๏ นอนสบายมาจนสายสว่างฟ้า |
อาทิตย์จ้าแจ่มจำรัสรัศมี |
ดูต้นไม้ใหญ่ใบชิดมิดรวี |
พระพายรี่พัดเรื่อยเฉื่อยชูใจ |
ได้เฉื่อยช้าตามตำราจนสำเร็จ |
ด้วยรู้ว่าไม่เสด็จไปข้างไหน |
มีแต่เรื่องถวายของกองแน่นไป |
จึงเบื่อไม่อยากกล่าวให้ยาวกลอน |
ฉันรักแต่เต่าใหญ่ที่ใส่กูบ |
ตัวนี้รูปโตเตื้องเขื่องกว่าก่อน |
มีหลังคาแมงดาตั้งบังทินกร |
สัประคับซับซ้อนชลอมวาง |
ล้วนเล็กเล็กเลียนให้เห็นเช่นใบใหญ่ |
ที่ข้างในบรรจุของให้ต้องอย่าง |
พุดทราแผ่นผ่อนเกลาเข้าให้บาง |
ปลากรอบย่างตัวนิดนิดเขาคิดทำ |
มะขามป้อมและมะยมก็สมที่ |
อิกอย่างหนึ่งนั้นมีเม็ดมะกล่ำ |
เรียวไม้ไผ่ใช้ตัดจัดประจำ |
เหมือนไม้รวกทั้งลำทำกระเช้า |
ปลูกกล้วยไม้แขวนมาหน้าสัประคับ |
ดูพอรับกันไปทั่วกับตัวเต่า |
ที่หลังคาทาเคลือบน้ำมันเงา |
ดูเข้าเค้าคล้ายอย่างข้างประทุน |
เขาถวายทูลกระหม่อมพระองค์ใหญ่ |
ประเดี๋ยวใจเดินพล่านพานจะวุ่น |
โดนอะไรต่ออะไรใส่ชุลมุน |
ของเปนจุณพลัดตกหกกระจาย |
พวกนุ่งหยี่มีท่ามาโมยซ้ำ |
แต่ในค่ำกึกก้องด้วยของหาย |
สัประดนนักหนาน่าเสียดาย |
ฉันมั่นหมายจะได้ดูอยู่หลายวัน |
ที่พลับพลาประทับนี้ไม่มีร้อน |
ลมยอกย้อนเย็นฮือกระพือผัน |
ไม่เหมือนกับกาญจน์บุรีที่หลากกัน |
พลับพลานั้นอยู่ข้างร้อนจนอ่อนใจ |
พอบ่ายสี่โมงมีที่ประพาส |
ยุรยาตรจากฝั่งหลังค่ายใหญ่ |
เสด็จด่วนโดยกระบวนมโนไมย |
ข้างในไปวอแลรถหมดด้วยกัน |
ออกหลังค่ายไปข้างฝ่ายตวันตก |
ทางเวียนวกไปตามทุ่งมุ่งผายผัน |
ข้ามปลายคลองหลุมดินถิ่นสำคัญ |
ทุ่งอรัญญิกกว้างทางผ่านมา |
เห็นคิรีเรียงรายเปนหลายยอด |
โล่งตลอดที่เหล่านี้ไม่มีป่า |
วายุพานพัดฮือกระพือพา |
พสุธาฝุ่นฟุ้งพลุ่งเปนลออง |
แล้วเลี้ยวซ้ายร่ายเลาะไปริมฝั่ง |
มีไม้บังอัสดงค์ไม่ตรงสอง |
ผ่านวัดทำโขลงสร้างอย่างทำนอง |
เช่นทั้งผองพวกอาวาสราสบุรี |
คือโบถเปนเช่นกับเรือนเฉลียงรอบ |
ตามเขตรขอบกุฎีสร่างวางถี่ถี่ |
เปนคณะพระสมุทมุนี |
มาอยู่ที่วัดตาลท่านสร้างไว้ |
วัดสุรชายาถัดมาหน่อย |
งดไว้ค่อยรำพันต่อวันใหม่ |
มีบ้านเรือนริมฝั่งตั้งติดไป |
ตอนข้างในทุ่งนาพฤกษาราย |
ไปหน่อยหนึ่งถึงหมู่มะขามแถว |
บนเนินแนวตามเขาเล่าขยาย |
ว่าเปนที่เมืองเก่าดูเค้าคล้าย |
เชิงเทินค่ายป้อมตั้งบังลูกปืน |
