๏ สองโมงถ้วนเรือกระบวนออกจากท่า |
ยังหนาวกล้าหมอกมัวหาหมดไม่ |
ปรอทถึงหกสิบสี่ที่ตรวจไว้ |
พ้นหาดใหญ่ถึงช่องคลองบางลาน |
ถัดลงมาท่าเกวียนดูเตียนลาด |
ทางผ่านทุ่งนาคราชไปไพรสาณฑ์ |
คือตอนในที่ได้ไปเมื่อวันวาน |
ที่ตัดใหม่ไปประสานพอสบรอย |
ไปข้างหน้าเห็นภูผาประดงกั้น |
เขากระไดสามคั่นติดหลังต้อย |
บ้านนางแอ้งร่องแร่งเรือนตองตอย |
เห็นกล้วยอ้อยมพร้าวบ้างอย่างเคยมี |
บ้านแก่งหลวงเรือนเล็กเล็กริมตลิ่ง |
ดูเร็วจริงเรือจอดเข้าทอดที่ |
ตะพานน้ำดาดปะรำเรียบร้อยดี |
โดยเสด็จจรลีดำเนินไป |
เดินขึ้นสูงทรายร่วนชวนให้ล้า |
จะก้าวขาเดินไปไม่ใครไหว |
ถึงพลับพลาตรงแก่งที่แต่งไว้ |
ประทับในที่นั้นคอยทัศนา |
ทั้งข้างในก็ขึ้นไปตามเสด็จ |
เรือส่งเสร็จแจวฉากตัดบากหน้า |
เสียงอื้ออึงดึงพวนทวนขึ้นมา |
ขึ้นร่องเบื้องบุรพามาข้างซ้าย |
หนทางย่อมอ้อมคดเปนข้อศอก |
แต่เข้าออกสดวกได้ไปมาง่าย |
มีศิลาสามก้อนค่อนข้างร้าย |
เลียบฝั่งซ้ายไปทีเดียวเลี้ยวหักตัว |
ส่วนริมฝั่งต้องระวังไว้ให้มั่น |
หินยังคันยื่นออกไปมิใช่ชั่ว |
ยังศิลาปากช่องที่ต้องกลัว |
แม้นคิดถัวทางสองเส้นเปนกันดาร |
ส่วนทางกว้างข้างทิศประจิมนั้น |
ครุคระครันดูลำบากมากสถาน |
เรือเล็กไปแล้วไม่ใคร่มีเหตุการณ์ |
เรือม่วงพายผ่านขึ้นไปได้หลายลำ |
เรือข้างในขึ้นไปเกือบจะเสร็จ |
เรือที่มาตามเสด็จก็คลาคล่ำ |
จอดแทรกเสียดเบียดกันเต็มแม่น้ำ |
แจวสำสำกันขึ้นไปจะใคร่ชิง |
ฉวยเชือกพวนน้ำปั่นป่วนเรือเปะปะ |
เสียงเอะอะอึงไปมิได้นิ่ง |
เปนโบราณไปทั้งนั้นขันจริงจริง |
ทั้งผู้หญิงแลผู้ชายตะกายกราว |
ดูยินดีที่เห็นเรือกระทบกระทั่ง |
เสียงปึงปังแล้วก็ฮากันฉ่าฉาว |
ขึ้นแก่งไหนได้สนุกกันทุกคราว |
กระบวนยาวจึงได้คั่งต้องรั้งไว้ |
เสด็จจากพลับพลามาทางบก |
หนทางวกเวียนเห็นสิบเส้นได้ |
ถึงฉนวนหัวแก่งแต่งตั้งไว้ |
ตลิ่งไถลเลี้ยววงลงนาวา |
แจวขึ้นไปหน่อยหนึ่งถึงแก่งน้อย |
มีเกาะลอยสองข้างทางซ้ายขวา |
ที่ช่องกลางนั่นเปนทางเรือไปมา |
มีศิลาอยู่ตามทางหว่างร่องเรียน |
ที่เหนือแก่งแห่งนี้มีท่าไม้ |
ถัดขึ้นไปท่ากระบือฦๅชื่อเสียง |
น้ำเชี่ยวจัดพัดปร๋อเอาพอเพียง |
เรือเดินเคียงข้างฝั่งตั้งลำไป |
อิกคุ้งหนึ่งถึงตำบลเรียกโป่งนก |
มีเย่าเรือนรกรกตั้งอยู่ใกล้ |
กับแพหนึ่งจอดหน้าเปนท่าไว้ |
