วัน ๒ ฯ๑๒ ๒ ค่ำ

วัน ๒ ๑๒ ๒ ค่ำ

๏ ตื่นนอนมาหาขันล้างหน้าหาย บ่าวตพายพาลงเรือเผื่อไว้ก่อน
จนเต็มเบื่อเหลือมีแต่ที่นอน ถ้ามันผ่อนเอาไปได้ไม่ไว้มือ
จนฉันเคืองเต็มประดาไม่ว่าเล่น นึกกะหน้าว่าจะเปนแต่เราหรือ
พนักงานยิ่งคนอื่นกลับตื่นฮือ เกิดอึงอื้อกันจนขันฉันชอบใจ
คือเครื่องตั้งยังกำลังเสวยเช้า พนักงานลักพระเต้าเอาไปได้
พเอิญพระสุธารสหมดน้อยไป จะเที่ยวหาแห่งใดก็ไม่มี
ครั้นไต่สามได้ความว่าผ่อนขน ลงเรือจนเหลวยับไปกับที่
ต้องวิ่งหอบขึ้นมาใหม่สาใจดี เมื่อก่อนนี้นั้นขี้เกียจลงเหยียดยาว
แม้ออกเรือย่ำรุ่งแล้วยุ่งใหญ่ ไม่พร้อมได้สักหนจนเกิดฉาว
ถ้าสายหน่อยหนักกะไรใจสั่นท้าว ในเรื่องราวนั้นไม่มีพอดีเลย
เสวยเสร็จเสด็จไปประพาสถ้ำ เสียดายลำธารานิจาเอ๋ย
จะจากไปไม่ได้เห็นเหมือนเช่นเคย จะเดินเฉยฉากมาก็อาไลย
แวะลงไปใกล้กระแสที่แคร่พัก เฝ้าเวียนวักรอราชลาไหล
เหมือนจับมือเมื่อจะพรากจากกันไป แล้วจำใจเบือนหน้าลงมาเรือ
นั่งพินิจพิศดูสายน้ำตก งามจับอกจับใจมิได้เบื่อ
ถึงไม่อาบซาบกระเซนเย็นผิวเนื้อ เหือดแห้งเหือหายร้อนผ่อนสำราญ
ในวารีมีมัจฉาว่ายคลาคล่ำ บ้างโดดดำเปนละลอกกระฉอกฉาน
ตะเพียนทองท่องกระแสจนแลลาน บ้างผุดพล่านโผล่พ้นชลธี
กำเข้าปรายว่ายมาซ่าสพรั่ง ที่ล้าหลังแว้งตวัดซัดหางถี่
แซงซ้อนไซ้ไล่ฮุบเห็นอินทรีย์ ด้วยวารีใสสอาดปราศมลทิน
เหมือนอ่างแก้วปากก่อเขามอติด ประดับประดิษฐไม้ดัดจัดก้อนหิน
ติดท่อทางวางน้ำพุพ่นวาริน ลงสู่สินธุ์เซนซ่าล่อปลาทอง
ตะเพียนพ่างอย่างสุวรรณมัจฉา แต่โตกว่าตามส่วนนวลไม่หมอง
ล้วนครีบแดงเกล็ดเหลืองงามเรืองรอง แต่เวียนมองอยู่ไม่วายจนสายครัน
เสด็จกลับจากคูหาเวลาเที่ยง เซงแซ่เสียงแตรบอกออกผายผัน
ขอลาน้ำโจนใหญ่ทั้งไพรวัน จะจากกันแต่วันนี้นับปีไป
สักเมื่อใดจึงจะได้มาเห็นอีก จำจะหลีกเลยลาหน้าไศล
แม้ไม่มีทำวลที่จนใจ ฉันจะไม่นิราสร้างห่างคิรี
แต่นี้ไปใครเลยจะลงอาบ จะเหม็นสาบกลิ่นเนื้อสัตวเสือสีห์
เคยกลั้วกลิ่นสุคนธ์ทาสามราตรี แต่วันนี้ไปจะร้างห่างชาววัง
เรือผ่านเลื่อนเคลื่อนคล้อยลอยกระแส ยังเยี่ยมแกลเหลียวกลับจนลับหลัง
