วัน ๑ ๓ฯ ๓ ค่ำ

วัน ๑ ๓ ค่ำ

๏ สองโมงหย่อนเสด็จจรออกจากท่า โดยนาวาน้อยน้อยลอยไสว
ชมหมู่บ้านย่านข้างทางครรไล โดยนับได้ว่ามีสี่ตำบล
ถึงบ้านโป่งปลูกตพานที่ชายหาด ประชาราษฎร์วิ่งรับออกสับสน
ทั้งสองฝ่ายฟากวิถีมีแต่คน นั่งรายจนนับไม่ถ้วนล้วนตั้งใจ
จะถวายเข้าของกองออกกลาด ล้วนประหลาดหลากตาตามหาได้
คือนกแก้วนกเขาขันพรรณ์เขาไฟ กระต่ายใหญ่เชื่องคนขนอุกอุย
ลูกค่างวางมาในผ้าขาว เห็นหางยาวรูปร่างอย่างหยุกหยุย
ฉันลูบเล่นตลอดตนขนเปนปุย คอยตะกุยเกาะไว้ไม่ใคร่วาง
เดินเข้าไปถึงไร่ไม่ไกลนัก มีแคร่พักร่มตองทั้งสองข้าง
เหมือนวันก่อนผ่อนตัดไปตามทาง บ้างหิ้วบ้างแบกขนกล่นเกลื่อนไป
เสด็จกลับมาประทับที่ริมท่า หยุดประทานเงินตราเจ้าของไร่
คนมาเฝ้าหลามหลากมากกระไร ล้วนพวกใหม่เปลี่ยนหน้ามาทั้งนั้น
เสด็จกลับลงเรือที่นั่งน้อย ให้เร่งถอยจากหาดแจวผาดผัน
ดูก็ไม่ใกล้นักชักช้าพลัน จนสุริยันส่องแสงขึ้นแรงร้อน
สามโมงครึ่งถึงเบิกไพรเข้าไปจอด ตพานทอดเทียบชิดผิดท่าก่อน
เปนท้องคุ้งตลิ่งพังไปทั้งตอน จนต้องผ่อนศาลขยับลับเข้าไป
ในเดี๋ยวนี้นั้นมีอยู่สี่แห่ง ที่ตำแหน่งริมน้ำยังจำได้
เปนศาลเล็กพื้นลดลัทธิไทย เห็นเกือบใกล้ที่จะลงในคงคา
มีเจว็ดหักพังตั้งฤๅสุม ของเล่นกลุ้มเกลื่อนกลาดดาดจนฝา
หัวกุมภีล์มีที่ชั้นหลั่นลงมา ยังบูชาอยู่ไม่ร้างอย่างตอนใน
คือที่ตรงตพานน้ำทำอิกครั้ง มีสองหลังลดขวางค่อนข้างใหญ่
เปนศาลอย่างข้างจีนปนกับไทย เดี๋ยวนี้ใช้ขังสุนัขกักประตู
เขาย้ายเจ้าเข้าไปไว้ข้างในหน่อย ต้องรีบถอยกลัวจะพังที่ตั้งอยู่
มีถนนไปจนติดใช้อิฐปู ศาลแฝดคู่สองหลังตั้งติดกัน
เหล็กลูกฟูกมุงหลังคาฝาไม้สัก พวกจีนรักษาอยู่ดูกวดขัน
ธุระจริงยิ่งกว่าเปนกับตัน ถวายนั่นถวายนี่ถี่สุดใจ
กระดาษทองธูปซ้ำน้ำชาเล่า บ้างฉวยเอาห่อประทัดมามัดใหญ่
ที่หน้าพระโต๊ะตั้งอยู่ข้างใน เอออย่างไรเล่าเห็นเปนรูปพระ
มีสาวกสององค์ยืนตรงหน้า ไม่เข้าท่ากลายไปไกลจังหวะ
เขาเล่ากันว่าเจ้าแม่เปนแน่ละ ฤๅจีนจะนึกอย่างไรจึงได้เลือน
ทีคนไทยจะยังไม่ยอมลงเค้า ที่ศาลเก่าเข้าของจึงกองเกลื่อน
ยังว่าไม่มีใครคอยตักเตือน ธุระเหมือนท่านพวกนี้สามสี่คน
