๏ สองโมงหย่อนเสด็จจรออกจากท่า |
โดยนาวาน้อยน้อยลอยไสว |
ชมหมู่บ้านย่านข้างทางครรไล |
โดยนับได้ว่ามีสี่ตำบล |
ถึงบ้านโป่งปลูกตพานที่ชายหาด |
ประชาราษฎร์วิ่งรับออกสับสน |
ทั้งสองฝ่ายฟากวิถีมีแต่คน |
นั่งรายจนนับไม่ถ้วนล้วนตั้งใจ |
จะถวายเข้าของกองออกกลาด |
ล้วนประหลาดหลากตาตามหาได้ |
คือนกแก้วนกเขาขันพรรณ์เขาไฟ |
กระต่ายใหญ่เชื่องคนขนอุกอุย |
ลูกค่างวางมาในผ้าขาว |
เห็นหางยาวรูปร่างอย่างหยุกหยุย |
ฉันลูบเล่นตลอดตนขนเปนปุย |
คอยตะกุยเกาะไว้ไม่ใคร่วาง |
เดินเข้าไปถึงไร่ไม่ไกลนัก |
มีแคร่พักร่มตองทั้งสองข้าง |
เหมือนวันก่อนผ่อนตัดไปตามทาง |
บ้างหิ้วบ้างแบกขนกล่นเกลื่อนไป |
เสด็จกลับมาประทับที่ริมท่า |
หยุดประทานเงินตราเจ้าของไร่ |
คนมาเฝ้าหลามหลากมากกระไร |
ล้วนพวกใหม่เปลี่ยนหน้ามาทั้งนั้น |
เสด็จกลับลงเรือที่นั่งน้อย |
ให้เร่งถอยจากหาดแจวผาดผัน |
ดูก็ไม่ใกล้นักชักช้าพลัน |
จนสุริยันส่องแสงขึ้นแรงร้อน |
สามโมงครึ่งถึงเบิกไพรเข้าไปจอด |
ตพานทอดเทียบชิดผิดท่าก่อน |
เปนท้องคุ้งตลิ่งพังไปทั้งตอน |
จนต้องผ่อนศาลขยับลับเข้าไป |
ในเดี๋ยวนี้นั้นมีอยู่สี่แห่ง |
ที่ตำแหน่งริมน้ำยังจำได้ |
เปนศาลเล็กพื้นลดลัทธิไทย |
เห็นเกือบใกล้ที่จะลงในคงคา |
มีเจว็ดหักพังตั้งฤๅสุม |
ของเล่นกลุ้มเกลื่อนกลาดดาดจนฝา |
หัวกุมภีล์มีที่ชั้นหลั่นลงมา |
ยังบูชาอยู่ไม่ร้างอย่างตอนใน |
คือที่ตรงตพานน้ำทำอิกครั้ง |
มีสองหลังลดขวางค่อนข้างใหญ่ |
เปนศาลอย่างข้างจีนปนกับไทย |
เดี๋ยวนี้ใช้ขังสุนัขกักประตู |
เขาย้ายเจ้าเข้าไปไว้ข้างในหน่อย |
ต้องรีบถอยกลัวจะพังที่ตั้งอยู่ |
มีถนนไปจนติดใช้อิฐปู |
ศาลแฝดคู่สองหลังตั้งติดกัน |
เหล็กลูกฟูกมุงหลังคาฝาไม้สัก |
พวกจีนรักษาอยู่ดูกวดขัน |
ธุระจริงยิ่งกว่าเปนกับตัน |
ถวายนั่นถวายนี่ถี่สุดใจ |
กระดาษทองธูปซ้ำน้ำชาเล่า |
บ้างฉวยเอาห่อประทัดมามัดใหญ่ |
ที่หน้าพระโต๊ะตั้งอยู่ข้างใน |
เอออย่างไรเล่าเห็นเปนรูปพระ |
มีสาวกสององค์ยืนตรงหน้า |
ไม่เข้าท่ากลายไปไกลจังหวะ |
เขาเล่ากันว่าเจ้าแม่เปนแน่ละ |
ฤๅจีนจะนึกอย่างไรจึงได้เลือน |
ทีคนไทยจะยังไม่ยอมลงเค้า |
ที่ศาลเก่าเข้าของจึงกองเกลื่อน |
ยังว่าไม่มีใครคอยตักเตือน |
ธุระเหมือนท่านพวกนี้สามสี่คน |