ถึงตัวไปใจพะวงอยู่ดงรัง วารีดังอยู่ในหูไม่รู้วาย
ตั้งแต่นี้มีแต่จะแลลับ เปนขากลับเร็วคว้างพลันห่างหาย
ฉันตั้งใจไว้ว่าถ้าไม่ตาย จะขวนขวายขึ้นมาพักอีกสักคราว
ใครฟังว่าจะพากันว่าฉันเพ้อ ไม่ยักเก้อแต่เขายังกำลังสาว
ยังอุส่าห์คิดอ่านเปนการยาว เถอะอย่ากล่าวเลยเท่านั้นจบกันที
ฉันได้ฟังรับสั่งเล่าถึงเรื่องถ้ำ เรียกชื่อน้ำโจนอีกไม่หลีกหนี
แต่เปนเขาเตี้ยตั้งอยู่ฝั่งนี้ สักสามสี่เส้นทางห่างพลับพลา
ไม่ได้ทำลู่ทางเปนอย่างเถื่อน จนฟั่นเฟือนปากถ้ำเที่ยวคลำหา
พบปากช่องต้องปีนก้อนศิลา แล้วจึงหย่อนกายาลงปล่องเปลว
สามศอกเศษสังเกตทางเปนอย่างต่ำ อีกช่องซ้ำลึกเห็นเหมือนเช่นเหว
มีพะองเขาลงไปมิใช่เลว กระดูกเหลวละถ้าตกหกขะมำ
คูหานี้ไม่มีกว้างกว่าแปดศอก เปนทางซอกแซกไปได้ทั้งถ้ำ
ทำแปลนยากลำบากเบื่อเหลือจดจำ เดินยังค่ำก็ไม่จนพ้นปัญญา
แต่เปนตรอกซอกผาห้าหกแห่ง ต้องตะแคงต้องคลานออกซานหน้า
บ้างต้องปีนต้องถัดอัดอุรา บ้างต้องย่อต่อมาตลอดทาง
ช่องหนึ่งนั้นจรจรัลลงที่ราด พื้นเปนหาดทรายขาวยาวสองข้าง
มีวารีหลั่งไหลในลำราง ดูโดดกว้างคืบเศษสังเกตตา
น้ำนั้นใสไหลเย็นเห็นภาคพื้น ว่ายดาดดื่นน่าดูหมู่มัจฉา
ฝูงกุ้งเกาะริมหาดดาษดา รอยเสือปลาตามหาดออกดาดไป
ที่ปลายปล่องมีช่องเปนหลืบลับ คนเข้าคับแคบกระไรไปไม่ได้
จะเปนทางเสือปลามาฤๅไร นึกสงสัยกันว่าเห็นจะเช่นนั้น
ที่ปากปล่องช่องหนึ่งนั้นแคบน้อย วารีย้อยหยดหว่างทางผายผัน
ผนังช่องปล่องชั้นลื่นเปนมัน จะเหยียบยันต้องระวังยับยั้งตน
ที่ร้อนรนจนเสโทลงหลั่งไหล พอเข้าไปกลับเย็นทุกเส้นขน
ควันพลุ่งจากปากตัวทั่วสกนธ์ เปนทุกคนที่เข้าไปอยู่ในนั้น
เหมือนหน้าหนาวเช้ามืดมิได้ขาด จนขยาดกลัวเย็นเห็นเกินขัน
เปลี่ยนหนาวร้อนซ้อนสับกลับทันควัน พากันพรั่นกลัวไข้ใส่เอายับ
แต่เสด็จจรลียังมิทั่ว ทรงนึกกลัวว่าจะช้าเวลากลับ
ครบโมงครึ่งจึงเสด็จที่ประทับ เขาเปิดฝาผ้ารับเสด็จดล
เข้าในค่ายทางท้ายพลับพลาใหญ่ แล้วลงทางฉนวนในไม่ขัดสน
เห็นโขลนนอนเรียงรายอยู่หลายคน เขารื้อขนเข้าของกองกระจาย
พระดำเนินกลับมาเวลาร้อน ด้วยเสด็จบทจรค่อนข้างสาย
ถึงพุพริกหยุดทอดจอดเรียงราย เสด็จผายผันลงทรงเรือน้อย
