๏ ตื่นนอนมาหาขันล้างหน้าหาย |
บ่าวตพายพาลงเรือเผื่อไว้ก่อน |
จนเต็มเบื่อเหลือมีแต่ที่นอน |
ถ้ามันผ่อนเอาไปได้ไม่ไว้มือ |
จนฉันเคืองเต็มประดาไม่ว่าเล่น |
นึกกะหน้าว่าจะเปนแต่เราหรือ |
พนักงานยิ่งคนอื่นกลับตื่นฮือ |
เกิดอึงอื้อกันจนขันฉันชอบใจ |
คือเครื่องตั้งยังกำลังเสวยเช้า |
พนักงานลักพระเต้าเอาไปได้ |
พเอิญพระสุธารสหมดน้อยไป |
จะเที่ยวหาแห่งใดก็ไม่มี |
ครั้นไต่สามได้ความว่าผ่อนขน |
ลงเรือจนเหลวยับไปกับที่ |
ต้องวิ่งหอบขึ้นมาใหม่สาใจดี |
เมื่อก่อนนี้นั้นขี้เกียจลงเหยียดยาว |
แม้ออกเรือย่ำรุ่งแล้วยุ่งใหญ่ |
ไม่พร้อมได้สักหนจนเกิดฉาว |
ถ้าสายหน่อยหนักกะไรใจสั่นท้าว |
ในเรื่องราวนั้นไม่มีพอดีเลย |
เสวยเสร็จเสด็จไปประพาสถ้ำ |
เสียดายลำธารานิจาเอ๋ย |
จะจากไปไม่ได้เห็นเหมือนเช่นเคย |
จะเดินเฉยฉากมาก็อาไลย |
แวะลงไปใกล้กระแสที่แคร่พัก |
เฝ้าเวียนวักรอราชลาไหล |
เหมือนจับมือเมื่อจะพรากจากกันไป |
แล้วจำใจเบือนหน้าลงมาเรือ |
นั่งพินิจพิศดูสายน้ำตก |
งามจับอกจับใจมิได้เบื่อ |
ถึงไม่อาบซาบกระเซนเย็นผิวเนื้อ |
เหือดแห้งเหือหายร้อนผ่อนสำราญ |
ในวารีมีมัจฉาว่ายคลาคล่ำ |
บ้างโดดดำเปนละลอกกระฉอกฉาน |
ตะเพียนทองท่องกระแสจนแลลาน |
บ้างผุดพล่านโผล่พ้นชลธี |
กำเข้าปรายว่ายมาซ่าสพรั่ง |
ที่ล้าหลังแว้งตวัดซัดหางถี่ |
แซงซ้อนไซ้ไล่ฮุบเห็นอินทรีย์ |
ด้วยวารีใสสอาดปราศมลทิน |
เหมือนอ่างแก้วปากก่อเขามอติด |
ประดับประดิษฐไม้ดัดจัดก้อนหิน |
ติดท่อทางวางน้ำพุพ่นวาริน |
ลงสู่สินธุ์เซนซ่าล่อปลาทอง |
ตะเพียนพ่างอย่างสุวรรณมัจฉา |
แต่โตกว่าตามส่วนนวลไม่หมอง |
ล้วนครีบแดงเกล็ดเหลืองงามเรืองรอง |
แต่เวียนมองอยู่ไม่วายจนสายครัน |
เสด็จกลับจากคูหาเวลาเที่ยง |
เซงแซ่เสียงแตรบอกออกผายผัน |
ขอลาน้ำโจนใหญ่ทั้งไพรวัน |
จะจากกันแต่วันนี้นับปีไป |
สักเมื่อใดจึงจะได้มาเห็นอีก |
จำจะหลีกเลยลาหน้าไศล |
แม้ไม่มีทำวลที่จนใจ |
ฉันจะไม่นิราสร้างห่างคิรี |
แต่นี้ไปใครเลยจะลงอาบ |
จะเหม็นสาบกลิ่นเนื้อสัตวเสือสีห์ |
เคยกลั้วกลิ่นสุคนธ์ทาสามราตรี |
แต่วันนี้ไปจะร้างห่างชาววัง |
เรือผ่านเลื่อนเคลื่อนคล้อยลอยกระแส |
ยังเยี่ยมแกลเหลียวกลับจนลับหลัง |
ถึงตัวไปใจพะวงอยู่ดงรัง |