เปนหาดใหญ่ตลิ่งลาดดาดลงมา |
เลี้ยวตวันตกสวนทวนน้ำอู้ |
เห็นเขาน้อยวังหมูอยู่ข้างหน้า |
ไปหน่อยหนึ่งถึงท่าที่พลับพลา |
เรียกว่าวังหมูอยู่ที่นั้น |
เรือข้างในยังไม่ทันจะถึงเสร็จ |
ก็เสด็จขึ้นฉนวนด่วนผายผัน |
เปนเวลาร้อนกล้าด้วยกลางวัน |
เมื่อถึงนั้นบ่ายโมงเศษไม่มี |
ชื่อถ้ำเก่าเขาเรียกต้นว่าหับ |
แสร้งเปลี่ยนสับเยื้องยักว่าดักหมี |
หลังพลับพลาฝ่าร้อนจรลี |
จนถึงที่ศาลเจ้าเข้าร่มไม้ |
ต้นอะไรไม่รู้จักน่ารักแท้ |
ดอกเหมือนแพรสีชมภูอยู่ใกล้ใกล้ |
ทรงเก็บมาเปนหอบฉันชอบใจ |
ได้ดูใหม่เห็นชัดสนัดดี |
กลีบเบื้องหน้าเหมือนอย่างผ้าชมภูแก่ |
ข้างหลังแปรเปนใบโสกเข้าสอดสี |
คล้ายดอกรักนี่กระไรในท่วงที |
แต่ว่ามีกลีบงามสามเท่านั้น |
ที่ตรงกลางหว่างกลีบก้านเกสร |
สีเหลืองอ่อนงามยิ่งทุกสิ่งสัน |
เก็บมาแล้วทิ้งไว้ได้หลายวัน |
สีฉาดฉันลดหย่อนอ่อนลงไป |
เข้าหมู่ไม้ไปหน่อยหนึ่งถึงต้นหมัน |
ที่ใช้กันมวนบุหรีมีต้นใหญ่ |
เขาถวายตัวอย่างมาข้างใน |
ใช้นาบไฟเสียก่อนให้อ่อนลง |
ระยะทางเดินเท่าไรไม่ได้แน่ |
คงเปนแข่ของชาวนอกบอกฅอก่ง |
ยี่สิบเส้นฤๅสิบห้าว่าไม่ตรง |
เดินในดงแดดไม่เผาให้เร่าร้อน |
มีปะรำทำไว้ที่เชิงเขา |
จะได้เข้าหยุดสำนักพอพักผ่อน |
ขึ้นคิรีมิสู้ชันตวันชอน |
จึงเหนื่อยอ่อนเหื่อโซมชโลมกาย |
หนทางสามสิบวามาถึงถ้ำ |
ให้อยากน้ำเหนื่อยบอบหอบกระหาย |
เข้าเพิงผาเผือดร้อนผ่อนสบาย |
มีพระพายพัดส่งตรงออกมา |
ทางบนเขาจะเท่าไรก็ไม่แน่ |
ต้องปีนแง่ไต่ชง่อนตามก้อนผา |
โปรแกรมนั้นท่านว่าสามสิบวา |
แต่เขาว่าตัดใหม่ใกล้กว่านั้น |
สังเกตตาดูจะกว่าไปสักหน่อย |
เพราะวัดอย่างกร่อยกร่อยไม่แม่นมั่น |
เหนื่อยขึ้นเขานี้เหมือนก้าวขึ้นอัฒจันท์ |
ที่มีคั่นห่างห่างอย่างโบราณ |
ปากคูหาหน้าเวิ้งเปนเพิงว่าง |
ดูโดยกว้างสามวาหน้าสถาน |
พื้นลาดลงไปข้างในได้ประมาณ |
ยาวแต่ชานเข้าไปเห็นสามเส้นตรง |
ดูโดยกว้างบางทีสี่สิบศอก |
เพราะย้อนยอกกันออกไปชวนใหลหลง |
แคบขนาดห้าวาอย่าพะวง |
บางแห่งทรงสูงทลึ่งถึงสิบวา |
ที่อย่างต่ำกำหนดยี่สิบสี่ศอก |
มีปล่องซอกส่องแต่บนอยู่หนหน้า |
แดดฉะเพาะเสาะทางสว่างมา |
เกือบถึงกลางหว่างคูหาเห็นเปนวง |
มีช่องทางข้างซ้ายป่ายปีนได้ |
ตรงขึ้นไปถึงที่แจ้งทางแสงส่ง |
วกออกร่วมทางใหญ่ที่ไปลง |
ถึงที่ตรงเสากลางข้างทางจร |