ทอดพระเนตรพุนี้อิกทีหนึ่ง ให้ทั่วถึงทุกตำบลคนกล่าวถ้อย
ต่อสรงเสร็จจึงเสด็จคลาเคลื่อนคล้อย แจวล่องลอยแลหลามตามกันมา
ระยะทางก็เหมือนอย่างเมื่อวันก่อน ป่วยการกลอนที่จะร่ำรำพันว่า
สนุกแท้แต่ที่แก่งปรังตา เอะอะจริงยิ่งกว่าเมื่อขาไป
โยงเชือกท้ายรายคนจนตลอด ค่อยโรยทอดเลี่ยงชง่อนก้อนไศล
น้ำช่างลดเร็วรี่นี่กระไร ก้อนใหญ่ใหญ่ขึ้นมาขวางกลางวารี
ถึงบ้านใหม่ไทรโยคมีผู้หญิง เปนมอญวิ่งตโกนร้องออกก้องมี่
นึกว่าเหตุเภทไภยอันใดมี ถามคดีได้มีความตามจำนง
ว่าจัดของเตรียมไว้ไม่ได้ถวาย แสนเสียดายด้วยจะขาดคลาศประสงค์
จึงมาคอยริมตลิ่งเที่ยววิ่งวง แล้วรีบลงเรือพายตกายมา
ถวายได้ดีใจเปนที่สุด พูดไม่หยุดพลอดจ้อหัวร่อร่า
ถึงพลับพลาวังเขมรเห็นนาวา เขาจอดราอยู่ข้างท้ายเปนหลายลำ
เสด็จลงเรือที่นั่งคอนโดล่า ไปขึ้นท่าถ้ำผีน้อยเห็นรอยคร่ำ
หน้าผายื่นพื้นเปลวอัคคีดำ ที่พื้นถ้ำล้วนแต่เท่าตลอดทาง
ดูโล่งเตียนเลี่ยนดีไม่มีรก แผ่นผาตกแตกป่นจนข้างล่าง
ล้วนศิลาปูนเปนกาบหน้าราบบาง ที่อย่างกว้างสามศอกลองลงมา
ที่อย่างย่อมไปกว่านนั้นมีมาก เหมือนแกล้งถากทำใช้หน้าไม่หนา
เพียงสี่ห้านิ้วบ้างห่างไนตา ที่บางกว่าขนาดนี้มีมากมาย
เดินขึ้นไปไม่ต้องย่องเหยียบกองไผ่ จนถึงในปากปล่องมองได้ง่าย
รับสั่งชมว่าคราวนี้ดีสบาย แต่ผันผายตรวจตราอยู่ช้าครัน
พอกลับลงนาวามาจากฝั่ง ได้ยินปังที่คิรีมี่สนั่น
เปนพระบารมีจริงสิ่งสำคัญ กลับเสียทันถ้าหาไม่ได้ยับเยิน
ฉันตกใจเต็มทีไม่มีขวัญ จนอกสั่นกายสทกระหกระเหิน
รู้อย่างนี้ก็จะไม่ขึ้นไปเดิน บุญบังเอิญพ้นได้ไม่อันตราย
เสด็จโดยเรือน้อยคล้อยลิลาส ได้ประพาสเล็งแลกระแสสาย
ถึงท้องช้างสายัณห์ตวันชาย ประทับท้ายแพหน้าธาราริน
ต้องรอเรือกระบวนหลังยังไม่ถึง ทำพเน้าพนึงไปทั้งสิ้น
ใช่อาไลยพนาลีที่แดนดิน ฤๅสายสินธุ์เชี่ยวฉานต้องทานทวน
เพราะฝีพายสบายใจไม่แจวจ้ำ ร้องว่าตามน้ำดอกเว้ยเลยเสสรวล
เกือบยามหนึ่งจึงมาถึงหมดกระบวน ขาล่องควรฤๅจะช้ากว่าขาไป
แก้ตัวร้องว่าต้องผ่านแก่งลว้า เรือข้ามมาเสียแต่เย็นเปนไหนไหน
เรือครัวคั่งอยู่ข้างหลังคลั่งกะไร สมสาใจพวกฝีพายอดตายเอง