แต่ตัวฉันนั้นศรัทธามาศาลใหม่ ถึงโค้งไปก็ยังเห็นเปนกุศล
อย่านึกว่าบวงสรวงติดบวงบน คงมีผลกว่าเจว็ดเสร็จด้วยใจ
ประทานเงินจีนเหล่านี้ยี่สิบบาท อยูในเทือกทิ้งกระจาดจีนเคยได้
อิกศาลหนึ่งนั้นอยู่ในใต้ต้นไม้ เปนสาวใช้ของเจ้าแม่อยู่แค่เคียง
ดูก็ได้ใครไปบูชาบ้าง ใบไม้วางแน่นนันชั้นเฉลี่ย
พอเสด็จลงจากศาลฉานสำเนียง ม้าฬ่อเปรี้ยงประทัดลั่นสนั่นดัง
อันศาลนี้มีคนนับถือนัก ว่าเรืองฤทธิสิทธิศักดิ์วิเศษขลัง
เล่าว่าไก่แม้ได้มาทำรัง ก็คุ้มขังป้องกันอันตราย
แต่วันนี้เห็นมีสองเท่านั้น จะพากันไปไหนไม่เห็นหาย
ฤๅพวกจีนมาอยู่รู้อุบาย จะฆ่าทำเครื่องถวายจึงหายไป
ทอดพระเนตรศาลเสร็จเสด็จกลับ ลงประทับเรือพระที่นั่งใหญ่
ออกจากท่าหน้าศาลผ่านครรไล มาตามในถิ่นแถวแนวนที
ดูตามทางไม่ใครห่างระยะบ้าน เปนย่านย่านตลอดไปใกล้วิถี
ล้วนแต่มอญมากกระไรในแถบนี้ มาอยู่ที่ชายฝั่งทั้งหญิงชาย
พวกผู้หญิงลงนาวามาแซ่ซ้อง ล้วนจัดของนานามาถวาย
มีธูปเทียนดอกไม้ไม่เว้นราย จัดพานคล้ายฟังเทศน์เจตนา
จะใคร่เฝ้าให้ถนัดไม่ขัดข้อง ถือธูปเทียนเว้นจ้องเที่ยวมองหา
เห็นพระองค์วางตรงกราบนาวา แล้ววันทาทูลซ้ำร่ำพิไร
แสดงความยินดีที่ได้เฝ้า ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหาหมดไม่
เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญเจริญใจ ถวายไชยทั่วหน้าประชาชน
ตลอดทางมิได้ว่างเว้นสักบ้าน ล้วนเรือพ่านพายรับอยู่สับสน
ลำหนึ่งมีสี่ห้าหกเจ็ดคน บางลำจนถึงสิบห้ากว่าก็มี
ดอกกล้วยไม้ได้กองพเนินใหญ่ ที่ติดใบทั้งต้นจนหมดที่
ต้องวางตามกระดานเลียบเพียบเต็มที แต่ล้วนสีม่วงสิ้นกลิ่นอบอวล
จนหายใจออกไปไม่มีอื่น เกือบจะขื่นตองอมเพราะหอมหวน
บางแห่งเห็นเช่นกับแห่แผ่กระบวน แลแต่ล้วนกล้วยไม้ไปทั้งลำ
อันของอื่นคืนไปไม่ทรงรับ บอกให้กลับไม่ค่อยไปพิไรร่ำ
ต้องรับคนละเล็กน้อยหมดถ้อยคำ จึงได้จำคืนของเหลือติดเรือไป
แต่ธูปเทียนนั้นถ้าเอามาถวาย คงวางรายเหน็บซนไว้จนได้
ธูปเกลื่อนกลาดตามกระจาดต้นกล้วยไม้ ดูมีใจนับถือโดยซื่อตรง
ถึงบ้านใดแม้นไม่รอเรือที่นั่ง ก็ร้องดังโด่งสำเนียงจนเสียงหลง
จ้ำตามมากว่าเรือจะรอลง จนได้ทรงทักทายภิปรายเปรย
