วัน ๑ ฯ๑๑ ๒ ค่ำ

วัน ๑ ๑๑ ๒ ค่ำ

๏ ไม่รู้ว่าเวลาเช้าจะไปไหน จึงวางใจนอนสบายสายเต็มที่
เสวยเสร็จจะเสด็จจรลี ต้องกาหฬเต็มทีเกือบไม่ทัน
สามโมงถ้วนคลายกระบวนออกจากท่า ล่องลงมาตามนทีรี่เร็วผัน
เห็นเรือทอดจอดเคียงกันเรียงรัน ฟังนี่นันด้วยสำเนียงเสียงพูดจา
ที่เกาะกลางหว่างตะไคร้ไม่มีอื่น ล้วนดาดดื่นด้วยพระสงฆ์ทรงสิกขา
บันดาที่โดยเสด็จดำเนินมา นั่งห่มผ้าคอยเฝ้าเข้าแถวเรียง
ถึงถ้ำพระพอประทับเข้าเทียบที่ เสียงชนีร่ำร้องซ้องแซ่เสียง
โหนอยู่ยอดไม้ใหญ่ที่ใกล้เคียง เกาะกิ่งเมียงอยู่กับที่ไม่หนีไกล
เจ้านายท่านทูลว่าถ้าเช่นนี้ ให้คนต้อนเข้าสักทีก็จับได้
ยังทรงเห็นง่ายนักหนักพระไทย ครั้นซักไซ้ไปอิกทีมีตัวยืน
เคยจับไว้ได้เมื่อสองวันมานี้ ยังซ้ำมีต่อไปที่รายอื่น
เอาตัวมาถวายได้ในกลางคืน ดูไม่ตื่นราบเชื่องเห็นเงื่องงุน
ตัวไม่ใหญ่แต่มิใช่เปนลูกเล็ก อย่างหนุ่มเด็กฤๅไฉนอยู่ไขว่วุ่น
ปีนขึ้นสู่เสาส้างอย่างชุลมุน ขนขาวขุ่นหน้าพิฦกเหมือนหมึกทา
วิธีไล่ขึ้นไปช่วยกันสกัด โห่สพัดอย่าให้ไปได้ในป่า
หนีเวียนวงคงจะไต่ต่ำลงมา ว่าไม่ช้าสักเท่าใดก็ได้ตัว
เพียงสองคนไล่จนเพราะมันขลาด ไม่เก่งกาจอ่อนเพลียกะเปี้ยกะปั้ว
คนขึ้นไปบนตลิ่งยังนิ่งซัว ตกใจกลัวขึ้นสิจนคนตบมือ
ที่หน้าถ้ำเต็มทนพ้นจะอยู่ แตรกรอกหูเหลือกำลังทั้งอึงอือ
ซึ่งนั่งอยู่ให้ได้ชมสมคำฦๅ ก็เปนดื้อเต็มทีดีอยู่แล้ว
อันหนทางขึ้นถ้ำจะร่ำเรื่อง เปนเนินเนื่องล้วนต้นไม้ใหญ่เปนแถว
สักห้าเส้นสูงขึ้นไปได้ถึงแนว เหลี่ยมเขาแน่วเหนี่ยวกระติบสักสิบวา
วุ้งชวากปากวิถีสักสี่ศอก เปนช่องนอกลาดลงไปในคูหา
ถึงเวิ้งในใหญ่กว้างสำอางตา พระศิลาอยู่ข้างในนั้นหลายองค์
ที่ยังดีมีหน้าตักสักสองศอก อิกองค์ออกสงไสยให้พิศวง
เห็นพระเศียรวิปริตผิดทรวดทรง แต่นึกปลงว่าเปนที่พระศรีอาริย์
ที่เบื้องขวาพระสาวกยืนยกหัตถ์ พระเศียรพลัดหายแยกฤๅแตกฉาน
ชวากในไปข้างหลังพระประธาน พระประมาณหน้าตักสักศอกปลาย
พระสาวกประนมกรท่อนล่างหัก ส่วนพระพักตร์ยังดีไม่มีฉลาย
เห็นพระเศียรหนึ่งวางอยู่กลางทราย ให้หลวงนายยกออกไปนอกลอง
ตั้งพระยืนขืนขัดรัศมี เห็นผิดทีกันอยู่ควรคู่สอง
ทรงสอบสวนเสาะหาท่าทำนอง จนต่อต้องกันใหม่ได้ทั้งนั้น
อันพระเศียรพระศรีอาริย์พานผิดเค้า ย้ายมาเข้ากับพระยืนคืนที่มั่น
พระเศียรที่เอามาลองไม่ต้องกัน คิดผ่อนผันไปพระนั่งตั้งพอดี
ดูทรวดทรงพระทั้งหลายคล้ายของหลวง ใครจะล่วงขึ้นมาสร้างกลางวิถี