แต่ตัวฉันนั้นศรัทธามาศาลใหม่ |
ถึงโค้งไปก็ยังเห็นเปนกุศล |
อย่านึกว่าบวงสรวงติดบวงบน |
คงมีผลกว่าเจว็ดเสร็จด้วยใจ |
ประทานเงินจีนเหล่านี้ยี่สิบบาท |
อยูในเทือกทิ้งกระจาดจีนเคยได้ |
อิกศาลหนึ่งนั้นอยู่ในใต้ต้นไม้ |
เปนสาวใช้ของเจ้าแม่อยู่แค่เคียง |
ดูก็ได้ใครไปบูชาบ้าง |
ใบไม้วางแน่นนันชั้นเฉลี่ย |
พอเสด็จลงจากศาลฉานสำเนียง |
ม้าฬ่อเปรี้ยงประทัดลั่นสนั่นดัง |
อันศาลนี้มีคนนับถือนัก |
ว่าเรืองฤทธิสิทธิศักดิ์วิเศษขลัง |
เล่าว่าไก่แม้ได้มาทำรัง |
ก็คุ้มขังป้องกันอันตราย |
แต่วันนี้เห็นมีสองเท่านั้น |
จะพากันไปไหนไม่เห็นหาย |
ฤๅพวกจีนมาอยู่รู้อุบาย |
จะฆ่าทำเครื่องถวายจึงหายไป |
ทอดพระเนตรศาลเสร็จเสด็จกลับ |
ลงประทับเรือพระที่นั่งใหญ่ |
ออกจากท่าหน้าศาลผ่านครรไล |
มาตามในถิ่นแถวแนวนที |
ดูตามทางไม่ใครห่างระยะบ้าน |
เปนย่านย่านตลอดไปใกล้วิถี |
ล้วนแต่มอญมากกระไรในแถบนี้ |
มาอยู่ที่ชายฝั่งทั้งหญิงชาย |
พวกผู้หญิงลงนาวามาแซ่ซ้อง |
ล้วนจัดของนานามาถวาย |
มีธูปเทียนดอกไม้ไม่เว้นราย |
จัดพานคล้ายฟังเทศน์เจตนา |
จะใคร่เฝ้าให้ถนัดไม่ขัดข้อง |
ถือธูปเทียนเว้นจ้องเที่ยวมองหา |
เห็นพระองค์วางตรงกราบนาวา |
แล้ววันทาทูลซ้ำร่ำพิไร |
แสดงความยินดีที่ได้เฝ้า |
ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหาหมดไม่ |
เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญเจริญใจ |
ถวายไชยทั่วหน้าประชาชน |
ตลอดทางมิได้ว่างเว้นสักบ้าน |
ล้วนเรือพ่านพายรับอยู่สับสน |
ลำหนึ่งมีสี่ห้าหกเจ็ดคน |
บางลำจนถึงสิบห้ากว่าก็มี |
ดอกกล้วยไม้ได้กองพเนินใหญ่ |
ที่ติดใบทั้งต้นจนหมดที่ |
ต้องวางตามกระดานเลียบเพียบเต็มที |
แต่ล้วนสีม่วงสิ้นกลิ่นอบอวล |
จนหายใจออกไปไม่มีอื่น |
เกือบจะขื่นตองอมเพราะหอมหวน |
บางแห่งเห็นเช่นกับแห่แผ่กระบวน |
แลแต่ล้วนกล้วยไม้ไปทั้งลำ |
อันของอื่นคืนไปไม่ทรงรับ |
บอกให้กลับไม่ค่อยไปพิไรร่ำ |
ต้องรับคนละเล็กน้อยหมดถ้อยคำ |
จึงได้จำคืนของเหลือติดเรือไป |
แต่ธูปเทียนนั้นถ้าเอามาถวาย |
คงวางรายเหน็บซนไว้จนได้ |
ธูปเกลื่อนกลาดตามกระจาดต้นกล้วยไม้ |
ดูมีใจนับถือโดยซื่อตรง |
ถึงบ้านใดแม้นไม่รอเรือที่นั่ง |
ก็ร้องดังโด่งสำเนียงจนเสียงหลง |
จ้ำตามมากว่าเรือจะรอลง |