จนสี่ทุ่มแล้วยังกลุ้มกันกลางน้ำ เรือล่องคล่ำส่งสำเนียงเสียงโผงเผง
บ้างพลัดครัวยามกลางคืนเสียงครื้นเครง แต่โตงเตงกันจนกว่าห้าทุ่มนาน
ทรงถอนไผ่ได้เปนกองสักสองหอบ ฉันขนบอบแล้วจึงลงสรงสนาน
ที่อ่างสูงรองสายน้ำแสนสำราญ ทรงเครื่องอานเสร็จสรรพกลับพลับพลา
พอถึงที่ไม่มีไฟสักดวงหนึ่ง ต้องเอ็ดอึงวิ่งไขว่เที่ยวไล่หา
ได้โคมลานที่ไปใช้ในนาวา เอาขึ้นมาจุดส่องได้สองดวง
เปนเรื่องเดียวกับเมื่อเช้าเข้าตำหรับ เพราะจะกลับเอาขึ้นไปใจเปนห่วง
ยามหนึ่งจึงพร้อมพรั่งเสร็จทั้งปวง ขอหลีกล่วงเลิกเรื่องขุ่นวุ่นไว้ที่
เรืองพลับพลาไม่ได้ว่าเมื่อวันก่อน คิดตัดตอนไว้ขากลับประทับนี่
พลับพลาตั้งตรงท่าพุวารี ต่อกับที่พุน้ำร้อนข้างตอนบน
ตั้งแต่เหนือกองศิลามามีหาด เปนเนินลาดถัดขึ้นไปใกล้ไพรสณฑ์
เปนที่ควรตั้งพลับพลาดูน่ายล เพราะสูงพ้นหลังประรำลำนที
ที่บนฝั่งหลังพลับพลาเปนป่าไผ่ ต้นไม้ใหญ่ยัดเยียดกันเสียดสี
มีเฉลียงด้านหน้าหลังคารี ยาวสิบสี่ห้องคั่นกันในประธาน
พื้นนอกในใช้แตะจนฝาตั้ง หลังคาบังมุงแฝกแปลกสัณฐาน
ในบุผ้าฝาห้องตามต้องการ ใช้ฉากม่านมุลี่ยี่ปุ่นบัง
โคมกระดาษแขวนเรียงเฉลียงโถง ตอไม้โพรงแทนกระถางวางเรียงตั้ง
ปลูกพรรณไม้นานาดาประดัง เหมือนในวังคั่นบันไดมีไม้ราย
สงสัยว่าจะเอามาแต่บางกอก ส่วนกระบอกไผ่หนูรู้ได้ง่าย
ไม้ที่นี่มีนักหนาหาสบาย เขายักย้ายหลายอย่างกระถางดง
บ้างทอดลำทำเปนกระถางกราบ อย่างหยาบหยาบดูก็งามตามประสงค์
บ้างก็เปนกระบอกวางอย่างตรงตรง ตามจำนงยักย้ายหลายทำนอง
ที่ชายคาหาต้นกล้วยไม้แขวน อเนกแน่นตามเฉลียงเรียงทุกห้อง
บันไดขึ้นสูงคันคั่นเปนกอง ล้วนไม่ปล้องผูกราวผ้าขาวพัน
ริมนทีมีพลับพลาอิกหลังหนึ่ง สามห้องขึงส่วนข้างหน้าท่าขยัน
มีปะรำดาดรอบเปนขอบคัน ต่อติดกันกับในน้ำปะรำเรือ
ไม่ตกแต่งแบ่งปันกั้นแต่ฝา อยู่ตรงหน้าคิรีเห็นดีเหลือ
พระพายพ้องลอองธารพัดจานเจือ เย็นผิวเนื้อหนาวฉ่ำเมื่อค่ำคืน
ปรอทวันนั้นแปดสิบแปดหย่อน กลางคืนผ่อนเจ็ดสิบห้าพาให้ชื่น
เสียงน้ำตกตอนดึกฟังครึกครื้น หลับไม่ตื่นเลยจนสายสบายใจ ฯ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