คงจะพามาจากราชบุรี ดูท่วงทีรูปลม้ายคล้ายคลึงกัน
แต่จะตั้งอยู่ตรงนี้ฤๅที่ไหน นึกสงไสยยังไม่เห็นเปนเหมาะมั่น
ที่ตรงเวิ้งท้ายถ้ำเห็นสำคัญ ดูเชิงชั้นภูมที่ดีชอบกล
เพดานสูงสืบวาตรงหน้าปล่อง สมเปนห้องไว้พระฤๅปะฝน
จะยกย้ายจากข้างในมาไว้จน ต้องถูกค้นปฤศนาหาลายแทง
ยังมีทางข้างทิศตะวันออก เดินซอนซอกเข้าไปได้สามแห่ง
ล้วนแต่ตื้นติดตัดทางลัดแลง ไม่มีแสงสว่างต้องส่องอัคคี
ในถ้ำนี้ไม่เปนที่สนุกสนาน แต่เพดานงามมากหลากหลายสี
เหมือนกลีบเมฆมัวพยับซับซ้อนมี ภู่วารีหยดย้อยห้อยเรียงราย
นมัสการพระเสร็จเสด็จกลับ ลงประทับเรือที่นั่งผังผาดผาย
ขึ้นเหนือน้ำจ้ำจ้วงทั้งแจวพาย จอดที่ปลายตพานน้ำถ้ำเขาเกวียน
ที่ตรงท่ามีศิลาอยู่ในน้ำ บันไดทำเทลาดพาดเฉนียน
ขึ้นทอดเดียวกรวดตรงไม่วงเวียน ถึงพื้นเตียนใต้ชวากปากคิรี
สูงประมาณสี่วาตรงหน้าเวิ้ง วัดแต่เชิงบันไดยืนถึงพื้นที่
สิบศอกถ้วนส่วนขวางก็กว้างดี ปล่องบนมีชองสว่างเข้าข้างใน
เลี้ยวข้างซ้ายไปฝ่ายอุดรทิศ ถ้ามืดมิดจุดไฟเข้าไปได้
ปากช่องกว้างสี่วาถ้าเข้าไป ถึงห้องใหญ่สูงเสร็จสักเจ็ดวา
พื้นสูงสูงต่ำต่ำต้องคลำก้าว มีหิ้งยาวริมผนังข้างเบื้องขวา
ข้างซ้ายเปนเหมือนเช่นแท่นแผ่นศิลา จะนิทราเล่นก็ได้ไม่ครุคระ
มีภู่ดื่นยื่นย้อยห้อยระย้า เหมือนมาลาแขวนเล่นเปนจังหวะ
รางหลืบคั่นเหมือนกับชั้นที่ไหว้พระ บางแห่งเห็นเปนระยะยิ่งติดราย
ที่ชั้นในไปอิกทีนั้นมีช่อง เข้าได้สองทางตามความมุ่งหมาย
ไปทางกลางอย่างเดินได้สบาย ต้องตกายขึ้นสูงพยุงตัว
ถ้าในจิตต์คิดคร้านการปีนป่าย ไปข้างซ้ายลับแลบังนั้นยังชั่ว
แต่ต้องซุดมุดก้มคลานซมซัว ระวังหัวอย่าให้โผนโดนเพดาน
ไปร่วมกันที่ข้างในไม่พ้นก้ม ถ้าซานซมวอกแวกหัวแตกฉาน
ถึงห้องในกว้างขวางอย่างสำราญ ภู่ท่อธารน้อยน้อยย้อยเรียงรัน
ล้วนสีขาวยาวยื่นพื้นน้ำหยด งามปรากฎกล่าวแสดงเหมือนแกล้งกลั่น
มีทางแยกไปอิกสองปล่องหนึ่งนั้น ต้องเหยียบยันตามชง่อนหย่อนกายลง
รอยน้ำอาบคราบผนังดังแก้วแกลบ ดูวาบแวบวิจิตรน่าพิศวง
เหมือนมือช่างสร้างสรรแสร้งบรรจง สิ้นประสงค์เสียแต่ลึกนึกระอา
ยังอิกช่องมิได้ลองฟังแต่เล่า เขาว่าเข้านั้นลำบากยากนักหนา
ต้องคลานถอยหลังลงตรงมรคา ลำคูหาสูงเห็นเปนประทุน
มีหลืบลอดตลอดไปได้ถึงปล่อง ถ้าทรงลองแล้วก็เห็นจะเล่นวุ่น
จะยุ่มย่ามงามใหญ่ได้ชุลมุน ถึงต้องรุนกันขึ้นมาดูท่าทาง
มีชเวิกเวิ้งว้างตามข้างฝา ยังซอกแซกไปมาได้ต่างต่าง
เมื่อเสด็จขึ้นครรไลไปช่องกลาง แล้วกลับข้างปล่องซ้ายย้ายทำนอง