จนได้ทรงทักทายภิปรายเปรย |
คนบ้านนอกดูกล้ากว่าอยู่ใกล้ |
เพราะมั่นใจว่าไม่ผิดคิดเฉยเฉย |
ถึงอย่างไรก็มิได้ทรงถือเลย |
จนคุ้นเคยทราบทั่วไม่กลัวเกรง |
จะเพททูลอย่างไรมิได้ยั้ง |
เอาจังจังกันต่อหน้าว่าเผงเผง |
บ้างหัวร่อต่อกระซิกกันครื้นเครง |
ดูกันเองข้ากับเจ้าบ่าวกับนาย |
ถึงพลับพลาโพธารามประทับร้อน |
อยู่ในตอนเที่ยงกระมังยังไม่บ่าย |
เรือเข้าทอดจอดประจำปะรำราย |
สุริย์ฉายร้อนรนพ้นประมาณ |
จะบทจรร้อนจัดเห็นขัดสน |
ต่อตกบ่ายจึงจะยลตำบลบ้าน |
เสด็จพักที่พลับพลาอยู่ช้านาน |
สรงสนานตักน้ำลำนที |
เหล่าพวกมอญข้ามมาเสียงกาหฬ |
ลุยน้ำจนเพียงไหล่ยังไม่หนี |
ทั่วทุกคนทนลำบากอยากเหลือดี่ |
ราวสักสี่ห้าร้อยลงลอยฅอ |
ทั้งหญิงชายอุ้มตพายพาลูกหลาน |
อุส่าห์ผ่านธารามาสอสอ |
ของถวายฟายมือหนึ่งก็พอ |
ดอกไม้ห่อหนึ่งก็พามาคอยชู |
จนเหลือนับรับไม่ไหวให้เงินแล้ว |
ไม่คลาดแคล้วไปอื่นยืนยิ้มอยู่ |
เข้าใจว่าทึ่งชนีดอกมิรู้ |
ก็คอยดูที่ประทับไม่กลับไป |
จนตกบ่ายของถวายไม่สิ้นสุด |
จะให้หยุดเสียสักหน่อยต้องคอยไล่ |
จนหมดท่ายังมายืนอยู่ไกลไกล |
ต้องยืนในธาราตามุ่งมอง |
พอบ่ายสามโมงเศษเสด็จประพาส |
เรือขนาดอย่างน้อยแจวลอยล่อง |
ขึ้นตพานริมหาดคนดาดกอง |
ถวายของกันไม่หยุดสุดอาไลย |
ตั้งแต่ท่านมากระทั่งถึงฝั่งฟาก |
คนหลายหลากนั่งสลับนับไม่ไหว |
เขมรมอญมาสิ้นลาวจีนไทย |
เด็กผู้ใหญ่นั่งเกลื่อนเรือนพันคน |
ทางที่ไปในระหว่างทางหาดกรวด |
ร้อนยิ่งยวดเหยียบล้าพาขัดสน |
เหมือนเหยียบไฟไปทีเดียวเสียวสกนธ์ |
นี่พอทนที่ไม่ไกลหาไม่ตาย |
ต้องขึ้นคั่นบันไดไปบนฝั่ง |
พอถึงหลังพื้นถนนร้อนรนหาย |
เขาปูเสื่อดาดปะรำทำเรี่ยราย |
เดินสบายเปนทอดทอดตลอดทาง |
ตลาดนี้ทีก็คล้ายพระประถม |
ไม่มีร่มแต่ว่าทางอยู่ข้างกว้าง |
ขายแต่ล้วนของบางกอกออกมาวาง |
จะหาอย่างทำที่นี่ไม่มีอะไร |
เสด็จไปตามทางข้างล่างก่อน |
หมดแล้วย้อนกลับขึ้นมาเลี้ยวขวาใหม่ |
เปนถนนแยกทางไปข้างใน |
ไปได้ไกลแต่ต้องกลับลำดับเดียว |
ถึงทางตรงลงหาดผาดผ่านผาย |
ไปถึงปลายทางข้างบนถนนเกี่ยว |
ทางไปวัดตัดมาข้างขวาเลี้ยว |
ประเดี๋ยวเดียวถึงประตูสู่อาราม |
ในวัดนี้มีการเปรียญใหญ่ |
พระสงฆ์ไทยรับเสด็จไม่เข็ดขาม |
มีเจดีย์หลายองค์ทรวดทรงงาม |
ที่ตรงข้ามอุโบสถควรจดจำ |
