๏ พอย่ำรุ่งเรื่อสางสว่างฟ้า |
ลงเรือคอนโดลาหน้าขนาน |
ทรงเรือม่วงล่วงลิลาไปช้านาน |
ถึงสถานหนองปากช่องลองแก้มือ |
ที่เกยห้างห่างคงคาไปห้าเส้น |
ยิงปืนเปนสัญญาโยธาอื้อ |
เดินรายเปนหน้ากระดานขานโห่ฮือ |
ไล่กระพือสัตวสิงห์ให้วิ่งมา |
เลิกแตรวงคงไว้แต่แตรเดี่ยว |
ให้ขับเขี้ยวบันบุกรุกราวป่า |
พบมฤครีบกระชั้นพันกันมา |
เสียงเฮฮาให้สำเหนียกออกเพรียกไพร |
ฉันตั้งตาคอยท่าแทบไม่พริบ |
ใบไม้กริบคอยมองมาช่องไหน |
บัดเดี๋ยวร้องเวอวาว่าออกไป |
ทางข้างในเหนือเกยเลยเข้าดง |
ได้แน่นอนในวันนี้มีสองเนื้อ |
แต่เต็มเบื่อมิได้เห็นเช่นประสงค์ |
ดีกว่าวันก่อนหน่อยค่อยมั่นคง |
พอแน่ลงว่าที่นี่มีเปนแท้ |
เสด็จทรงเรือม่วงไม่ทันสาย |
รีบพายโดยด่วนทวนกระแส |
ข้างในลงเรือใหญ่ไปเปนแพ |
พลางเลงแลฉลากข้างหนทางจร |
จะกล่าวกลับจับระยะชลมารค |
ตั้งแต่จากพลับพลามาเสียก่อน |
จะได้เต็มชื่อตำบลไม่ย่นทอน |
ได้อนุสรสมประสงค์ผู้จงใจ |
เทือกศิลามาแต่สองพี่น้อง |
รายระดะไปเปนกองก้อนน้อยใหญ่ |
ข้างฝั่งหนึ่งนั้นเปนกอตะไคร้ |
เลี้ยวขึ้นไปเห็นห้วยด้วยรางราง |
ต้องทวนเรี่ยวเทียวเขม้นเห็นแต่หาด |
พื้นกรวดกลาดศิลาก้อนสลอนสล้าง |
แล้วหาดสูงฝูงกระบือเดินเปนทาง |
ศิลาข้างฝั่งชลามาตามวัง |
อิกคุ้งหนึ่งถึงตำบลเรี่ยวหลวงยศ |
ต้องเลี้ยวคดขวาขาดมีหาดตั้ง |
ศิลาก้อนโตโตโผล่ประดัง |
จนกระทั่งหาดในกลางร่องน้ำ |
วังตระลึงนึกคนึงนามนี้เพราะ |
ช่างเหมาะเจาะเปนนิราสนักปราชญ์ร่ำ |
ทราบที่แท้ว่าท่านเพิ่มเติมถ้อยคำ |
ช่างริร่ำกลับร้ายกลายเปนดี |
เห็นยาวโล่งตรงตลอดไม่คอดขัด |
ดูรกชัฏไผ่เหยียดต้นเสียดสี |
ที่กลางย่านฝั่งขวานั้นท่ามี |
เห็นคิรียางโทนเทิ่งแต่ไกล |
ถัดคุ้งนี้มีหาดลาดปลายแหลม |
ศิลาแซมสลับตั้งข้างฝั่งใต้ |
มีหาดกรวดอิกทั้งย่านหมู่บ้านไพร |
หัวหาดมีเกาะในร่องธารา |
แก่งยางโทนโชนเชี่ยวเปนเกลียวปราด |
ริมวังดาดดาดื่นพื้นก้อนผา |
แล้วจึงถึงหาดทรายรายต่อมา |
ห้วยชลาเล่ห์แก่งแสดงนาม |
แลเห็นเขาประตูอยู่ฝ่ายข้าง |
วังหีบห่างอยู่ข้างหน้าศิลาหลาม |