ร้อนกระไรในนี้มีแต่เหื่อ จนซาบเสื้อชุ่มครันถึงชั้นสอง
ออกพ้นถ้ำที่ละม้ายคล้ายห้วงคลอง ท่านเก่าเก่าคุยก้องกรี๊กันมา
ถึงปากช่องลมเฉื่อยเรื่อยระรื่น ยั้งหยุดยืนชายวารีที่หน้าท่า
แล้วจึงตามเสด็จตรงลงนาวา ทวนขึ้นมาโดยกลางทางนที
มาถึงน้ำโจนใหญ่ใจฉันกว้าง อยากจะให้จอดขวางอยู่ที่นี่
พอรับสั่งให้ยั้งแสนยินดี ทอดพระเนตรอยู่ตรงนี้นั้นช้านาน
นั่งพินิจพิศดูหมู่น้ำตก อยากจะยกเข้าไปไว้ในราชฐาน
จะได้เห็นเปนนิรันดร์ทุกวันวาร เสียงท่อธารอุทกหลั่งฟังสบาย
ถึงเหน็จเหนื่อยเมื่อยล้าแม้มาเห็น ก็พาเย็นอกใจให้เหนื่อยหาย
ที่ในวังทั้งว่าท่าลม้าย ไม่มีสายน้ำลั่นทุกวันคืน
มาทแม้มีเหมือนเช่นนี้ในวังหลวง จะนั่งหวงอยู่มิได้ไปที่อื่น
ยามนิทราพาให้น้ำใจชื้น ถึงพลิกตื่นนอนสดับก็หลับพลัน
เฝ้าเพลินดูอยู่จนออกเรือที่นั่ง ขึ้นตามวังกระแสสายค่อยผายผัน
น้ำโจนใหญ่ไกลมาพอซากรรณ เสียงดังลั่นข้างหน้าต่อพอได้ยิน
คือสายน้ำโจนน้อยทอยระยะ รับจังหวะเซงซ่าชลาสินธุ์
ให้รอเรือที่นั่งขวางกลางวาริน หยุดชมถิ่นพุธารตระการตา
พิเคราะห์ไปในทำนองสองพุนี้ เหมือนวารีพุใหญ่น้อยไปกว่า
จะเปนด้วยแผ่กว้างต่างตำรา ทั้งทีท่าน่ายลละกลกัน
อันพุนี้มีไม้ใหญ่ชอุ่ม ขึ้นปกคลุมงามดีสอดสีกัน
ส่วนพุใหญ่ข้างหน้าสง่าครัน ในเชิงชั้นเปิดเผยน่าเชยชม
ทรงทอดทัศนาเสร็จเสด็จผ่าน สู่สพานเยื้องไปที่ไผ่ร่ม
เปนท่าขึ้นสู่เทินเนินพนม โดยนิยมชื่อน้ำโจนโดนกันปัง
เขาเช่นนี้มีพ้องกันสองฟาก จะรู้ยากจำเติมเพิ่มทิศฝั่ง
เสด็จวานตวันออกนอกค่ายวัง เขานี้ตั้งตวันตกวกขึ้นมา
ต้องตัดฉายชายตลิ่งลงเปนคั่น จรจรัลเข้าไปที่ในป่า
ทางหกเส้นเปนกำหนดพนาวา ขึ้นเหลี่ยมผาไปสักครู่ไม่สู้ชัน
ถึงหน้าเพิงเวิ้งวุ้งรุ้งภายนอก กว้างสี่ศอกปากปล่องช่องผายผัน
แล้วเข้าซอกกรอกน้อยต้อยต่ำครัน ต้องเรียงกันจรลีทีละคน
สักหกศอกแล้วไปออกเวิ้งใหญ่หน่อย เห็นสูงลอยศิลาก้อนซ้อนสับสน
สาดลงไปได้ถึงพื้นแผ่นดินดล เลี้ยวขวาไปถึงเสาเข้าลับแล
มีทางลอดสอดคลานเข้าไปได้ ถึงข้างในทางเปนปล่องสองแฉว
ไม่ถึงไหนเข้าไปตันกันอัดแอ ต้องย่อแต้ตามชอกกลับออกมา
ที่เวิ้งนี้มีซองอิกช่องเล่า เดินตรงเข้าเวิ้งใหญ่ขึ้นไปกว่า
แต่โดยกว้างที่ตรงนี้สักสี่วา แลเห็นฟ้าตามช่องปล่องข้างบน
ช่องหนึ่งตรงลงมาแต่ยอดเขา สว่างเข้ามาข้างในไม่ขัดสน
อิกปล่องเยื้องไปข้างหน้าริมท่าชล ศิลาหล่นลาดรายคล้ายตพาน
ปีนขึ้นไปไม่สู้ยากถึงปากช่อง แลเห็นท้องคงคาป่าละหาน