วารีดังอยู่ในหูไม่รู้วาย |
ตั้งแต่นี้มีแต่จะแลลับ |
เปนขากลับเร็วคว้างพลันห่างหาย |
ฉันตั้งใจไว้ว่าถ้าไม่ตาย |
จะขวนขวายขึ้นมาพักอีกสักคราว |
ใครฟังว่าจะพากันว่าฉันเพ้อ |
ไม่ยักเก้อแต่เขายังกำลังสาว |
ยังอุส่าห์คิดอ่านเปนการยาว |
เถอะอย่ากล่าวเลยเท่านั้นจบกันที |
ฉันได้ฟังรับสั่งเล่าถึงเรื่องถ้ำ |
เรียกชื่อน้ำโจนอีกไม่หลีกหนี |
แต่เปนเขาเตี้ยตั้งอยู่ฝั่งนี้ |
สักสามสี่เส้นทางห่างพลับพลา |
ไม่ได้ทำลู่ทางเปนอย่างเถื่อน |
จนฟั่นเฟือนปากถ้ำเที่ยวคลำหา |
พบปากช่องต้องปีนก้อนศิลา |
แล้วจึงหย่อนกายาลงปล่องเปลว |
สามศอกเศษสังเกตทางเปนอย่างต่ำ |
อีกช่องซ้ำลึกเห็นเหมือนเช่นเหว |
มีพะองเขาลงไปมิใช่เลว |
กระดูกเหลวละถ้าตกหกขะมำ |
คูหานี้ไม่มีกว้างกว่าแปดศอก |
เปนทางซอกแซกไปได้ทั้งถ้ำ |
ทำแปลนยากลำบากเบื่อเหลือจดจำ |
เดินยังค่ำก็ไม่จนพ้นปัญญา |
แต่เปนตรอกซอกผาห้าหกแห่ง |
ต้องตะแคงต้องคลานออกซานหน้า |
บ้างต้องปีนต้องถัดอัดอุรา |
บ้างต้องย่อต่อมาตลอดทาง |
ช่องหนึ่งนั้นจรจรัลลงที่ราด |
พื้นเปนหาดทรายขาวยาวสองข้าง |
มีวารีหลั่งไหลในลำราง |
ดูโดดกว้างคืบเศษสังเกตตา |
น้ำนั้นใสไหลเย็นเห็นภาคพื้น |
ว่ายดาดดื่นน่าดูหมู่มัจฉา |
ฝูงกุ้งเกาะริมหาดดาษดา |
รอยเสือปลาตามหาดออกดาดไป |
ที่ปลายปล่องมีช่องเปนหลืบลับ |
คนเข้าคับแคบกระไรไปไม่ได้ |
จะเปนทางเสือปลามาฤๅไร |
นึกสงสัยกันว่าเห็นจะเช่นนั้น |
ที่ปากปล่องช่องหนึ่งนั้นแคบน้อย |
วารีย้อยหยดหว่างทางผายผัน |
ผนังช่องปล่องชั้นลื่นเปนมัน |
จะเหยียบยันต้องระวังยับยั้งตน |
ที่ร้อนรนจนเสโทลงหลั่งไหล |
พอเข้าไปกลับเย็นทุกเส้นขน |
ควันพลุ่งจากปากตัวทั่วสกนธ์ |
เปนทุกคนที่เข้าไปอยู่ในนั้น |
เหมือนหน้าหนาวเช้ามืดมิได้ขาด |
จนขยาดกลัวเย็นเห็นเกินขัน |
เปลี่ยนหนาวร้อนซ้อนสับกลับทันควัน |
พากันพรั่นกลัวไข้ใส่เอายับ |
แต่เสด็จจรลียังมิทั่ว |
ทรงนึกกลัวว่าจะช้าเวลากลับ |
ครบโมงครึ่งจึงเสด็จที่ประทับ |
เขาเปิดฝาผ้ารับเสด็จดล |
เข้าในค่ายทางท้ายพลับพลาใหญ่ |
แล้วลงทางฉนวนในไม่ขัดสน |
เห็นโขลนนอนเรียงรายอยู่หลายคน |
เขารื้อขนเข้าของกองกระจาย |
พระดำเนินกลับมาเวลาร้อน |
ด้วยเสด็จบทจรค่อนข้างสาย |
ถึงพุพริกหยุดทอดจอดเรียงราย |