ต่อเข้าไปต้องใช้ประทีปจุด |
ด้วยมืดสุดแสงสว่างห่างช่องก่อน |
ชวากขวามีท่าที่ซอกซอน |
เดินยอกย้อนเข้าก็สบเสาลอยใน |
คือภู่พรายสายวารีที่หยัดเหยาะ |
ค่อยกรังเกาะกันจนยื่นถึงพื้นได้ |
เลยจับขอบเข้าเปนอ่างกว้างออกไป |
ครั้นน้ำใหญ่เซาะพื้นไม่ยืนยง |
พอดินร่วงรวงร่างห่างท้องถ้ำ |
ดูขันขำควรคิดพิศวง |
เหมือนดอกเห็ดงอกหงายกลับปลายลง |
ดูใหญ่ยงทำยากลำบากครัน |
มีทางแซกแยกไปได้หลายแห่ง |
เหมือนคนแกล้งจัดทำนองเปนห้องกั้น |
เปนหน้าต่างอย่างยี่ปุ่นฝาประจัน |
เดินถึงกันได้ทุกห้องไม่ต้องคลาน |
ดูแห่งหนึ่งเหมือนอย่างขึงด้วยฉากเขียน |
ดูแนบเนียนน่าลงสรงสนาน |
เปนน้ำหยัดหยาดตรงลงอ่างธาร |
ทรงสันฐานสูงใหญ่มิใช่น้อย |
แต่วารีนั้นไม่มีรดูแล้ง |
เปนหินแห้งกรังอยู่เหมือนภู่ห้อย |
ที่ยังเหลืออยู่อิกทางหยดพร่างพร้อย |
ขังแอ่งน้อยใสสอาดปราศมลทิน |
ที่แห่งอื่นดื่นดูเปนภู่ห้อย |
บ้างหยดย้อยพรอยพรายสายกระสินธุ์ |
บางแห่งภู่อยู่กับอ่างวางติดดิน |
ที่แหว่งวิ่นหักพังก็ยังมี |
พื้นดินทรายรายศิลาท่าเกะกะ |
ว่าขุดพระธาตุขนจนป่นปี้ |
ต้องเกลี่ยกลับรับเสด็จในคราวนี้ |
หลุมยังมีเรี่ยรายหลายตำบล |
แต่ความเห็นฉันนี้เปนไปอิกอย่าง |
ว่าพื้นล่างเปนศิลาน่าฉงน |
ดินที่คละปะเปนพื้นอยู่เบื้องบน |
เปนด้วยฝนหลากซัดปัดลงมา |
เหมือนถ้ำหมีที่แควป่าสักนั้น |
เห็นพร้อมกันว่ามีดินโดยน้ำท่า |
ด้วยคราบน้ำเห็นถนัดได้ทัศนา |
ส่วนถ้ำนี้ดอนกว่าจึงพาแคลง |
แต่คราบน้ำก็เห็นดำอยู่ศอกกว่า |
สายธาราก็ยังหยดไม่หมดแห้ง |
พื้นถ้ำคงชำรุดด้วยน้ำแรง |
ใช่คนแกล้งขุดไว้ไปอย่างเดียว |
ถึงขากลับนับว่าง่ายสบายยาตร |
ไม่ใคร่พลาดเดินสบายคลายหวาดเสียว |
คุณเถ้าแก่แลเต็มทนจนหน้าเซียว |
ที่นั่งเหี่ยวอยู่ตามทางบ้างก็มี |
เสด็จขึ้นไปเปนนานพานจะช้า |
ด้วยคอยท่าข้างในไม่ไปจากที่ |
เสด็จกลับแล้วจึงได้ไปอิกที |
ออกนาวาตอนนี้จึงบ่ายไป |
ถึงสามโมงยี่สิบสี่มีกำหนด |
เดินเลี้ยวลดตวันตกวกลงใต้ |
เปนหลายคุ้งเขาขวางทางครรไล |
ฉันจำได้เปนเงาเงาเขาประดง |
ฝั่งประจิมริมนทีนั้นมีท่า |
ชื่อเสลาตัดไว้เข็นไม้สง |
เปนที่มีเรือนคนเรือวนวง |
ครั้นจะลงให้เลอียดขี้เกียจทำ |
ส่วนผู้อ่านก็จะคร้านเรื่องซ้ำซาก |
เพราะไม่หลากไปกว่ากันวันยังค่ำ |
จะว่าย่อพอให้ผู้ที่อยากจำ |