แต่ข้างในไปลำบากยากกันดาร ต้องอยู่ชานถ้ำกลางหว่างมรรคา
ถัดตรงนี้มีช่องเปนห้องซอก ดูเปนกรอกเข้าไปงามสามวากว่า
ถึงที่จนวนออกข้างนอกมา มีคูหาไปอิกช่องเปนสองทาง
ส่วนข้างซ้ายฝ่ายนั้นไปตันตื้น ย้ายทางอื่นแอบมาข้างขวาขวาง
เปนประทุนยาวยืดมืดรางราง สูงแลกว้างศอกเดียวเจียวอกอา
คลานเข้าไปถึงข้างในนั้นยิ่งยาก แคบเตี้ยมากเข้าทุกชั้นขันนักหนา
จนลงปลายถึงพังพาบราบอุรา พอพ้นซอกออกมาถึงปล่องน้อย
ไม่ทลุขึ้นตลอดยอดภูผา สูงสามวาพิศดูเปนภู่ห้อย
สายวารีมีไม่ขาดหยดหยาดย้อย ขาวหยอยหยอยหยดหยัดอยู่อัตรา
ที่พื้นดินหินเห็นเหมือนเช่นไข่ ต่อยเขาไว้มิให้แตกแปลกหนักหนา
เหมือนจริงจริงใช่จะแสร้งแกล้งเจรจา สายธาราหยดกระเด็นถูกเปนเงา
ตัวฟองแดงอยู่ข้างในไข่ขาวล้อม มิใช่ย่อมตะละใบเท่าไข่เต่า
จัลเม็ดอย่างใหญ่ได้รูปเค้า ลูกเท่าเท่ากันมีสี่ห้าใบ
ทรงสอดไม้ธารพระกรเข้าค้อนคัด ก็แงะงัดจากที่คิรีได้
รับสั่งให้ราชโกษาห่อผ้าไป เล่าบอกใครจะได้เห็นเปนพยาน
ในถ้ำนี้มักมีตะไคร่น้ำ จับฝาดำดื่นไปเปนหลายด้าน
ดูชุ่มชื้นพื้นผนังทั้งเพดาน ไม่ยลธารธารามาทางไร
มีแต่เหื่อเห็นพร่างข้างคูหา เพริศพราวตาเหมือนอย่างเพ็ชรเม็ดใหญ่ใหญ่
ที่ถ้ำนี้มิใคร่มีใครมาไป จึงร้างไว้มิได้เรียกสำเนียกนาม
จึงทรงตั้งชื่อประจำว่าถ้ำแก้ว เพราะพร่างแพร้วเห็นตระหนักไม่พักถาม
ซ้ำมีต้นแก้วป่าท่าทีงาม พเอิญยามมีดอกออกเรียงราย
อันต้นใบนั้นไม่ผิดกับแก้วบ้าน แต่ดอกบานกลีบบางห่างขยาย
ว่าตุมกลัดกลีบห่อพอลม้าย แต่กลีบอายอ่อนกว่าในธานี
เสด็จตรงลงจากปากคูหา ต้องผ่านท่าถ้ำเก่าเข้าวิถี
ไปเส้นหนึ่งจึงขึ้นเหลี่ยมคิรี ระยะยี่สิบวาเปนผาชัน
ปากคูหามีศิลาก้อนใหญ่ขวาง ทางสองข้างขวาซ้ายพอผายผัน
แต่ห้องในกว้างขวางสว่างตวัน มีฝาคั่นดูทำนองเหมือนห้องใน
ศิลาก้อนซ้อนซับสลับสล้าง ดูเหมือนอย่างตุ๊กตาก็ว่าได้
เปนหลายตัวตั้งระระดะไป ต้องจุดไฟเพราะผนังนั้นบังลับ
มีเวิ้งใหญ่ลงไปได้อิกแห่งเล่า แล้วย้ายเข้าตามช่องเหมือนห้องหับ
อิกสามแห่งแกล้งใส่คะแนนลับ ล้วนต้องกลับออกมาใหม่เพราะไปตัน
คูหานี้ทีงามกว่าถ้ำแก้ว ดูพราวแพร้วน่าชมช่างคมสัน
วารีย้อยพร้อยพร่างไม่ห่างกัน ทั้งเชิงชั้นเพิงกระพักยักทำนอง
ชโงกง้ำเปนชง่อนก้อนซ้อนแซก บ้างแยะแยกยลเห็นเปนริ้วร่อง
ทางน้ำย้อยห้อยรย้าเรียกว่าฟอง มีทุกห้องมิได้ห่างสำอางตา
เสด็จกลับทางเดิมโดยพระบาท ยุรยาตรตัดตรงมาลงท่า