คนบ้านนอกดูกล้ากว่าอยู่ใกล้ เพราะมั่นใจว่าไม่ผิดคิดเฉยเฉย
ถึงอย่างไรก็มิได้ทรงถือเลย จนคุ้นเคยทราบทั่วไม่กลัวเกรง
จะเพททูลอย่างไรมิได้ยั้ง เอาจังจังกันต่อหน้าว่าเผงเผง
บ้างหัวร่อต่อกระซิกกันครื้นเครง ดูกันเองข้ากับเจ้าบ่าวกับนาย
ถึงพลับพลาโพธารามประทับร้อน อยู่ในตอนเที่ยงกระมังยังไม่บ่าย
เรือเข้าทอดจอดประจำปะรำราย สุริย์ฉายร้อนรนพ้นประมาณ
จะบทจรร้อนจัดเห็นขัดสน ต่อตกบ่ายจึงจะยลตำบลบ้าน
เสด็จพักที่พลับพลาอยู่ช้านาน สรงสนานตักน้ำลำนที
เหล่าพวกมอญข้ามมาเสียงกาหฬ ลุยน้ำจนเพียงไหล่ยังไม่หนี
ทั่วทุกคนทนลำบากอยากเหลือดี่ ราวสักสี่ห้าร้อยลงลอยฅอ
ทั้งหญิงชายอุ้มตพายพาลูกหลาน อุส่าห์ผ่านธารามาสอสอ
ของถวายฟายมือหนึ่งก็พอ ดอกไม้ห่อหนึ่งก็พามาคอยชู
จนเหลือนับรับไม่ไหวให้เงินแล้ว ไม่คลาดแคล้วไปอื่นยืนยิ้มอยู่
เข้าใจว่าทึ่งชนีดอกมิรู้ ก็คอยดูที่ประทับไม่กลับไป
จนตกบ่ายของถวายไม่สิ้นสุด จะให้หยุดเสียสักหน่อยต้องคอยไล่
จนหมดท่ายังมายืนอยู่ไกลไกล ต้องยืนในธาราตามุ่งมอง
พอบ่ายสามโมงเศษเสด็จประพาส เรือขนาดอย่างน้อยแจวลอยล่อง
ขึ้นตพานริมหาดคนดาดกอง ถวายของกันไม่หยุดสุดอาไลย
ตั้งแต่ท่านมากระทั่งถึงฝั่งฟาก คนหลายหลากนั่งสลับนับไม่ไหว
เขมรมอญมาสิ้นลาวจีนไทย เด็กผู้ใหญ่นั่งเกลื่อนเรือนพันคน
ทางที่ไปในระหว่างทางหาดกรวด ร้อนยิ่งยวดเหยียบล้าพาขัดสน
เหมือนเหยียบไฟไปทีเดียวเสียวสกนธ์ นี่พอทนที่ไม่ไกลหาไม่ตาย
ต้องขึ้นคั่นบันไดไปบนฝั่ง พอถึงหลังพื้นถนนร้อนรนหาย
เขาปูเสื่อดาดปะรำทำเรี่ยราย เดินสบายเปนทอดทอดตลอดทาง
ตลาดนี้ทีก็คล้ายพระประถม ไม่มีร่มแต่ว่าทางอยู่ข้างกว้าง
ขายแต่ล้วนของบางกอกออกมาวาง จะหาอย่างทำที่นี่ไม่มีอะไร
เสด็จไปตามทางข้างล่างก่อน หมดแล้วย้อนกลับขึ้นมาเลี้ยวขวาใหม่
เปนถนนแยกทางไปข้างใน ไปได้ไกลแต่ต้องกลับลำดับเดียว
ถึงทางตรงลงหาดผาดผ่านผาย ไปถึงปลายทางข้างบนถนนเกี่ยว
ทางไปวัดตัดมาข้างขวาเลี้ยว ประเดี๋ยวเดียวถึงประตูสู่อาราม
ในวัดนี้มีการเปรียญใหญ่ พระสงฆ์ไทยรับเสด็จไม่เข็ดขาม
มีเจดีย์หลายองค์ทรวดทรงงาม ที่ตรงข้ามอุโบสถควรจดจำ
พระระเบียงล้อมรอบเปนขอบขันธ์ มีรูปปั้นอย่างโบราณพานจะขำ
