๏ เมื่อคืนนี้กลับกลายเปนคลายหนาว |
ปรอทราวเจ็ดสิบสองดิกรีได้ |
เสด็จทรงเรือม่วงล่วงครรไล |
แต่ปัจจุสมัยได้เวลา |
กระบวนใหญ่ได้ออกต่อโมงเช้า |
ฝีพายเขารับสั่งให้รอท่า |
กินเข้าเสร็จเมื่อไรจึงไคลคลา |
พอเรือเคลื่อนจากท่าชมนที |
ถัดปะรำเหนือน้ำนั้นมีเกาะ |
เกิดฉะเพาะอยู่ตรงกลางหว่างวิถี |
ริมฝั่งฟากเปนชวากเวิ้งวารี |
เห็นคิรีไกลไกลไปเปนแนว |
แต่นั้นไปในน้ำมีโขดหนึ่ง |
ล่วงคุ้งถึงหาดใหญ่ตะไคร้แถว |
ตลาดกระบือเลยลเมาะเกาะเล็กแล้ว |
คลาศแคล้วถึงฝั่งท่าวังเย็น |
มีหาดทรายรายมาอิกสามแห่ง |
ถึงตำแหน่งท่าตะคร้อพอได้เห็น |
รำฦกได้ว่าตรงนี้คือที่เปน |
พลับพลาเว้นว่างมาสิบห้าปี |
ได้ยินชื่อฦๅกระฉ่อนออกว่อนฉาว |
เปนเรื่องราวเมื่อกระนั้นเล่ากันถี่ |
เสด็จทางบกจากราชบุรี |
มาลงเรือตำบลนี้เลยต่อไป |
ลำพาชีที่ได้มาแต่เมื่อวาน |
มีบ้านปากลำทำอาไศรย |
แพสามหลังริมฝั่งมีเครื่องใช้ |
อวนน้อยใหญ่มองวังตั้งทำปลา |
ถัดนั้นไปข้างใต้เรียกวังตเคียน |
มีทางเกวียนขนไม้ลงสู่ท่า |
ทั้งคิรีมีเทือกเขาศิลา |
ใกล้คงคาก้อนใหญ่ใหญ่ได้เห็นชัด |
ตเข้เผือกเรือกสวนเขาแน่นหนา |
ได้ทราบเรื่องราวมาตามที่ตรัส |
เคยเสด็จไปทุกย่านบ้านพนัส |
เพราะอยู่ถัดท่าตะคร้อต่อหัวท้าย |
ประทานนามเรือดนูพระที่นั่ง |
ว่ากลอนโดดูฝรั่งแต่เรียกง่าย |
ลำหนึ่งชื่อตเข้เผือกเลือกยักย้าย |
ทั้งสองลำรูปลม้ายคล้ายคลึงกัน |
ในวันนี้ที่เสด็จมาแต่เช้า |
ก็แวะเข้าทรงซื้อของที่นั่น |
มีเข้าหลามเข้าต้มผัดจัดขายกัน |
ขนมเข่งนั้นดำมืดจืดเต็มที |
แพอยู่หน้าว่าเปนที่อยู่นายพราน |
ถวายขนุนอ้อยตาลกล้วยหลายหวี |
มีแพมากหลากใจในบ้านนี้ |
ทั้งเล็กใหญ่ได้บาญชีสิบแปดแพ |
ล่องสองหาดคลาศคลามาถึงเรี่ยว |
ดูเปนเกลียวเชี่ยวคว้างทางกระแส |
ล่วงหาดหนึ่งถึงคุ้งมุ่งตาแล |
พอเห็นแคร่และปะรำที่ทำไว้ |
เสด็จถึงประทับร้อนอยู่ก่อนหน้า |
แต่เวลาสามโมงเศษเศษได้ |
ต้องคอยเรือกระบวนสวนขึ้นไป |
จึงได้เสด็จลงนาวา |
ไปครู่หนึ่งถึงตำบลหนเกาะเสี้ยว |
เปนหาดเรียวยาวใหญ่ไปข้างหน้า |
ที่หัวเกาะสูงนูนพูนขึ้นมา |
ร่องธาราตวันตกวกครรไล |
ที่หัวเกาะน้ำเชี่ยวทั้งเรียวแคบ |
เกาะเล็กแอบริมทางข้างฝั่งใต้ |
อิกคุ้งหนึ่งท่ามะเฟืองเนื่องกันไป |
มีต้นยางคู่ใหญ่เปนสำคัญ |
ต่อไปจึงถึงปากคลองสำเภา |
น้ำลึกเท่าแม่น้ำใหญ่สืบได้มั่น |
ในหมู่นี้มีเรื่องที่เล่ากัน |
ฉันเห็นขันจึงได้คัดมาลงไว้ |
ด้วยไดอรีในวันนี้ค่อนข้างจืด |
ดูชืดชืดหามีที่สนุกไม่ |
เมื่อเสด็จก่อนนี้สิบปีไป |
ที่นั่งใช้เรือเหลืองเงื่องเต็มทน |
เมื่อถึงแก่งแห่งใดให้คนลาก |
ต้องมากมากซ้อนสลับดูสับสน |
แจวไม่ไหวใช้แต่ถ่อต่อแรงคน |
ถึงตำบลน้ำเชี่ยวเรี่ยวแห่งนี้ |
หลวงอุดมซึ่งเปนที่พระวิชิต |
บัญชากิจเรือที่นั่งสั่งจู้จี่ |
ว่าฝีพายถ่อไม่เปนไม่เห็นดี |
ลุกกระวีกระวาดรับจับถ่อเอง |
