแต่งพระองค์บนนี้เสร็จ พร้อมสมเด็จเสด็จอิกทั้งท่าน
ทรงปรีดาผาสุกแสนสำราญ เสียงสท้านสเทื้อนสากหมากตะบัน
ส้มโอสวนนี้มีสองต้น เต็มด้วยผลมิใช่ตรุดสุดขยัน
เสวยเสร็จเอาจำปามาสอยกัน ต้นหนึ่งนั้นราวร้อยน้อยเมื่อไร
แต่เปนลูกย่อมย่อมไม่หอมหวาน สู้ที่ลานบางปอินยังไม่ได้
บันดาของกองแขวนบนต้นไม้ รับสั่งให้แจกทั่วทุกตัวคน
รับสั่งว่าตำราเขาถือหลาย ว่าเจ้านายขึ้นเรือนแล้วเปื้อนป่น
เจ้าของที่เขาจะมีรังเกียจรังกน แต่เหตุผลพอจะแปลได้แน่นอน
เจ้านายคงจะเปนองค์ที่นุ่งหยี่ ไม่ปรานีตามอย่างแต่ปางก่อน
ไปถึงไหนนุ่งที่นั่นคั้นราษฎร จนกระฉ่อนฉาวไปว่าไม่ดี
แต่ความชั่วนั้นไม่คงแต่องค์นั้น พวกเดียวกันพาเพื่อนเปื้อนป่นปี้
ครั้นเรื่องหลังลืมหายหลายสิบปี จนกลายลงเปนวิธีทางจัญไร
เสด็จขึ้นเรือนนั้นในวันนี้ จะต้องให้เปนเศรษฐีจึงจะได้
ประทานเงินชั่งหนึ่งพอถึงใจ สิ้นสงไสยเรื่องอัปรีไม่มีแวว
ที่ตรงเรือที่นั่งข้ามตามไฟสว่าง ผูกตรางเช่นลับแลแลเปนแถว
อัคคีรายหลายจังหวะกะขัดแนว จนดึกแล้วยังไม่ดับอดหลับนอน
รับสั่งให้ไปถามใครตามถวาย ดูตามชายเชิงตลิ่งวิ่งกันว่อน
ได้ความว่าหน้าไร่ราษฎร สโมสรทั้งมวญชวนกันทำ
คือหัวหน้านั้นนายแฉ่งกรมชาวที่ บ้านอยู่นี่เห็นว่าเวลาค่ำ
จึงคิดตั้งซุ้มไฟไว้ประจำ ที่ริมน้ำพอสว่างกระจ่างตา
ตะเกียงใช้ไม้ควั่นเปนกระบอก น้ำมันกรอกปักรายคล้ายไต้ป่า
แต่มิใช่กระบอกไฟในตำรา เขาอุส่าห์คิดใช้ได้ดิบดี
บรรทมในเรือที่นั่งริมฝั่งฟาก มีลมมากเวลานอนไม่ร้อนจี๋
อันรายวันเรื่องจดหมดเท่านี้ ขอจบทีเถิดจะว่าข้างหน้าไป ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