น่าประหลาดหลากใจใครมาทำ ครั้นจะร่ำเรื่องราวจะยาวเฟื้อย
เสด็จอยู่ครู่หนึ่งในวัดนั้น ยังไม่ทันที่จะวายหายเหน็ดเหนื่อย
เพราะข้างหน้านั้นยังไกลไม่เปล่าเปลือย จะแฉะเฉื่อยอยู่ช้าเวลาจวน
เสด็จมาที่ศาลาพักพระสงฆ์ ประทานองค์ละกึ่งตำลึงถ้วน
สามสิบสี่ทั้งวัดชัดจำนวน แล้วโดยด่วนเสด็จตรงลงหาดทราย
จนขากลับสับสนไม่พ้นวุ่น ยังชุลมุนเรื่องกองของถวาย
ล้วนบรรดามาใหม่อิกมากมาย เสด็จรายผ่านตรงลงนาวา
ตำบลนี้ว่าเปนที่เกวียนมาถึง สายน้ำซึ้งสมกระบวนควรเปนท่า
ตลาดเหมือนเมืองใหญ่ใหญ่ได้เห็นมา บ้านเรือนหนาแน่นสลับสับสนกัน
ทรงนับโต๊ะเครื่องบูชาที่มาตั้ง บ้างมีทั้งหมากพลูดูแขงขัน
ทรงแจกเงินสลึงวางเปนรางวัล หมดด้วยกันเก้าสิบสี่มีจำนวน
เว้นสองหลังสามหลังตั้งหนึ่งร้าน คิดประมาณก็เกือบสามร้อยร้านถ้วน
หาดที่หน้าลงมามีบ่อนพรวน ใต้ฉนวนน้ำลงไปใหญ่โตครัน
เรือลูกค้ามาจอดที่ชายหาด ประทุนดาดดื่นรดับดูคับขัน
เพราะมีการซื้อขายไม่วายวัน ได้คอยบันทุกสินค้าเดินมาไป
เสด็จมาที่พลับพลาประทับร้อน แล้วจากจรพร้อมถ้วนกระบวนใหญ่
นับจำนวนบ้านข้างทางครรไล บรรจบได้สิบเก้าสิ้นถิ่นตำบล
แต่วัดมีระยะนี้นั้นสิบเจ็ด คลองเบ็ดเสร็จโดยแสดงหกแห่งหน
มาหน่อยหนึ่งฟ้าคล้ำค่ำมัวมนท์ จรดลดูลำบากยากกันดาร
เสียงเอะอะซ้ายขวาโกลาหล จนลุดลหลุมดินถิ่นสถาน
พอทุ่มหนึ่งถึงปะรำแสนสำราญ ได้พบพานเจ้าฟ้าพระองค์ชาย
ทั้งเจ้าฟ้าหญิงใหญ่หญิงกลางด้วย ท่านทรงฉวยดาบยี่ปุ่นวุ่นถวาย
ขึ้นพลับพลาดูน่าสนุกสบาย แสนเสียดายมืดค่ำต้องจำจน
จะเที่ยวไปได้ทั่วกลัวจะหลง ดูวกวงไปทั้งนั้นฉันฉงน
จนได้แจกเย่าเรือนเฟือนตำบล เที่ยวเวียนวนอ่านชื่อกันอือออ
ที่จอมบึงเลิกลดเพราะอดน้ำ เหือดแห้งลำห้วยลหานกันดานบ่อ
ฉันดีใจกลัวจะไม่มีวันพอ จะแต่งต่อไดอรีเพราะถี่เกิน
พลับพลานี้มีที่เสวยใหม่ ทำที่ในเขาวงก์หลงเดินเหิน
เที่ยวเวียนวนจนเตลิดพาเพลิดเพลิน จนคนเชิญเครื่องอานเดินลานเลือน
จะต้องของดไว้วันใดคล่อง จะเที่ยวท่องทุกลำเนาดูเค้าเงื่อน
จึงจะจดแจ้งลิขิตไม่บิดเบือน ขอกลับเรือนพักผ่อนนอนเสียที ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