เรือล่วงเลยสองหาดสอาดงาม |
แจวมาตามชายฝั่งวังตะเคียน |
ดลตำบลบ้านร้างอยู่ห่างห้วย |
ทั้งเขาด้วยดูเหมือนอย่างเขาช่างเขียน |
ริมฝั่งมอดังจะล่อให้ก่อเลียน |
ไม่ผิดเพี้ยนอ่างปลาทองต้องอารมณ์ |
เปนเพิงมอต่อถึงถ้ำตาหยก |
ไม่เรี้ยวรกขึ้นอาศรัยได้เปนร่ม |
โดยยาวถึงหกวาดูน่าชม |
ส่วนกว้างสมกันดีได้สี่วา |
ส่วนเดี่ยวได้เก้าศอกออกมาเด่น |
มองมาเห็นหาดทรายข้างฝ่ายหน้า |
อิกคุ้งหนึ่งจึงถึงหาดศิลา |
ต่อข้างหน้าไปอิกที่มีหาดทราย |
แล้วหาดกรวดแลละเมาะเกาะตะไคร้ |
เรือเดินไปข้ามเรี่ยวเชี่ยวใจหาย |
ถัดถึงวังรำมะแนแง่ข้างซ้าย |
พบเรือพายพระที่นั่งยังประทับ |
เปนหาดทรายรายกรวดอยู่กึ่งหนึ่ง |
พอเรือถึงพร้อมเสร็จเสด็จกลับ |
ลงเรือคอนโดล่ามาเที่ยวรับ |
เสด็จกับท่านให้ไปดูปลา |
เขาลงอวนได้ที่นี่มีปลาใหญ่ |
แต่โดยยาววัดได้สามศอกกว่า |
กว้างยี่สิบองคุลีมีอัตรา |
ดูหน้าตารูปกายคล้ายปลาวาฬ |
ฟันมันแขงขบไม้ใหญ่ใหญ่ขาด |
ผิวดำคาดท้องขาวดูห้าวหาญ |
ปลาอื่นได้หลายหลากมากประมาณ |
ทรงสัณฐานเหมือนเช่นเห็นก่อนมา |
ถัดนั้นเปนหาดศิลามาจนเกาะ |
เรือเดินเลาะตวันออกบอกทิศา |
ตวันตกตามตลิ่งล้วนศิลา |
สายธาราฉานเชี่ยวเปนเรี่ยวแรง |
ไปเลี้ยวหนึ่งถึงวังทั้งลำห้วย |
เรียกชื่อรำมะแนด้วยมิได้แผลง |
วังหีบน้อยทั้งห้วยด้วยอิกแปลง |
ไปต่อแขวงวังหีบใหญ่ในมรรคา |
ถึงเกาะกลางวารีมีเรี่ยวกว้าง |
ศิลาข้างฝั่งเห็นเปนเหลี่ยมหนา |
เห็นคล้ายหีบเรียกนามตามนั้นมา |
ยังศิลากลางน้ำก็ซ้ำมี |
แก่งวังหีบเห็นละเมาะเปนเกาะตั้ง |
เดินข้างฝั่งตวันตกวกเวียนหนี |
ประเดี๋ยวหาดประเดี๋ยวเกาะเคราะห์สิ้นดี |
สุดย่านนี้ถึงอิกหาดลาดออกไป |
เรื่องวังหีบแลเห็นเปนเทือกแถว |
ศิลาแนวริมฝั่งตั้งไสว |
น้ำเปนเรี่ยวเชี่ยวคว้างทางครรไล |
ข้างฝั่งใต้ริมวารีมีศิลา |
เปนชง่อนซ้อนซับสลับสล้าง |
บ้างตกค้างติดซ้อนชะง่อนผา |
บ้างเปนโพรงโปร่งย้อยลอยธารา |
ที่เชี่ยวฉ่าเซาะเห็นอยู่เปนรอย |
ข้างเบื้องบนต้นแว่ขึ้นแผ่ปก |
มีดอกดกแดงแก่แลเปนฝอย |