เสด็จผายผันลงทรงเรือน้อย |
ทอดพระเนตรพุนี้อิกทีหนึ่ง |
ให้ทั่วถึงทุกตำบลคนกล่าวถ้อย |
ต่อสรงเสร็จจึงเสด็จคลาเคลื่อนคล้อย |
แจวล่องลอยแลหลามตามกันมา |
ระยะทางก็เหมือนอย่างเมื่อวันก่อน |
ป่วยการกลอนที่จะร่ำรำพันว่า |
สนุกแท้แต่ที่แก่งปรังตา |
เอะอะจริงยิ่งกว่าเมื่อขาไป |
โยงเชือกท้ายรายคนจนตลอด |
ค่อยโรยทอดเลี่ยงชง่อนก้อนไศล |
น้ำช่างลดเร็วรี่นี่กระไร |
ก้อนใหญ่ใหญ่ขึ้นมาขวางกลางวารี |
ถึงบ้านใหม่ไทรโยคมีผู้หญิง |
เปนมอญวิ่งตโกนร้องออกก้องมี่ |
นึกว่าเหตุเภทไภยอันใดมี |
ถามคดีได้มีความตามจำนง |
ว่าจัดของเตรียมไว้ไม่ได้ถวาย |
แสนเสียดายด้วยจะขาดคลาศประสงค์ |
จึงมาคอยริมตลิ่งเที่ยววิ่งวง |
แล้วรีบลงเรือพายตกายมา |
ถวายได้ดีใจเปนที่สุด |
พูดไม่หยุดพลอดจ้อหัวร่อร่า |
ถึงพลับพลาวังเขมรเห็นนาวา |
เขาจอดราอยู่ข้างท้ายเปนหลายลำ |
เสด็จลงเรือที่นั่งคอนโดล่า |
ไปขึ้นท่าถ้ำผีน้อยเห็นรอยคร่ำ |
หน้าผายื่นพื้นเปลวอัคคีดำ |
ที่พื้นถ้ำล้วนแต่เท่าตลอดทาง |
ดูโล่งเตียนเลี่ยนดีไม่มีรก |
แผ่นผาตกแตกป่นจนข้างล่าง |
ล้วนศิลาปูนเปนกาบหน้าราบบาง |
ที่อย่างกว้างสามศอกลองลงมา |
ที่อย่างย่อมไปกว่านนั้นมีมาก |
เหมือนแกล้งถากทำใช้หน้าไม่หนา |
เพียงสี่ห้านิ้วบ้างห่างไนตา |
ที่บางกว่าขนาดนี้มีมากมาย |
เดินขึ้นไปไม่ต้องย่องเหยียบกองไผ่ |
จนถึงในปากปล่องมองได้ง่าย |
รับสั่งชมว่าคราวนี้ดีสบาย |
แต่ผันผายตรวจตราอยู่ช้าครัน |
พอกลับลงนาวามาจากฝั่ง |
ได้ยินปังที่คิรีมี่สนั่น |
เปนพระบารมีจริงสิ่งสำคัญ |
กลับเสียทันถ้าหาไม่ได้ยับเยิน |
ฉันตกใจเต็มทีไม่มีขวัญ |
จนอกสั่นกายสทกระหกระเหิน |
รู้อย่างนี้ก็จะไม่ขึ้นไปเดิน |
บุญบังเอิญพ้นได้ไม่อันตราย |
เสด็จโดยเรือน้อยคล้อยลิลาส |
ได้ประพาสเล็งแลกระแสสาย |
ถึงท้องช้างสายัณห์ตวันชาย |
ประทับท้ายแพหน้าธาราริน |
ต้องรอเรือกระบวนหลังยังไม่ถึง |
ทำพเน้าพนึงไปทั้งสิ้น |
ใช่อาไลยพนาลีที่แดนดิน |
ฤๅสายสินธุ์เชี่ยวฉานต้องทานทวน |
เพราะฝีพายสบายใจไม่แจวจ้ำ |
ร้องว่าตามน้ำดอกเว้ยเลยเสสรวล |
เกือบยามหนึ่งจึงมาถึงหมดกระบวน |
ขาล่องควรฤๅจะช้ากว่าขาไป |
แก้ตัวร้องว่าต้องผ่านแก่งลว้า |
เรือข้ามมาเสียแต่เย็นเปนไหนไหน |
เรือครัวคั่งอยู่ข้างหลังคลั่งกะไร |
