๏ เช้าสามโมงเศษส่วนกระบวนเคลื่อน |
ค่อยล่องเลื่อนลอยหลามตามวิถี |
นับลำเนาระยะบ้านชานวารี |
ดูถึงถี่กว่าแต่ก่อนตอนข้างบน |
พ้นพลับพลามาถึงบ้านสามเจ้า |
แล้วลำเนาท่านกเอี้ยงเสียงสับสน |
ศีร์ษะกรวดม่วงชุมกลุ้มผู้คน |
ยืนกลางชลเชือกลากกระชากเรือ |
ด้วยเปนหาดดาดไปทั้งลำน้ำ |
ต้องเข็นค้ำมายากลำบากเหลือ |
บ้านต่อไปนั้นไม่มีเรื่องราวเจือ |
ว่าจะเฝือฟังซ้ำให้รำคาญ |
แต่พลับพลามาตามระยะนี้ |
เรียงรายถี่มาถึงสามสิบห้าบ้าน |
มีผู้คนคลาคล่ำทำงานการ |
ทั้งเรือนชานตั้งอยู่เปนหมู่กัน |
มีวัดวาอารามตามลำดับ |
กำหนดนับหกวัดล้วนจัดสรร |
ปลูกปะรำริมหาดดาดผ้าพัน |
คอยชยันโตถวายรายทางมา |
ประทับร้อนตอนท่ากระทุ่มใหญ่ |
ปะรำใช้ยาวเยิ่นเกินนักหนา |
เวลาเที่ยงจอดประทับที่พลับพลา |
มีประชาถวายของอยู่สองราย |
รายหนึ่งนั้นนกยุงขังกรงใหญ่ |
เขาฟักไข่ได้ทั้งสี่ดีใจหาย |
ยกลงในเรือที่นั่งตั้งตอนท้าย |
พอตกบ่ายโมงบอกออกนาวา |
ระยะนี้บ้านถี่กว่าตอนเช้า |
ภูมิ์ลำเนาปึกแผ่นดูแน่นหนา |
ไร่กล้วยอ้อยริมฝั่งสพรั่งตา |
ปะหลังคาโรงหีบเห็นเนืองเนือง |
ที่เปนโรงจีนอยู่รู้ถนัด |
จุดประทัดปึงปังดังกระเดื่อง |
ดาดปะรำผูกผ้าแดงแสงประเทือง |
ตั้งโต๊ะเครื่องบูชาหน้าโรงร้าน |
ที่บ้านไทยมักใช้ปะรำแคบ |
สี่เหลี่ยมแบบมากกว่ารีมีทุกบ้าน |
มีธูปเทียนทั้งดอกไม้ใช้ติดพาน |
ต่อนานนานมีบ้างอย่างหน้าพระ |
คือใช้หีบฉำฉามีเท้าคู้ |
ผ้าขาวปูขวดตั้งเปนจังหวะ |
ถ้วยแก้วปักธูปกลางหว่างระยะ |
เชิงครุคระปักประทีปเทียบคู่เคียง |
เด็ดดอกไม้มักจะใช้แต่ชั่วก้าน |
ต้องลิดลานใบสดจนหมดเกลี้ยง |
ปักฅอขวดเปนพนมพุ่มกลมเรียง |
ให้พอเพียงเสมอขอบระบอบไทย |
ที่พงตึกอึกกระทึกกว่าทุกแห่ง |
ม้าฬ่อแฝงเผาประทัดเสียนัดใหญ่ |
ที่โรงบ่อนละคอนอึงคนึงไป |
อย่างเมืองใกล้ถิ่นฐานชานนคร |
ดลพลับพลาบางพังอยู่ฝั่งขวา |
สุริยาเยื้องพยับแสงอับอ่อน |
สี่โมงครึ่งถึงลำดับไม่ซับซ้อน |
ทรงอักษรจนเวลาห้าโมงปลาย |
ทรงเครื่องเสร็จเสด็จขึ้นสู่ฝั่ง |
ตลิ่งตั้งมิได้ราบไม่ปราบฉาย |
ตัดชันตรงเหมือนอย่างลงเขื่อนอิฐราย |
คิดขยายพื้นคั่นตัดบันได |
เปนเกยตรงลงได้ทั้งสองข้าง |