เดือนสิบสองต้องเวลาว่าลูกย้อย |
ดกใช่น้อยเหมือนเช่นหว้าจะน่าชม |
พ้นหาดไปได้ขึ้นมาถึงท่าช้าง |
มีเกาะขวางกว้างใหญ่ตะไคร้ร่ม |
น้ำเปนเรี่ยวเชี่ยวจัดพัดระดม |
เห็นพนมริมน้ำถ้ำกระแซ |
แล้วถึงเกาะเราะทางระหว่างเรี่ยว |
ต้องทนเชี่ยวชลฉวางหว่างกระแส |
ผ่านหาดกรวดแแหลมตะไคร้มาในแคว |
เรี่ยววังสั้นถ้ำกระแซอยู่ท้ายเรือ |
ถึงวังสั้นผันประสบพบต้นสั้น |
เปนสำคัญบอกตำบลให้คนเชื่อ |
แต่เปลี่ยวใจไม้มะม่วงมาขึ้นเจือ |
เห็นเหมาะเหลือชื่อตำบลเหมือนคนทำ |
หาดกรวดติ๋วลิ่วตาเห็นหน้าเขา |
กว่าจะเข้าถึงสถานตะพานถ้ำ |
ต้องขึ้นแก่งเชี่ยวกรากกระชากซ้ำ |
ที่ในน้ำล้วนศิลาหนาเนื่องไป |
ที่พลับพลาประทับร้อนย้อนไปตั้ง |
ข้างริมฝั่งชายเฟือยอยู่ฝ่ายใต้ |
บ่ายโมงครึ่งถึงปะรำที่ทำไว้ |
เข้าจอดในร่มเรียงเคียงเคียงกัน |
เรือข้างในยังไม่ทันจะถึงเสร็จ |
ด่วนเสด็จขึ้นไปก่อนคิดผ่อนผัน |
ตรงหน้าถ้ำเทือกศิลาเปนผาชัน |
ปากถ้ำนั้นบังหน่อยถอยเข้าไป |
ขึ้นไศลไปประมาณสักเส้นหนึ่ง |
ขึ้นไปถึงไม่สู้ชันเหยียบยันได้ |
ปากถ้ำกว้างเจ็ดวาเขาว่าไว้ |
เปนเพิงใหญ่ยาวสี่สิบสามวา |
แต่โดยกว้างกลางถ้ำแปดวาถ้วน |
ดูกระบวนที่ผนังเหมือนตั้งฝา |
เดี่ยวสูงโสดสิบสองศอกบอกเปนตรา |
ท่วงทีท่าเหมือนวิหารโบราณทำ |
ซึ่งซึมงึมครึ้มเย็นเปนตะไคร่ |
ค้างคาวไขว่ซ้อแซ้ร้องแซ่ถ้ำ |
ไม่มีทางซอกซอนชง่อนง้ำ |
จนถึงท้ายจารนำจึงมีทาง |
เปนชวากปากปล่องช่องคูหา |
พื้นต่ำกว่าถ้ำใหญ่ไม่กว้างขวาง |
ดูยาวรีมีประตูอยู่ตรงกลาง |
เปนช่องว่างสามศอกซอกเข้าไป |
จุดเทียนถือมือยื่นถึงในนั้น |
ก็ดับพลันเห็นกับตาหาช้าไม่ |
ควบหลายเล่มด้วยกันครั้นถึงใน |
ก็ดับวับทันใดดังเล่มเดียว |
โคมแมงดาริมทางที่หว่างช่อง |
ให้เอาลองถือเข้าไปได้ประเดี๋ยว |
กำลังสู้ฟู่เห็นเปลวเปนเกลียว |
กลับเหี่ยวเหี่ยวเหลวใหญ่ไปกว่านั้น |
ถึงปากปล่องย่องเข้าไปก็พอปรื๊ด |
วับวูบมืดมัวมนท์จนไม่ขัน |
คนเข้าไปหายใจก็ขัดครัน |
อากาศอันจะหายใจไม่พอเพียง |
มีตำราเขามาลองกันขึ้นใหม่ |
หายใจขัดแล้วก็ให้เร่งบ่ายเบี่ยง |
