วัน ๒ ๔ฯ ๓ ค่ำ

วัน ๒ ๓ ค่ำ

๏ นอนสบายมาจนสายสว่างฟ้า อาทิตย์จ้าแจ่มจำรัสรัศมี
ดูต้นไม้ใหญ่ใบชิดมิดรวี พระพายรี่พัดเรื่อยเฉื่อยชูใจ
ได้เฉื่อยช้าตามตำราจนสำเร็จ ด้วยรู้ว่าไม่เสด็จไปข้างไหน
มีแต่เรื่องถวายของกองแน่นไป จึงเบื่อไม่อยากกล่าวให้ยาวกลอน
ฉันรักแต่เต่าใหญ่ที่ใส่กูบ ตัวนี้รูปโตเตื้องเขื่องกว่าก่อน
มีหลังคาแมงดาตั้งบังทินกร สัประคับซับซ้อนชลอมวาง
ล้วนเล็กเล็กเลียนให้เห็นเช่นใบใหญ่ ที่ข้างในบรรจุของให้ต้องอย่าง
พุดทราแผ่นผ่อนเกลาเข้าให้บาง ปลากรอบย่างตัวนิดนิดเขาคิดทำ
มะขามป้อมและมะยมก็สมที่ อิกอย่างหนึ่งนั้นมีเม็ดมะกล่ำ
เรียวไม้ไผ่ใช้ตัดจัดประจำ เหมือนไม้รวกทั้งลำทำกระเช้า
ปลูกกล้วยไม้แขวนมาหน้าสัประคับ ดูพอรับกันไปทั่วกับตัวเต่า
ที่หลังคาทาเคลือบน้ำมันเงา ดูเข้าเค้าคล้ายอย่างข้างประทุน
เขาถวายทูลกระหม่อมพระองค์ใหญ่ ประเดี๋ยวใจเดินพล่านพานจะวุ่น
โดนอะไรต่ออะไรใส่ชุลมุน ของเปนจุณพลัดตกหกกระจาย
พวกนุ่งหยี่มีท่ามาโมยซ้ำ แต่ในค่ำกึกก้องด้วยของหาย
สัประดนนักหนาน่าเสียดาย ฉันมั่นหมายจะได้ดูอยู่หลายวัน
ที่พลับพลาประทับนี้ไม่มีร้อน ลมยอกย้อนเย็นฮือกระพือผัน
ไม่เหมือนกับกาญจน์บุรีที่หลากกัน พลับพลานั้นอยู่ข้างร้อนจนอ่อนใจ
พอบ่ายสี่โมงมีที่ประพาส ยุรยาตรจากฝั่งหลังค่ายใหญ่
เสด็จด่วนโดยกระบวนมโนไมย ข้างในไปวอแลรถหมดด้วยกัน
ออกหลังค่ายไปข้างฝ่ายตวันตก ทางเวียนวกไปตามทุ่งมุ่งผายผัน
ข้ามปลายคลองหลุมดินถิ่นสำคัญ ทุ่งอรัญญิกกว้างทางผ่านมา
เห็นคิรีเรียงรายเปนหลายยอด โล่งตลอดที่เหล่านี้ไม่มีป่า
วายุพานพัดฮือกระพือพา พสุธาฝุ่นฟุ้งพลุ่งเปนลออง
แล้วเลี้ยวซ้ายร่ายเลาะไปริมฝั่ง มีไม้บังอัสดงค์ไม่ตรงสอง
ผ่านวัดทำโขลงสร้างอย่างทำนอง เช่นทั้งผองพวกอาวาสราสบุรี
คือโบถเปนเช่นกับเรือนเฉลียงรอบ ตามเขตรขอบกุฎีสร่างวางถี่ถี่
เปนคณะพระสมุทมุนี มาอยู่ที่วัดตาลท่านสร้างไว้
วัดสุรชายาถัดมาหน่อย งดไว้ค่อยรำพันต่อวันใหม่
มีบ้านเรือนริมฝั่งตั้งติดไป ตอนข้างในทุ่งนาพฤกษาราย
ไปหน่อยหนึ่งถึงหมู่มะขามแถว บนเนินแนวตามเขาเล่าขยาย
ว่าเปนที่เมืองเก่าดูเค้าคล้าย เชิงเทินค่ายป้อมตั้งบังลูกปืน