แต่อย่างไรไม่มีใครร้องเรียกขาน |
เมืองโบราณฤๅว่าค่ายย้ายเปนอื่น |
เรียกมะขามโพรงดูรู้เปนพื้น |
เปนทางยืนจากฝั่งตั้งขึ้นไป |
ด้านตวันตกตัดสกัดหน้า |
ทั้งข้างใต้ตัดลงมาแม่น้ำใหญ่ |
ก็มีรอยดินประจำเนินทำไว้ |
แต่ด้านใกล้นทีไม่มีรอย |
ด้วยลำน้ำทำเปนคูพอสู้รบ |
จะหลีกหลบลาดล่ามีท่าถอย |
แต่มะขามต้นใหญ่มิใช่น้อย |
ฤๅเปนดอยดินเก่าเห็นเค้าดี |
จึงมาตั้งค่ายมั่นเข้าบรรจบ |
ไว้รุกรบข้าศึกไม่นึกหนี |
ชื่อจึงยังคงทนจนบัดนี้ |
ทางเสด็จจรลีนั้นมากลาง |
แล้วไปข้ามท้ายคูอยู่ข้างใต้ |
ต่อออกไปแต่นี้เปนที่กว้าง |
แลเห็นตรงวงจังหวัดวัดโรงช้าง |
แล้วตัดทางลงไปใกล้วารี |
แลเห็นตึกรามตามริมฝั่ง |
ดูสพรั่งเรือนชานบ้านเศรษฐี |
เลี้ยวหนทางหว่างบ้านชานนที |
ขึ้นมาที่วัดตั้งอยู่ข้างใน |
ตั้งแต่ค่ายหลวงมาว่าร้อยเส้น |
พอเลี้ยวเห็นพระมหาธาตุอยู่ใกล้ |
เสด็จเข้าโดยทางวัดอุไทย |
ใกล้กระไรคล้ายจังหวัดวัดเดียวกัน |
ผ่านอุโบสถไปมิได้ห่าง |
เว้นระหว่างด้วยกำแพงแลงก่อกั้น |
ใบเสมาเหมือนกระจังตั้งเรียงรัน |
แลงจำหลักตะละปั้นเปนรูปพระ |
ทำประณีตหนักหนาไม่ว่าเล่น |
ทีจะเช่นเมืองสิงค์จริงจริงหละ |
จะสู้เพชรบุรีมีมานะ |
ไม่ลดละกันกับวัดกำแพงแลง |
ตอนข้างในเข้าไปมีพระวิหาร |
อยูในลานแลเห็นเปนสองแห่ง |
ดูเปนรอยคนศรัทธามาซ่อมแปลง |
เขาบอกแจ้งว่าสมเด็จเจ้าพระยา |
ได้มารับจับการขึ้นหน่อยหนึ่ง |
ก็โกรธขึ้งพระในวัดจัดสิกขา |
นิ่งเฉยเสียสบายใจไม่ไปมา |
สิ้นศรัทธาเลิกงานการทั้งปวง |
ที่ตรงกลางหว่างวิหารทั้งสองหลัง |
เปนที่ตั้งชุกกระชีวิหารหลวง |
ดูงดงามตามแยบแบบทั้งปวง |
ในทีท่วงนั้นจะคล้ายฝ่ายเมืองนคร |
พระมหาธาตุตั้งหลังวิหาร |
อย่างโบราณแบบเขมรเช่นแต่ก่อน |
ตรงด้านหน้าคูหาลดสองตอน |
บันไดจรขึ้นไปได้ที่ในองค์ |
อิกสามด้านชานชักกระเปาะย่อ |
ปรางค์คิดก่อตรงกลางต่างประสงค์ |
จะเลียนอย่างนครวัดเห็นชัดตรง |
แต่ลดลงมาที่ไม่ใช่รเบียง |
ที่มุมล่างยกปรางค์ทิศทั้งสี่ |
ใช้เจดีย์รูปต่างอย่างหลีกเลี่ยง |
เปนแปดเหลี่ยมซุ้มสลับนับสี่เพียง |
จะบ่ายเบี่ยงจากปรางค์ให้ต่างไป |
เจดีย์สีกับที่ปรางค์หว่างทิศนั้น |
แนวเดียวกันเปนจังหวะระยะได้ |
แต่ลดต่ำเปนลำดับกันลงไป |
พระธาตุใหญ่สูงตระหนักสักสิบวา |