เอาจมูกสูบฝาหน้าแอบเมียง |
ให้ใกล้เคียงเข้าไปหน่อยค่อยสบาย |
ฤๅเทียนไฟไปหรี่ที่หรุบรู่ |
ก็ให้ชูใกล้ฝาจะพาหาย |
ท่วงทีว่ามาก็เห็นเปนแยบคาย |
ฉันมั่นหมายคอยจ้องจะลองดู |
อันถ้ำนี้ทีท่าน่าเปนวัด |
ฤๅมาข้อพระไปไม่มีอยู่ |
องค์โตโตโผล่ขึ้นมาจะพาชู |
เห็นคงสู้วัดพุทไธได้ชนะ |
เสด็จไปประเดี๋ยวใจก็คืนกลับ |
ให้เรือรับข้างในไปเอะอะ |
พิรุณโรยโปรยลงกลางระยะ |
เสียงเปรียะปร๊ะลงมาบ้างเปนครั้งคราว |
สองโมงครึ่งจึงออกเรือที่นั่ง |
ฝนยิ่งพรั่งพรายกระเซนเปนเม็ดขาว |
ต้องเอะอะกันไปหมดปลดม่านราว |
ไม่ออกหนาวเลยกลับร้อนจนอ่อนใจ |
ออกจากเขาเล่าตำบลพอพ้นหาด |
ศิลากลาดเกลื่อนทางข้างฝั่งใต้ |
หาดทรายสูงสุดละเมาะเกาะตะไคร้ |
ถึงหาดใหญ่กรวดกลาดดาษเดียร |
แก่งกะเหรี่ยงเสียงชลล้นไหลหลั่ง |
ที่ริมฝั่งมีศิลาน่าเฉวียน |
มีเกาะหาดล้วนตะไคร้ไม่โล่งเตียน |
เรือเดินเวียนตามหว่างเปนทางจร |
สายน้ำจัดปัดเรือเมื่อจะเลี้ยว |
ช่างโชนเชี่ยวเวียนวนจนกระฉ่อน |
ศิลาขวางอยู่ในกลางชโลธร |
นามกรแก่งเสลี่ยงไม่เพลี่ยงแพลง |
เพราะมีต้นเสลี่ยงใหญ่อยู่ใกล้ชิด |
ชื่อจึงติดต่อตามเปนนามแก่ง |
ศิลารายริมฝั่งตั้งแซกแซง |
เห็นเขาแฝงเมฆาหน้ากระบวน |
ชื่อช้างผอมถ่อมถดด้วยอดหญ้า |
คู่ภูผาชื่ออ้างว่าช้างอ้วน |
เพราะไปแทงยุ้งเข้าเขาเซซวน |
จึงอ้วนท้วนเพราะธัญญาได้มากิน |
ที่ฝั่งใต้ผาใหญ่เพิงชวาก |
เปนช่องปากลำห้วยลุ่มสุ่มกระสินธุ์ |
ที่ฝั่งใต้หาดทรายชายวาริน |
ตามแถวถิ่นคุ้งใหญ่ไศลราย |
เขาวังหีบหันหายกลายอยู่หลัง |
เขาลุ่มสุ่มขึ้นมาบังอยู่หน้าใหม่ |
ถัดถึงหาดหน้าเมืองมีตะไคร้ |
ดูกว้างใหญ่กว่าที่อื่นดื่นหนทาง |
ยังเหลือร่องท้องธาราสามวาถ้วน |
กระแสป่วนปั่นปัดฉวัดฉวาง |
พ้นช่องแคบเข้าท้องวังจังหวะวาง |
ท่าเสาสร้างตัดส่งลงพ่วงแพ |
มีหลวงทิพกรมการตั้งบ้านอยู่ |
มะม่วงหมู่เปนสำคัญตรงนั้นแน่ |
ศิลารายฝั่งเหนือจนเหลือแล |
ปะรำแคร่พลับพลาตั้งฝั่งหาดทราย |
เรือประทับในปะรำที่ทำไว้ |
นาฬิกาพอได้สามโมงบ่าย |
พลับพลาทำก็ดูท่าน่าสบาย |