เรือที่นั่งเคลื่อนคล้อยลอยชลา มาถึงหน้าแพเรียงพอเที่ยงวัน
สองทิวามานี้กะเหรี่ยงเฝ้า เปนหลายเหล่าตลอดแดนแคว้นเขตรขัณฑ์
ทางถึงสามสี่ทิวาก็พากัน อุส่าห์ผันผายมาอยู่ท่าคอย
ดูชื่นชมยินดีเปนที่ยิ่ง นับถือจริงอย่างพระไม่ละถอย
ทั้งลูกเล็กหญิงชายเปนหลายร้อย มานั่งคอยอยู่ไม่ว่างข้างพลับพลา
ของถวายตามมีที่หาได้ คือเข้าไร่พักแฟงแตงเปรี้ยวป่า
ทั้งว่านรากต้นใบไม้เครื่องยา มีเสื้อผ้ากะเหรี่ยงบ้างต่างต่างกัน
ทรงจัดเสื้อสักหลาดประสาททั่ว ที่เปนหัวหน้าหมดตามลดหลั่น
พวกตัวไพร่ได้เงินเปนรางวัล ผู้หญิงนั้นผ้าห่มพอสมตัว
พวกรามัญบันดามาตัดไม้ มาเฝ้าได้แจกจ่ายรายจนทั่ว
ต่างอยากเฝ้าเข้าใกล้ไม่หวาดกลัว ล้วนยิ้มหัวทูลพิดสนิทดี
ตัวพระไทรโยคตายวายชีวาตม์ ยังว่างขาดไม่มีใครได้รับที่
ทรงเห็นว่าหลวงรักษาจุมพลนี้ เปนคนมีกำลังตั้งบ้านเรือน
ได้บังคับบัญชาบันดาไพร่ ที่ตั้งในแนวย่านบ้านป่าเถื่อน
แล้วขยันการกิจไม่บิดเบือน เห็นเงาเงื่อนพอใช้ได้ราชการ
แต่ก่อนมาเมืองเหล่านี้เปนที่ร้าง ตามสองข้างนทีไม่มีบ้าน
จึงเปนที่คับแค้นแสนกันดาร มีแต่ด่านเกณฑ์ไพร่ให้ออกมา
ครั้นเดี๋ยวนี้มีคนมากกว่าก่อน ต้องซู่มอญของฝรั่งทั้งพม่า
เดินเข้าออกทางนี้มีสินค้า มาลงท่าล่องแพในแควนี้
หนึ่งผู้ร้ายฝ่ายอังกฤษที่ผิดแผก ก็มักแปลกปลอมหน้ามาที่นี่
จะติดตามก็ลำบากยากพันทวี เพราะไม่มีตาหูรู้ร่องรอย
ถ้าเมืองอยู่โพธารามข้ามเขตรแขวง ด่านร่องแร่งทิ้งขว้างอย่างกร่อยกร่อย
กว่าจะเกณฑ์กันขึ้นมาช้าตะบอย มักเลื่อนลอยหนีหน้าเข้าป่าดง
แม้เจ้าเมืองกรมการบ้านอยู่นี่ จะค่อยดีขึ้นบ้างอย่างประสงค์
พระดำริห์โดยดังหวังจำนง จึงได้ทรงยกย่องลองประเดิม
หลวงรักษาจุมพลคนผู้นี้ ให้เปนที่พระไทรโยครับยศเพิ่ม
ประทานเสื้อโหมดเทศพิเศษเติม เปนการเริ่มไว้ทีดูดีร้าย
แต่ประทับอยู่ข้างนอกออกขุนนาง จนนภางค์เผือดร้อนตกตอนบ่าย
เสด็จลงเรือที่นั่งสั่งฝีพาย แจวสู่ค่ายรับพม่าที่หาพบ
ระยะทางห่างจากน้ำโจนใหญ่ แปดเส้นไปถึงที่ทางถางบรรจบ
ตพานน้ำทำบันไดไว้ครันครบ เปนหลายทบถึงฝั่งหลังดินดอน
แล้วทางไปในดงไม้ไผ่ผาก ไม่ไกลมากห้าเส้นเปนดินอ่อน
ถึงปีกซ้ายค่ายต้นหนทางจร เปนตอนตอนคันค่ายรายมูลดิน
สูงตั้งแต่คืบหนึ่งจนถึงศอก เปนขอบบอกแนวไปเห็นได้สิ้น
รับสั่งให้วัดดูรู้รบิล ไม่แหว่งวิ่นสี่เหลี่ยมเท่าเทียมกัน
ยาวสองเส้นเปนระหว่างกลางวางป้อม สี่ด้านห้อมที่เห็นเปนเขื่อนขันธ์
ห่างค่ายหลวงสามเส้นเปนสำคัญ ค่ายใหญ่นั้นเหลื่อมตั้งฝั่งชลธี