สมสาใจพวกฝีพายอดตายเอง |
จนสี่ทุ่มแล้วยังกลุ้มกันกลางน้ำ |
เรือล่องคล่ำส่งสำเนียงเสียงโผงเผง |
บ้างพลัดครัวยามกลางคืนเสียงครื้นเครง |
แต่โตงเตงกันจนกว่าห้าทุ่มนาน |
ทรงถอนไผ่ได้เปนกองสักสองหอบ |
ฉันขนบอบแล้วจึงลงสรงสนาน |
ที่อ่างสูงรองสายน้ำแสนสำราญ |
ทรงเครื่องอานเสร็จสรรพกลับพลับพลา |
พอถึงที่ไม่มีไฟสักดวงหนึ่ง |
ต้องเอ็ดอึงวิ่งไขว่เที่ยวไล่หา |
ได้โคมลานที่ไปใช้ในนาวา |
เอาขึ้นมาจุดส่องได้สองดวง |
เปนเรื่องเดียวกับเมื่อเช้าเข้าตำหรับ |
เพราะจะกลับเอาขึ้นไปใจเปนห่วง |
ยามหนึ่งจึงพร้อมพรั่งเสร็จทั้งปวง |
ขอหลีกล่วงเลิกเรื่องขุ่นวุ่นไว้ที่ |
เรืองพลับพลาไม่ได้ว่าเมื่อวันก่อน |
คิดตัดตอนไว้ขากลับประทับนี่ |
พลับพลาตั้งตรงท่าพุวารี |
ต่อกับที่พุน้ำร้อนข้างตอนบน |
ตั้งแต่เหนือกองศิลามามีหาด |
เปนเนินลาดถัดขึ้นไปใกล้ไพรสณฑ์ |
เปนที่ควรตั้งพลับพลาดูน่ายล |
เพราะสูงพ้นหลังประรำลำนที |
ที่บนฝั่งหลังพลับพลาเปนป่าไผ่ |
ต้นไม้ใหญ่ยัดเยียดกันเสียดสี |
มีเฉลียงด้านหน้าหลังคารี |
ยาวสิบสี่ห้องคั่นกันในประธาน |
พื้นนอกในใช้แตะจนฝาตั้ง |
หลังคาบังมุงแฝกแปลกสัณฐาน |
ในบุผ้าฝาห้องตามต้องการ |
ใช้ฉากม่านมุลี่ยี่ปุ่นบัง |
โคมกระดาษแขวนเรียงเฉลียงโถง |
ตอไม้โพรงแทนกระถางวางเรียงตั้ง |
ปลูกพรรณไม้นานาดาประดัง |
เหมือนในวังคั่นบันไดมีไม้ราย |
สงสัยว่าจะเอามาแต่บางกอก |
ส่วนกระบอกไผ่หนูรู้ได้ง่าย |
ไม้ที่นี่มีนักหนาหาสบาย |
เขายักย้ายหลายอย่างกระถางดง |
บ้างทอดลำทำเปนกระถางกราบ |
อย่างหยาบหยาบดูก็งามตามประสงค์ |
บ้างก็เปนกระบอกวางอย่างตรงตรง |
ตามจำนงยักย้ายหลายทำนอง |
ที่ชายคาหาต้นกล้วยไม้แขวน |
อเนกแน่นตามเฉลียงเรียงทุกห้อง |
บันไดขึ้นสูงคันคั่นเปนกอง |
ล้วนไม่ปล้องผูกราวผ้าขาวพัน |
ริมนทีมีพลับพลาอิกหลังหนึ่ง |
สามห้องขึงส่วนข้างหน้าท่าขยัน |
มีปะรำดาดรอบเปนขอบคัน |
ต่อติดกันกับในน้ำปะรำเรือ |
ไม่ตกแต่งแบ่งปันกั้นแต่ฝา |
อยู่ตรงหน้าคิรีเห็นดีเหลือ |
พระพายพ้องลอองธารพัดจานเจือ |
เย็นผิวเนื้อหนาวฉ่ำเมื่อค่ำคืน |
ปรอทวันนั้นแปดสิบแปดหย่อน |
กลางคืนผ่อนเจ็ดสิบห้าพาให้ชื่น |
เสียงน้ำตกตอนดึกฟังครึกครื้น |
หลับไม่ตื่นเลยจนสายสบายใจ ฯ |