ทางขึ้นกว้างไม่สู้ชันคั่นใหญ่ใหญ่ |
ขัดจนเกลี้ยงเกรียงกวดกันลงไป |
เหมือนกรงใส่จังหรีดเล่นก็เช่นกัน |
ขึ้นถึงพื้นรื่นตาพฤกษาสวน |
มีลูกล้วนหลากจิตต์ดูผิดผัน |
ต้นมะตูมตกเครือเหลือรำพัน |
จะว่าฉันลวงหลอกบอกจริงจริง |
ต้นส้มซ่าลูกระย้าเปนชมภู่ |
มะพร้าวอยู่ค่าคบออกกบกิ่ง |
ส้มโอหล่นจากต้นตลิงปริง |
ลงกองกลิ้งอยู่สล้างข้างพุดทรา |
ต้นมะม่วงมีลูกออกเลอะวุ่น |
เปนขนุนนับไม่ถ้วนล้วนหนามหนา |
อ้อยไปแอบต้นมะนาวยาวเกือบวา |
ข้างต้นหาได้ทุกอย่างพื้นต่างพรรณ |
จะว่าไปยาวนักกลัวจักช้า |
ด้วยเวลาจวนค่ำกรรมของฉัน |
เสด็จออกนอกสวนฉนวนกัน |
หยุดตรงนั้นอยู่สักครู่ฉันอยู่ใน |
เขาอ่านรายของถวายที่ในสวน |
ทุกสิ่งล้วนพระปลัดเขาจัดได้ |
มาแขวนห้อยคอยถวายหลายวันไป |
เปนเขตรในราชบุรีที่พลับพลา |
พระภักดีดินแดนเปนนายด้าน |
มาทำการรับเสด็จเสร็จทุกท่า |
แล้วดำเนินโดยทางข้างคงคา |
ตรงขึ้นมาข้างเหนือจากเรือราย |
ทางประมาณสิบเส้นเปนโรงเจ๊ก |
ร่องโว้กเว้กวางกองของถวาย |
แล้วเลี้ยวเข้าหมู่ไร่ไปข้างซ้าย |
ทางผันผายหน่อยหนึ่งถึงพลับพลา |
เขาปลูกทำสามห้องเฉลียงรอบ |
เปนเขตรขอบป้องกันกั้นด้วยผ้า |
ปะรำปูเสื่อลาดสอาดตา |
อ่างธาราตั้งรายไว้หลายใบ |
พระดำเนินผ่านไปมิได้ยั้ง |
ถึงข้างหลังพลับพลามาเปนไร่ |
ทั้งสองฟากมีหนทางผ่านกลางไป |
ต้นกล้วยไข่ล้วนกำลังตั้งตกเครือ |
ดูยังเขียวอยู่ทุกต้นผลไม้ห่าม |
เที่ยวมองตามตอนในไปจนเฝือ |
เขาโน้มยอดลงไว้ให้เปนเบือ |
ไม่ใคร่เชื่อเลือกตัดคัดลูกกลม |
ที่บางต้นตึงเต่งดูเคร่งครัด |
จึงเห็นชัดว่าเปนอย่างกำลังบ่ม |
ทรงพระแสงองค์สั้นฟันลองคม |
ฉัวะเดียวล้มทั้งยืนครืนลงมา |
แล้วเสด็จตอนในเปนไร่อ้อย |
ลำน้อยน้อยเหมือนแขนงล้วนแดงจ้า |
เมื่อตัดต้องระวังปลายคายกายา |
ทั้งมีดพร้าก็ไม่มีดีแต่ดู |
อันไร่กล้วยเหล่านี้ไม่มีร่อง |
แต่อ้อยต้องตาฉันเห็นขันอยู่ |
เขายกร่องปลูกอ้อยในรอยคู |
แล้วไม่รู้ว่าจะกลบกันเมื่อใด |
เจ้าของเขาก็มาเฝ้าอยู่ที่นี่ |
แต่ไม่มีเวลาพอต่อถามไต่ |
จึงจำต้องเงือดงดจดเรื่องไว้ |
ค่ำไรไรเสด็จกลับมาพลับพลา |
เรียกเช่นนี้ทีก็ยังจะไม่ถูก |
มิใช่ปลูกขึ้นใหม่ใช้เคหา |