ยาวหกเส้นเจ็ดวาหน้าลงน้ำ ป้อมประจำแปดทิศปิดวิถี
โดยส่วนกว้างสามเส้นเปนรูปรี ดูท่วงทีขึงขันเห็นมั่นคง
ค่ายปีกขวาเหลื่อมเข้ามาเหมือนข้างซ้าย แต่ขยายใหญ่กว้างต่างประสงค์
สามเส้นแปดศอกถ้วนส่วนแวดวง สี่เหลี่ยมลงเค้าข้างซ้ายลม้ายกัน
แต่ค่ายใหญ่ไปถึงค่ายปีกขวา มีปีกกาทัพสมุทสุดขยัน
ซ้ายปีกกาโอบมามากมายครัน จนไปยันบึงหลังตั้งเหมือนดังคู
ยาวห้าเส้นเปนระหว่างกลางมีป้อม เลี้ยวคดค้อมหักมาท่าต่อสู้
ที่ชายหนองกองนูนดินพูนดู เห็นมีอยู่สี่ห้าท่ารายพล
ค่ายใหญ่วางห่างน้ำสามเส้นถ้วน เปนขบวนนาคนามตามเหตุผล
พื้นภูมิที่มีทำนองต้องอย่างยล ในเชิงกลพิไชยยุทธดีสุดใจ
ตามขอบค่ายรายเห็นเช่นดินเผา ดูเข้าเค้าอิฐหักประจักษ์ได้
คิดคเนกันว่าเห็นจะเปนไฟ ลวกลามไหม้เสาค่ายทำลายโซม
ไม้โคนเสาเผาดินที่หลุมสุก ด้วยไฟลุกลามชิดติดฮือโหม
คงใช้ไม้แก่นมั่นกันจู่โจม เห็นไม่โคมคำว่าดูน่าฟัง
ห่างจากค่ายปีกขวาสิบห้าเส้น ลำห้วยเปนสองทางที่ข้างฝั่ง
ปลายร่วมกันยันตรงสู่ดงรัง หว่างห้วยตั้งป้อมไว้ปืนใหญ่วาง
พื้นป้อมต่ำคเนตาห้าหกศอก ที่ขอบนอกเนินนูนพูนสองข้าง
เหมือนเปนโดยธรรมดาดูท่าทาง แล้วสืบสร้างขึ้นอิกสองทำนองกัน
ได้แนวหน้าสี่วาวางระยะ เปนจังหวะไว้ระหว่างให้ห่างคั่น
ทางปืนตรงลำน้ำคุ้งสำคัญ ตลิ่งชันเช่นคิรีที่แขงแรง
รอบค่ายนี้มิใคร่มีต้นไม้ใหญ่ มีแต่ในค่ายเห็นเปนหลายแห่ง
ด้วยแรกตั้งตัดฟันมั่นกลางแปลง อาไศรยแฝงฝั่งชันกันศัตรู
ที่ฟากฝั่งข้างประจิมริมปลายแหลม ตั้งค่ายแนมรับหน้าข้าศึกอยู่
กว้างเส้นหนึ่งโดยรอบมีขอบคู มีป้อมอยู่สี่ด้านที่ย่านกลาง
ทรงสงไสยว่าจะไม่เพียงเท่านี้ แต่ไม่มีเวลาด้นค้นรอบข้าง
ต้องตกลงเอาเปนใช้ได้พลางพลาง พอเปนทางที่ดำริห์ได้ตริตรา
ทรงตรวจพงศาวดารสอบฐานที่ ความก็มีห้วนห้วนชวนกังขา
เพราะผู้แต่งไม่รู้แห่งอรัญวา เปนแต่ว่าย่อย่อต่อกันไป
ส่วนค่ายนี้เห็นทีเปนท่ารับ หาไช่ค่ายกองทัพยกมาไม่
เปนที่มั่นกันแดนแผ่นไผท ทั้งโตใหญ่แน่นหนากว่าสามัญ
จึงลงเห็นว่าจะเปนที่ค่ายหลวง การทั้งปวงพร้อมสรรพดูขับขัน
สอบจดหมายเหตุได้ก็ใกล้กัน พอยืนยันยลเค้าเข้าทำนอง
คือเมื่อครั้งปีมะเมียอัฐศก พม่ายกเข้ามาตั้งเปนครั้งสอง
นับในพระบรมวงศ์ทรงปกครอง สืบสนองกรุงทวาราวดี
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า เสด็จปราบดาภิเษกปีที่สี่
คำนวณตัดมาถึงปัจจุบันนี้ รอยสองปีเปนกำหนดจดประมาณ
ด้วยพม่ายกมาเมื่อปีหลัง ดาประดังตลอดแดนแคว้นสถาน