แต่อย่างไรไม่มีใครร้องเรียกขาน เมืองโบราณฤๅว่าค่ายย้ายเปนอื่น
เรียกมะขามโพรงดูรู้เปนพื้น เปนทางยืนจากฝั่งตั้งขึ้นไป
ด้านตวันตกตัดสกัดหน้า ทั้งข้างใต้ตัดลงมาแม่น้ำใหญ่
ก็มีรอยดินประจำเนินทำไว้ แต่ด้านใกล้นทีไม่มีรอย
ด้วยลำน้ำทำเปนคูพอสู้รบ จะหลีกหลบลาดล่ามีท่าถอย
แต่มะขามต้นใหญ่มิใช่น้อย ฤๅเปนดอยดินเก่าเห็นเค้าดี
จึงมาตั้งค่ายมั่นเข้าบรรจบ ไว้รุกรบข้าศึกไม่นึกหนี
ชื่อจึงยังคงทนจนบัดนี้ ทางเสด็จจรลีนั้นมากลาง
แล้วไปข้ามท้ายคูอยู่ข้างใต้ ต่อออกไปแต่นี้เปนที่กว้าง
แลเห็นตรงวงจังหวัดวัดโรงช้าง แล้วตัดทางลงไปใกล้วารี
แลเห็นตึกรามตามริมฝั่ง ดูสพรั่งเรือนชานบ้านเศรษฐี
เลี้ยวหนทางหว่างบ้านชานนที ขึ้นมาที่วัดตั้งอยู่ข้างใน
ตั้งแต่ค่ายหลวงมาว่าร้อยเส้น พอเลี้ยวเห็นพระมหาธาตุอยู่ใกล้
เสด็จเข้าโดยทางวัดอุไทย ใกล้กระไรคล้ายจังหวัดวัดเดียวกัน
ผ่านอุโบสถไปมิได้ห่าง เว้นระหว่างด้วยกำแพงแลงก่อกั้น
ใบเสมาเหมือนกระจังตั้งเรียงรัน แลงจำหลักตะละปั้นเปนรูปพระ
ทำประณีตหนักหนาไม่ว่าเล่น ทีจะเช่นเมืองสิงค์จริงจริงหละ
จะสู้เพชรบุรีมีมานะ ไม่ลดละกันกับวัดกำแพงแลง
ตอนข้างในเข้าไปมีพระวิหาร อยูในลานแลเห็นเปนสองแห่ง
ดูเปนรอยคนศรัทธามาซ่อมแปลง เขาบอกแจ้งว่าสมเด็จเจ้าพระยา
ได้มารับจับการขึ้นหน่อยหนึ่ง ก็โกรธขึ้งพระในวัดจัดสิกขา
นิ่งเฉยเสียสบายใจไม่ไปมา สิ้นศรัทธาเลิกงานการทั้งปวง
ที่ตรงกลางหว่างวิหารทั้งสองหลัง เปนที่ตั้งชุกกระชีวิหารหลวง
ดูงดงามตามแยบแบบทั้งปวง ในทีท่วงนั้นจะคล้ายฝ่ายเมืองนคร
พระมหาธาตุตั้งหลังวิหาร อย่างโบราณแบบเขมรเช่นแต่ก่อน
ตรงด้านหน้าคูหาลดสองตอน บันไดจรขึ้นไปได้ที่ในองค์
อิกสามด้านชานชักกระเปาะย่อ ปรางค์คิดก่อตรงกลางต่างประสงค์
จะเลียนอย่างนครวัดเห็นชัดตรง แต่ลดลงมาที่ไม่ใช่รเบียง
ที่มุมล่างยกปรางค์ทิศทั้งสี่ ใช้เจดีย์รูปต่างอย่างหลีกเลี่ยง
เปนแปดเหลี่ยมซุ้มสลับนับสี่เพียง จะบ่ายเบี่ยงจากปรางค์ให้ต่างไป
เจดีย์สีกับที่ปรางค์หว่างทิศนั้น แนวเดียวกันเปนจังหวะระยะได้
แต่ลดต่ำเปนลำดับกันลงไป พระธาตุใหญ่สูงตระหนักสักสิบวา
พระรเบียงรอบห้อมล้อมจังหวัด สี่เหลี่ยมชัดช่องประตูอยู่ด้านหน้า