จะได้กำหนดบ้างทางเดินเรือ |
ระยะนี้สี่หาดทั้งเล็กใหญ่ |
แล้วจึงไปถึงเรี่ยวน้ำเชี่ยวเหลือ |
ต้องแจวจ้ำร่ำใหญ่ใช้ถ่อเจือ |
เขามีเผื่อไปทุกลำทำสำรอง |
อิกคุ้งหนึ่งถึงตำบลบ้านยางเกาะ |
ทำไรเพาะปลูกตั้งฝั่งทั้งสอง |
ล้วนเรือนชานบ้านนอกบอกทำนอง |
เปนหาดสองชั้นซ้อนตอนบนทราย |
ที่ตอนล่างกว้างโล่งล้วนกรวดกลาด |
ดูเลี่ยนลาดกว้างใหญ่ยาวใจหาย |
หมดหัวหาดตรงนี้มีเกาะทราย |
เรือเดินฝ่ายตวันตกต่อขึ้นไป |
อิกคุ้งหนึ่งถึงสถานเรียกย่านเจ้า |
มีศาลเขาทำไว้ไม่สู้ใหญ่ |
แต่เปนศาลมุงกระเบื้องใช้เครื่องไม้ |
ตเคียนใหญ่ทั้งคู่อยู่เรียงรัน |
ล่วงหาดหนึ่งถึงตำบลบ้านนักการ |
แต่เรือนชานไม่เห็นมีอยู่ที่นั่น |
มีทั้งท่าหาดเรียวชื่อเดียวกัน |
ในหมู่นั้นเห็นเขาช่องช้างคับ |
ทั้งหมู่เขาช่องด่านมขามเตี้ย |
เห็นเกาะทรายน้ำเรี่ยเปนอันดับ |
แล้วหาดสองเกาะหนึ่งให้พึงนับ |
พอเลี้ยวลับก็ถึงดอนบ้านกลอนโด |
มีแพอยู่ห้าหลังตั้งทำปลา |
ก็เสาะหาได้ที่นี่ดีอักโข |
มีคนมากกว่าทุกย่านพานจะโต |
แต่รโหฐานแท้ไม่แซ่เซง |
พลับพลาตั้งฝั่งตวันตกเฉียงใต้ |
เลือกที่ได้เหมาะถนัดจัดว่าเก่ง |
เปนหาดใหญ่ยาวไปสุดตาเล็ง |
ดูเหมาะเหม็งเต็มทีดีพอใช้ |
ทินกรอ่อนแสงแฝงพฤกษา |
เสด็จลงคอนโดล่าลำมาใหม่ |
เจ้าเยนอเธอจำนงจงฤไทย |
ถวายไว้ไม่สู้ช้าสี่ห้าปี |
ทำน้ำเงินลายสุวรรณเปนก้านขด |
ดูสุกสดงามประเสริฐเฉิดชูศรี |
เปิดเพดานเสียให้โล่งดูโปร่งดี |
ชมปักษีพฤกษชาติตามหาดทราย |
แจวล่วงหน้ามาก่อนกระบวนใหญ่ |
กระบวนหน้านำไปไกลเหลือหลาย |
วังเวงว่างกลางกระแสแลสบาย |
ไม่วุ่นวายอื้ออึงเสียงตึงตัง |
แต่พอย่ำสนธยาก็มาถึง |
ปะรำซึ่งจะจอดเรือที่นั่ง |
เสด็จขึ้นที่ประทับแรมยับยั้ง |
ตั้งบนฝั่งแสนสนุกเปนสุขชัด |
ทอดพระเนตรทุกตำแหน่งแล้วแบ่งสัน |
ฉลากปันปิดนามตามที่จัด |
เรื่องพลับพลายังไม่ว่าโดยรีบรัด |
ขอผัดไว้ขากลับประทับแรม |
ถึงจะมีที่ประพาสคงขาดน้อย |
เรื่องจะกร่อยแงมงอมกระหรอมกระแหรม |
แม้มีมากฉันก็อยากจะซ่อมแซม |
คงจะแถมลงให้หมดไม่ลดลา |
เรือกระบวนมาช้ากว่าชั่วทุ่ม |
ด้วยมืดคลุ้มกว่าจะจอดเข้าทอดท่า |
จนเกือบยามตามข่าวได้เข้าปลา |
เสร็จการกาหฬทั้งหลายสบายดี |
ปรอทร้อนตอนกลางวันไม่มันแผก |
แปดสิบแปดมิได้แปลกกันกับที่ |
อยู่พลับพลาหน้าเมืองกาญจน์บุรี |
ไดอรีหมดความตามสมมต ฯ |