ถึงแสนกับสามพันเดชบันดาล ให้แตกพ่านพ่ายยับกลับไปเมือง
ตัวไพร่ตายหลายหมื่นกลับคืนคิด จะเติมติดต่อยุทธไม่สุดเรื่อง
จะเอาไชยใช้ที่รี้พลเปลือง เพราะเต็มเคืองคิดอ่านเปนการปี
องค์อินแซะราชบุตรที่สุดหาญ มาคิดการหมายมุ่งเอากรุงศรี
ตั้งอยู่เมืองเมาะตะมะกะโยธี ห้าหมื่นมีหมายประมวญจำนวนพล
แต่งให้เมี้ยนหวุ่นเมี้ยนเมหวุ่น สองคนคุ้นลู่ทางกลางไพรสณฑ์
ได้เคยคุมทัพหน้ามาประจญ พาพหลสามหมื่นพื้นสกรรจ์
เข้ามาทำยุ้งฉางวางค่ายเข้า ตามลำเนาแนวทางอย่างกวดขัน
แล้วลำเลียงข้าวปลามาเนืองนันต์ ตั้งค่ายมั่นสามสบคอยรบราญ
ฝ่ายมหาอุปราชยาตราทัพ ดูคั่งคับด้วยพหลพลทวยหาญ
มาตั้งแม่กษัตรยั้งคอยฟังการ ได้คิดอ่านราวีให้มีไชย
ฝ่ายที่กรุงทราบสารโองการตรัส ให้เร่งจัดทัพทั้งสองเปนกองใหญ่
พลทัพหน้าสามหมื่นพื้นเกรียงไกร ส่วนหนึ่งในวังหน้ากล้าสงคราม
เจ้าพระยารัตนาพิพิธนั้น คุมพลพรรค์วังหลวงทั้งปวงหลาม
เข้าสมทบทัพหน้ายาตราตาม ไม่เข็ดขามขยาดย่อต่อดัสกร
สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้า ทุกแหล่งเล่าฦๅไชยไหวกระฉ่อน
เปนจอมพลโยธาทัพหน้าจร จากนครสู่สถานด่านอัสดงค์
ทัพหลวงพลสามหมื่นพื้นอาสา กุมศัสตรายุทธแย้งเครื่องแผลงผลง
กรมพระราชวังหลังทั้งพระวงศ์ เข้าควบคงโดยเสด็จดำเนินพล
ยกยาตรามาทางสุนัขหอน ผ่านนครเข้าในแนวไพรสณฑ์
มาโดยลำแม่น้ำน้อยเนื่องตำบล จนลุดลไทรโยคยั้งโยธา
ให้ดำเนินพลไกรไปทางบก ท่านสมุหนายกเปนกองหน้า
ดำเนินก่อนตอนรองที่สองมา สมเด็จพระอนุชาคุมทัพไชย
ดำเนินถึงท่าขนุนระยะนั้น จึงคลี่คลายพลขันธ์กระบวนใหญ่
หนุนกันเปนจังหวะระยะไพร ทัพหน้าใกล้สามสบพบศัตรู
ตั้งค่ายมั่นกระชั้นชิดปรปักษ์ หวังหาญหักรบรอไม่ย่อยู่
ทัพวังหน้าหนุนหลังตั้งค่ายคู คอยรอสู้ที่สองรองลงมา
ระยะทางห่างห้าสิบเส้นถ้วน เกลือกแปรปรวนประทะทัพรับต้านหน้า
กองทัพหลวงแหล่หลามมรคา ยั้งโยธาทัพใหญ่ที่ในดง
ระยะทางห่างเจ็ดสิบเส้นเศษ คอยฟังเหตุผ่อนเพิ่มเติมพลส่ง
ฝ่ายทัพหน้าได้ประจญรณรงค์ พม่าองอาจหาญออกราญรบ
สามทิวาก็ระอาอำนาจฤทธิ ไม่ต่อติดตื่นแยกแตกตลบ
ฝ่ายทัพไทยไล่สวนตีทวนทบ แต่สามสบจนกระทั่งหลังคิรี
พิเคราะห์ความตามในจดหมายเหตุ กับประเทศทำนองในท้องที่
ก็เห็นส่อสมเค้าเข้าท่วงที ทางแต่นี้ถึงสามสบครบหกวัน
ถึงมิใช่ค่ายประชิดติดข้าศึก ก็ควรนึกคาดเห็นเปนที่มั่น
เพราะเปนท่านาวาประชุมกัน จัดทับเทียบพลขันธ์เข้ากระบวน
ทั้งเปนที่สระสมสเบียงทัพ ทั้งรบรับปรปักษ์เผื่อหักหวน