พระระเบียงล้อมรอบเปนขอบขันธ์ |
มีรูปปั้นอย่างโบราณพานจะขำ |
น่าประหลาดหลากใจใครมาทำ |
ครั้นจะร่ำเรื่องราวจะยาวเฟื้อย |
เสด็จอยู่ครู่หนึ่งในวัดนั้น |
ยังไม่ทันที่จะวายหายเหน็ดเหนื่อย |
เพราะข้างหน้านั้นยังไกลไม่เปล่าเปลือย |
จะแฉะเฉื่อยอยู่ช้าเวลาจวน |
เสด็จมาที่ศาลาพักพระสงฆ์ |
ประทานองค์ละกึ่งตำลึงถ้วน |
สามสิบสี่ทั้งวัดชัดจำนวน |
แล้วโดยด่วนเสด็จตรงลงหาดทราย |
จนขากลับสับสนไม่พ้นวุ่น |
ยังชุลมุนเรื่องกองของถวาย |
ล้วนบรรดามาใหม่อิกมากมาย |
เสด็จรายผ่านตรงลงนาวา |
ตำบลนี้ว่าเปนที่เกวียนมาถึง |
สายน้ำซึ้งสมกระบวนควรเปนท่า |
ตลาดเหมือนเมืองใหญ่ใหญ่ได้เห็นมา |
บ้านเรือนหนาแน่นสลับสับสนกัน |
ทรงนับโต๊ะเครื่องบูชาที่มาตั้ง |
บ้างมีทั้งหมากพลูดูแขงขัน |
ทรงแจกเงินสลึงวางเปนรางวัล |
หมดด้วยกันเก้าสิบสี่มีจำนวน |
เว้นสองหลังสามหลังตั้งหนึ่งร้าน |
คิดประมาณก็เกือบสามร้อยร้านถ้วน |
หาดที่หน้าลงมามีบ่อนพรวน |
ใต้ฉนวนน้ำลงไปใหญ่โตครัน |
เรือลูกค้ามาจอดที่ชายหาด |
ประทุนดาดดื่นรดับดูคับขัน |
เพราะมีการซื้อขายไม่วายวัน |
ได้คอยบันทุกสินค้าเดินมาไป |
เสด็จมาที่พลับพลาประทับร้อน |
แล้วจากจรพร้อมถ้วนกระบวนใหญ่ |
นับจำนวนบ้านข้างทางครรไล |
บรรจบได้สิบเก้าสิ้นถิ่นตำบล |
แต่วัดมีระยะนี้นั้นสิบเจ็ด |
คลองเบ็ดเสร็จโดยแสดงหกแห่งหน |
มาหน่อยหนึ่งฟ้าคล้ำค่ำมัวมนท์ |
จรดลดูลำบากยากกันดาร |
เสียงเอะอะซ้ายขวาโกลาหล |
จนลุดลหลุมดินถิ่นสถาน |
พอทุ่มหนึ่งถึงปะรำแสนสำราญ |
ได้พบพานเจ้าฟ้าพระองค์ชาย |
ทั้งเจ้าฟ้าหญิงใหญ่หญิงกลางด้วย |
ท่านทรงฉวยดาบยี่ปุ่นวุ่นถวาย |
ขึ้นพลับพลาดูน่าสนุกสบาย |
แสนเสียดายมืดค่ำต้องจำจน |
จะเที่ยวไปได้ทั่วกลัวจะหลง |
ดูวกวงไปทั้งนั้นฉันฉงน |
จนได้แจกเย่าเรือนเฟือนตำบล |
เที่ยวเวียนวนอ่านชื่อกันอือออ |
ที่จอมบึงเลิกลดเพราะอดน้ำ |
เหือดแห้งลำห้วยลหานกันดานบ่อ |
ฉันดีใจกลัวจะไม่มีวันพอ |
จะแต่งต่อไดอรีเพราะถี่เกิน |
พลับพลานี้มีที่เสวยใหม่ |
ทำที่ในเขาวงก์หลงเดินเหิน |
เที่ยวเวียนวนจนเตลิดพาเพลิดเพลิน |
จนคนเชิญเครื่องอานเดินลานเลือน |
จะต้องของดไว้วันใดคล่อง |
จะเที่ยวท่องทุกลำเนาดูเค้าเงื่อน |
จึงจะจดแจ้งลิขิตไม่บิดเบือน |
ขอกลับเรือนพักผ่อนนอนเสียที ฯ |