พระรเบียงรอบห้อมล้อมจังหวัด |
สี่เหลี่ยมชัดช่องประตูอยู่ด้านหน้า |
ด้านอื่นไปไม่มีทางเข้ามา |
พระศิลาแดงตั้งผนังราย |
แต่ชำรุดยับเยินเกินขนาด |
พระเศียรขาดทั้งพระกรกร่อนหักหาย |
เที่ยวทิ้งตกหกพลัดกระจัดกระจาย |
คงเปนฝ่ายเซอรเวเกเรกวน |
มีพระพุทธรูปใหญ่อยู่ในซุ้ม |
ทั้งสี่มุมมุ่งพินิจคิดไต่สวน |
เปนพระปั้นรูปไม่แปลกแยกกระบวน |
เปนสัดส่วนพระที่นี่มีคล้ายคลึง |
ที่ซุ้มกลางหวางทิศข้างเหนือนั้น |
พระสำคัญงามดีมีองค์หนึ่ง |
เปนศิลาเขมรอย่างอยู่ข้างซึ้ง |
เห็นเก่าถึงพระยากงส์รูปตรงกัน |
แต่เปนโทษมีโจทย์เขาฟ้องป่น |
ว่ากินคนเขาเห็นเปนแม่นมั่น |
เศียรต้องพรากจากพระกายเสียดายครัน |
เขาห้ำหั่นเอาไปวางข้างประตู |
ตวันตกที่ตรงกลางวางพระใหญ่ |
พังจนไม่เปนพระองค์ลงกลิ้งอยู่ |
ข้างเหนือไว้พระนั่งยังน่าดู |
คงมาคู่กับพระยืนที่กลืนคน |
ทีจะไปได้มาเมื่อภายหลัง |
จึงมาตั้งซ้อนทับกันสับสน |
ยังมีหน้าสิงห์เขมรเห็นชอบกล |
แต่ตัวตนไปข้างไหนไม่พบพาน |
รับสั่งให้ข้างในล่วงไปก่อน |
ยังอิกตอนทราบเค้าตามเล่าขาน |
ว่าเปนฝ่ายพระอยู่คูคั่นลาน |
โบถโบราณซ่อมใหม่ไว้เสร็จแล้ว |
การเปรียญหลังใหญ่ไว้ในหว่าง |
มณฑปสร้างสุดมุมกำแพงแก้ว |
ไว้พระบาทจำลองปิดทองแพร้ว |
เจดีย์แถวทำรายชายกำแพง |
อันพระสงฆ์วัดนี้ว่าดีนัก |
ในการรักษาสิกขานั้นกล้าแขง |
เปนลัทธิหนึ่งค่อนข้างมอญแปลง |
ว่าเคร่งแรงกว่าพระธรรมยุติ |
ใครนิมนต์ไปไหนไม่ใคร่รับ |
ชั่วแต่บิณฑบาตสรรพกลับมากุฏิ |
การในวัดที่ปรักหักพังทรุด |
สัปรุษมีศรัทธามาช่วยทำ |
รถข้างในไปถึงครึ่งทางหลวง |
พอลับดวงสุริยาเวลาค่ำ |
รับสั่งให้กลับพลับพลาเขามานำ |
ตัดทางดำเนินป่ายข้างซ้ายมือ |
เขาบอกว่ามาทางบ้านโรงช้าง |
เปนทุ่งว่างไม่ร่มลมพัดอื้อ |
สองข้างทางกองไฟใส่ลุกฮือ |
พบเทียนถือไปไม่ได้ไฟดับดาย |
ถึงพลับพลาเวลาสักสองทุ่ม |
ฝุ่นฟุ้งกลุ้มกล่นเกลื่อนแต่เดือนหงาย |
เสวยในเขาวงก์ทรงสบาย |
ดูเดินง่ายกว่าเก่าเพราะเข้าใจ |
ปรอทร้อนตอนกลางวันนั้นลดถอย |
ยิ่งกลับน้อยไปกว่าที่น้ำโจนใหญ่ |
แปดสิบห้าไม่มีเศษสังเกตไว้ |
เมื่อคืนได้เจ็ดสิบสองฉันมองดู |
ต้องห่มผ้ามาแต่เมื่อตอนดึก |
ก็พิฦกหนาวที่นี่ยังมีอยู่ |
ขอจดความตามที่ได้เห็นรู้ |
นอนคุดคู้ให้สบายหายเหนื่อยมา ฯ |