ด้านอื่นไปไม่มีทางเข้ามา พระศิลาแดงตั้งผนังราย
แต่ชำรุดยับเยินเกินขนาด พระเศียรขาดทั้งพระกรกร่อนหักหาย
เที่ยวทิ้งตกหกพลัดกระจัดกระจาย คงเปนฝ่ายเซอรเวเกเรกวน
มีพระพุทธรูปใหญ่อยู่ในซุ้ม ทั้งสี่มุมมุ่งพินิจคิดไต่สวน
เปนพระปั้นรูปไม่แปลกแยกกระบวน เปนสัดส่วนพระที่นี่มีคล้ายคลึง
ที่ซุ้มกลางหวางทิศข้างเหนือนั้น พระสำคัญงามดีมีองค์หนึ่ง
เปนศิลาเขมรอย่างอยู่ข้างซึ้ง เห็นเก่าถึงพระยากงส์รูปตรงกัน
แต่เปนโทษมีโจทย์เขาฟ้องป่น ว่ากินคนเขาเห็นเปนแม่นมั่น
เศียรต้องพรากจากพระกายเสียดายครัน เขาห้ำหั่นเอาไปวางข้างประตู
ตวันตกที่ตรงกลางวางพระใหญ่ พังจนไม่เปนพระองค์ลงกลิ้งอยู่
ข้างเหนือไว้พระนั่งยังน่าดู คงมาคู่กับพระยืนที่กลืนคน
ทีจะไปได้มาเมื่อภายหลัง จึงมาตั้งซ้อนทับกันสับสน
ยังมีหน้าสิงห์เขมรเห็นชอบกล แต่ตัวตนไปข้างไหนไม่พบพาน
รับสั่งให้ข้างในล่วงไปก่อน ยังอิกตอนทราบเค้าตามเล่าขาน
ว่าเปนฝ่ายพระอยู่คูคั่นลาน โบถโบราณซ่อมใหม่ไว้เสร็จแล้ว
การเปรียญหลังใหญ่ไว้ในหว่าง มณฑปสร้างสุดมุมกำแพงแก้ว
ไว้พระบาทจำลองปิดทองแพร้ว เจดีย์แถวทำรายชายกำแพง
อันพระสงฆ์วัดนี้ว่าดีนัก ในการรักษาสิกขานั้นกล้าแขง
เปนลัทธิหนึ่งค่อนข้างมอญแปลง ว่าเคร่งแรงกว่าพระธรรมยุติ
ใครนิมนต์ไปไหนไม่ใคร่รับ ชั่วแต่บิณฑบาตสรรพกลับมากุฏิ
การในวัดที่ปรักหักพังทรุด สัปรุษมีศรัทธามาช่วยทำ
รถข้างในไปถึงครึ่งทางหลวง พอลับดวงสุริยาเวลาค่ำ
รับสั่งให้กลับพลับพลาเขามานำ ตัดทางดำเนินป่ายข้างซ้ายมือ
เขาบอกว่ามาทางบ้านโรงช้าง เปนทุ่งว่างไม่ร่มลมพัดอื้อ
สองข้างทางกองไฟใส่ลุกฮือ พบเทียนถือไปไม่ได้ไฟดับดาย
ถึงพลับพลาเวลาสักสองทุ่ม ฝุ่นฟุ้งกลุ้มกล่นเกลื่อนแต่เดือนหงาย
เสวยในเขาวงก์ทรงสบาย ดูเดินง่ายกว่าเก่าเพราะเข้าใจ
ปรอทร้อนตอนกลางวันนั้นลดถอย ยิ่งกลับน้อยไปกว่าที่น้ำโจนใหญ่
แปดสิบห้าไม่มีเศษสังเกตไว้ เมื่อคืนได้เจ็ดสิบสองฉันมองดู
ต้องห่มผ้ามาแต่เมื่อตอนดึก ก็พิฦกหนาวที่นี่ยังมีอยู่
ขอจดความตามที่ได้เห็นรู้ นอนคุดคู้ให้สบายหายเหนื่อยมา ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