แต่ร้อนร้ายเหลือทนจนเหื่อพราว |
ถึงจะมีไม้ใหญ่อยู่ใกล้ชิด |
เหลือจะปิดป้องดาดหาดทรายขาว |
ของดเรื่องพลับพลาพักไว้สักคราว |
จะได้กล่าวขากลับสลับกัน |
อันหมู่ไม้ใกล้ทางนั้นบางแห่ง |
เปนที่แจ้งพงใหญ่กอไผ่กั้น |
ไม้ทึบมักมีข้างในเข้าไปครัน |
ถึงกระนั้นก็ยังเห็นมีเปนตอน |
ต่อถึงวังใหญ่ใหญ่ไม้จึงหนา |
มักเปนป่าไผ่เรียงเคียงสลอน |
ตะไคร้น้ำนั้นประจำหนทางจร |
ต้นแว่หย่อนเปนประมาณนานนานมี |
เมื่อประทับพลับพลาเวลาบ่าย |
ยังมียายกะเหรี่ยงผู้อยู่ที่นี่ |
ว่าเปนเมียหลวงทิพซึมเต็มที |
ดูหน้าตายู่ยี่ยิ้มไม่เปน |
ชื่อบุบโพโสโครกจริงจริงหนอ |
ยังตื่นอ้อพอใช้ที่ได้เห็น |
ต้องไปดูผ้าเสื้อเหลือจะเว้น |
ชวนพูดเล่นต่างต่างครางงึมงำ |
ว่าเจ็บไข้ไม่เปนสุขให้จุกเสียด |
ดูขี้เกียจพื้นเก่าเอายังค่ำ |
ของถวายสิ้นทั้งหมดได้จดจำ |
ขนมทำอย่างกะเหรี่ยงเรียกแตกงา |
สีเหมือนอย่างขนมถ้วยที่คลึงเล่น |
แต่ขนมนี้เห็นจะหยาบกว่า |
แผ่นโตสักเท่าจานประมาณตา |
ได้ไล่เลียงดูตำราที่แกทำ |
แป้งเข้าเหนียวนึ่งไฟให้สุกเสร็จ |
ปนงาเม็ดลงคลุกแล้วโขลกจ้ำ |
เหยาะเกลือลงทีละน้อยค่อยเติมซ้ำ |
เปนการสำเร็จได้ในเท่านี้ |
รสเค็มเค็มมันมันขยันมาก |
เปนทำยากกินอยู่อย่างจู้จี้ |
ต่อช้าช้านานนานเปนงานปี |
จึงจะมีทำสู่เลี้ยงดูกัน |
เสื้อกะเหรี่ยงอย่างผู้หญิงที่ยิ่งยอด |
ผ้าขาวสอดแซมแดงแต่งสีสัน |
ลูกเดือยยาวขาวปลอดเกลี้ยงเปนมัน |
เอาปักแซมสลับกันกับผ้าแดง |
ดูห่างห่างก็เปนอย่างที่พอใช้ |
ครั้นเข้าใกล้เต็มครองดูร่องแร่ง |
แต่ก่อนมาว่ากะเหรี่ยงนี้ถือแรง |
ไม่ตกแต่งเสื้อผ้ามาแต่ไกล |
แต่เดี๋ยวนี้เห็นทีจะยักย้าย |
ดูผ้าพันผ้าลายก็นุ่งได้ |
ยังหัวเผือกอิกอย่างเขาวางไว้ |
รูปยาวใหญ่ไม่เบาเหมือนเขากระบือ |
ประทานผ้าห่มหนาวขาวกับดำ |
รับไปทำหน้าจืดดูอืดอื้อ |
แถมเงินปลีกให้อิกใหม่เปนฟายมือ |
ก็ซึบซื้ออยู่ยังเก่าไม่เข้าการ |
ปรอทร้อนตอนกลางวันแปดสิบเก้า |
แต่ร้อนเร่านั้นดูกว่าที่ว่าขาน |
พอหมดเรื่องรายกิจพิสดาร |
ขอจบสารเรื่องวันนี้ที่มีมา ฯ |