ถูกเยี่ยงอย่างสงครามตามสมควร ทรงสอบสวนดูเห็นความเช่นนี้
เสด็จลงนาวาที่หน้าค่าย ข้ามฟากฝ่ายตวันตกวกวิถี
ขึ้นประพาสเหนือน้ำลำนที มีคิรีริมฝั่งตั้งเรียงราย
ล้วนชั้นเชิงเพิงผาท่าหลายอย่าง ตามขอบข้างท้องคุ้งยุ่งใจหาย
ที่หัวแหลมนั้นก็เห็นเปนหาดทราย แต่เชิงชายชันตั้งไปทั้งนั้น
ตะไคร้น้ำแถบนี้มีแต่แหลม ขึ้นแซกแซมต้นแว่แผ่ผกผัน
ส่วนท้องคุ้งเนินคิรีมีแต่พรรณ กอไม้รวกเรียงรันโหรงขึ้นไป
บ้างท้องที่นั้นก็มีไม้ไผ่ผาก เปนหมู่มากลำห่างสว่างไสว
บางแห่งเปนดงยืดมืดหมู่ไพร ต้นไม้ใหญ่ดังศิขรดูซ้อนซับ
เสด็จไปสี่เลี้ยวเจียวเทียบทบ พอตกพลบค่ำเสร็จเสด็จกลับ
เกือบทุ่มหนึ่งจึงถึงที่ประทับ เสวยสรรพแซ่เสียงกะเหรี่ยงรำ
เข้ามามีที่ข้างในฉันได้เห็น เริ่มแรกเต้นไม้เคาะเปาะเปาะร่ำ
เช่นเห็นแล้วแต่วานซืนคืนนี้ซ้ำ หัวเห็ดย้ำสองอย่างไม่ต่างกัน
ต่อนี้ตีเถิดเทิงกะเหรี่ยง มีฉาบตอดสอดเสียงสำเนียงขัน
มีผู้ชายร่ายรำทำพัลวัน ดูคล้ายพรรค์ฟ้อนแคนแกนเต็มที
พวกผู้หญิงร้องเพลงวังเวงเสียง เข้านั่งเคียงเรียงรันกันทั้งสี่
เอระกะช้าใจเห็นใช้มี ลงท้ายถี่ซ้อนซ้ำย้ำเนืองเนือง
เสียงเอเอร่ำไปนับหลายร้อย แต่นั่งคอยฟังเค้าไม่เข้าเรื่อง
ภาษาผิดเราไกลใช้ยักเยื้อง เหมือนต่างเมืองกันมาน่ารำคาญ
ในการเล่นเห็นทีเดียวก็เรียนได้ แต่จนใจเรื่องร้องซ้องประสาน
โสกกระไทยสนุกกว่าดูอาการ โปรดประทานรางวัลทั่วทุกตัวคน
ค่ำวันนี้มีลูกพระวังหิน เปนหัวหน้าอยู่ในถิ่นแถวไพรสณฑ์
หน้าเอนดูนักหนากล้ากว่าคน มาเฝ้าบนพลับพลาหน้าตาดี
ภาษาไทยก็มิใคร่จะรู้จัก ใครทายทักตอบภาษาว่าอู้อี้
ดูร่างใหญ่อายุได้สิบเอ็จปี ค่ำวันนี้ประทานสร้อยร้อยสวมฅอ
ล้วนเงินบาทเฟื้องสลึงตรึงสายลวด เจาะร้อยกวดติดกันคั่นต่อต่อ
ดูก็เห็นงามดีมั่งมีพอ ทั้งแม่พ่อดีใจไม่มีปาน
ทั้งไปเฝ้าที่ข้างในได้อิกหลาย เต็มสองฟายมือรับกลับไปบ้าน
เห็นจะนับเปนเศรษฐีมั่งมีนาน ทั่วทั้งย่านไม่มีสู้เด็กผู้นี้
เขาชื่อว่าซอลาพอต่อไว้หน่อย ฉันลืมลอยหลงเหลือเมื่อตะกี้
ลองชวนให้เข้าไปอยู่ในบุรี กลัวเต็มทีล่ออย่างไรไม่ยินยอม
เข้าที่นอนนิ่งฟังน้ำหลั่งไหล กิ่งกล้วยไม้แขวนตรงส่งกลิ่นหอม
ถึงมีทุกข์ปลุกปลื้มจนลืมตรอม เหมือนขับกล่อมยวนใจให้ไสยา
จะอยู่นี่อีกราตรีเดียวเท่านั้น เสียดายครันคงไม่สิ้นถวิลหา
เปรมกมลจนหลับกับนิทรา จบสาราเรื่องราวที่กล่าวกลอน ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