เปนของว่าเจ้าของสวนเขาอยู่มา |
สามห้องฝาสำหรวดใช้เสาไม้จริง |
ระเบียงหน้ามาอิกทีกี่ทอผ้า |
พวกฉันมาทอได้ไม่ค้างนิ่ง |
ที่ริมฝามีไถคันใหญ่พิง |
กระบะหมากอย่างผู้หญิงอยู่ข้างใน |
มีเต้าปูนทองเหลืองเครื่องตลับ |
หมากสงกับยาบุหรี่ที่จัดใส่ |
ตะบันทองเหลืองอยู่กับพลูใบ |
เสียแต่มีดตะไกรขาดไม่มี |
มีชานนอกออกไปใช้ฟากขัด |
ที่ครัวจัดเครื่องใช้ไว้ถ้วนถี่ |
พร้อมของสดต่างต่างล้วนอย่างดี |
ทรงสนุกเต็มทีทำเครื่องอาน |
เสวยสรงแต่งพระองค์บนนี้เสร็จ |
พร้อมสมเด็จเสด็จอิกทั้งท่าน |
ทรงปรีดาผาสุกแสนสำราญ |
เสียงสท้านสเทื้อนสากหมากตะบัน |
ส้มโอสวนนี้มีสองต้น |
เต็มด้วยผลมิใช่ตรุดสุดขยัน |
เสวยเสร็จเอาจำปามาสอยกัน |
ต้นหนึ่งนั้นราวร้อยน้อยเมื่อไร |
แต่เปนลูกย่อมย่อมไม่หอมหวาน |
สู้ที่ลานบางปอินยังไม่ได้ |
บันดาของกองแขวนบนต้นไม้ |
รับสั่งให้แจกทั่วทุกตัวคน |
รับสั่งว่าตำราเขาถือหลาย |
ว่าเจ้านายขึ้นเรือนแล้วเปื้อนป่น |
เจ้าของที่เขาจะมีรังเกียจรังกน |
แต่เหตุผลพอจะแปลได้แน่นอน |
เจ้านายคงจะเปนองค์ที่นุ่งหยี่ |
ไม่ปรานีตามอย่างแต่ปางก่อน |
ไปถึงไหนนุ่งที่นั่นคั้นราษฎร |
จนกระฉ่อนฉาวไปว่าไม่ดี |
แต่ความชั่วนั้นไม่คงแต่องค์นั้น |
พวกเดียวกันพาเพื่อนเปื้อนป่นปี้ |
ครั้นเรื่องหลังลืมหายหลายสิบปี |
จนกลายลงเปนวิธีทางจัญไร |
เสด็จขึ้นเรือนนั้นในวันนี้ |
จะต้องให้เปนเศรษฐีจึงจะได้ |
ประทานเงินชั่งหนึ่งพอถึงใจ |
สิ้นสงไสยเรื่องอัปรีไม่มีแวว |
ที่ตรงเรือที่นั่งข้ามตามไฟสว่าง |
ผูกตรางเช่นลับแลแลเปนแถว |
อัคคีรายหลายจังหวะกะขัดแนว |
จนดึกแล้วยังไม่ดับอดหลับนอน |
รับสั่งให้ไปถามใครตามถวาย |
ดูตามชายเชิงตลิ่งวิ่งกันว่อน |
ได้ความว่าหน้าไร่ราษฎร |
สโมสรทั้งมวญชวนกันทำ |
คือหัวหน้านั้นนายแฉ่งกรมชาวที่ |
บ้านอยู่นี่เห็นว่าเวลาค่ำ |
จึงคิดตั้งซุ้มไฟไว้ประจำ |
ที่ริมน้ำพอสว่างกระจ่างตา |
ตะเกียงใช้ไม้ควั่นเปนกระบอก |
น้ำมันกรอกปักรายคล้ายไต้ป่า |
แต่มิใช่กระบอกไฟในตำรา |
เขาอุส่าห์คิดใช้ได้ดิบดี |
บรรทมในเรือที่นั่งริมฝั่งฟาก |
มีลมมากเวลานอนไม่ร้อนจี๋ |
อันรายวันเรื่องจดหมดเท่านี้ |
ขอจบทีเถิดจะว่าข้างหน้าไป ฯ |