ปีนขึ้นบนกราบเรือเงื้อถ่อร่ำ |
ไต่กรานค้ำขึ้นมาจนหน้าเก๋ง |
ร้องให้เอาอย่างข้าจ้าครื้นเครง |
ยืนโงงเงงไต่ไปไม่หมดลำ |
เสียงโครมครามสามครั้งที่ข้างหน้า |
ไม่กลับมาถ่ออิกแต่เอ็ดร่ำ |
ให้ฝีพายปีนกราบขึ้นไปค้ำ |
เช่นตัวทำแคบนักมันหนักใจ |
เห็นฝีพายจับคางโกรธผางผึง |
ลุกทลึ่งจับถ่อทำท่าใหม่ |
ขึ้นบนนี้ทำอย่างนี้สิเปนไร |
เสียงโพล่งใหญ่จมดิ่งด้วยเผลอตัว |
โผล่ขึ้นมาคว้าฉวยกราบเรือได้ |
เห็นเปียกไม่มีปลอดตลอดหัว |
แต่หมวกไม่หลุดหายกายสั่นรัว |
เลยนิ่งซัวซึมไปไม่พูดจา |
ฝีพายจะทำอย่างไรปากไม่ปริ |
สมาธิมึนตึงจนถึงท่า |
ต่อรุ่งขึ้นจึงได้ปรี่มีเสียงมา |
เลิกตำราไม่สอนถ่ออิกต่อไป |
ช่องฉะเพาะผ่านเกาะกลางร่องกว้าง |
เดินโดยทางตวันตกตัดได้ใกล้ |
พ้นคุ้งถึงทุ่งนาหมื่นไชย |
เห็นเขาใหญ่ชื่อป้อมอ้อมมาบัง |
ถ้าเหลียวหน้ามาก็เห็นเขาเปนเทือก |
คือตัวเขาตะเข้เผือกอยู่ข้างหลัง |
เห็นลำทรายหมายไว้ไม้ไม่บัง |
ได้จัดตั้งเรือนมีเปนที่พัก |
โทรเลขทางทวายแยกสายแก้ |
โป่งสะแกหน้าฝนคนเจ็บหนัก |
ข้าหลวงมาจับผู้ร้ายได้สำนัก |
จึงประจักษ์จำไว้ได้ถ่องแท้ |
ล่วงหาดใหญ่มาได้อิกสองแห่ง |
ถึงหาดแฝงฝั่งวางกลางกระแส |
อิกสามหาดผาดมาสุดตาแล |
ก็ถึงแควห้วยแมงลักประจักษ์นาน |
ถัดหาดใหญ่ไปดลเกาะน้ำเชี่ยว |
พอพ้นเรี่ยวหน่อยหนึ่งก็ถึงบ้าน |
จีนเซียงเข้งมีชื่อฦๅมานาน |
พวกลูกหลานลงเรือพายเฝือมา |
ถวายผักต่างต่างอย่างที่ไร่ |
ทั้งไข่ไก่ส้มเกลี้ยงสเบียงป่า |
พริกเม็ดยาวแลมะนาวก็มีมา |
เปนของหายากปางทางกันดาร |
ถัดตอนนี้นทีไม่ฉานฉ่า |
เขาสำเนียกเรียกว่าวังสักส่าน |
ต้นยางใหญ่ใกล้แนวชลธาร |
มีกิ่งก้านแถบเดียวเหลียวตลึง |
ดูก็ขันนั่นอะไรเปนไปได้ |
เปนเพาะรากฤๅไฉนคิดไม่ถึง |
ฤๅไปขัดอัดศิลาน่ารำพึง |
เดินแต่ครึ่งหนึ่งข้างด้านกิ่งก้านงาม |
ศิลาก้อนตอนนี้มีริมฝั่ง |
เห็นเขาวังหมึกประจักษ์ได้ทักถาม |
หาดหัวแหลมแถมเกาะลัดเลาะตาม |
เขาแจ้งความนำร่องไม่ต้องแคลง |
ถัดขึ้นมาชื่อว่าหาดพระยาพล |
เปนที่พักหมู่พหลเหี้ยมกำแหง |
เมื่อทำศึกกับภุกามตามชี้แจง |
นามแสดงสมความตามเรื่องราว |
แล่นเลาะลัดตัดถึงหาดสบ้า |
เห็นพลับพลาแลปะรำทำไว้ขาว |
เสด็จทรงเรือม่วงช่วงนี้ยาว |
รีบพายสาวขึ้นไปก่อนไม่ผ่อนพัก |
ข้างในลงคอนโดล่ามาข้างท้าย |
พวกฝีพายแจวจ้ำกระหน่ำหนัก |
พิเคราะดูคุ้งสบ้าเห็นน่ารัก |
สมชื่อนักแลเห็นเปนวงกลม |
หาดสองข้างกลางคอกดูแคบน้อย |
นึกโคมลอยลองเล่นก็เห็นสม |
เปนสบ้าก็ต้องว่าของพระพรหม |
ยักษ์เล่นข่มตัวสนัดคัดไม่ไป |
ระยะนี้มีนกในป่ามาก |
เห็นหลายหลากไปยังค่ำจำไม่ไหว |
นกยุงทองร้องเรียกกันเพรียกไพร |
บ้างอยู่หาดชายตะไคร้ตกใจบิน |
ดูช้าช้าท่าทางเปนอย่างไก่ |
ไม่ว่องไวดูสโลเมื่อโผผิน |
ยามเช้าเช้าเข้าในป่าเที่ยวหากิน |
ตามแผ่นดินกร่อมกร่อมเที่ยวด้อมเดิน |
พอแดดอ่อนร่อนราออกมาหาด |
พร้อมนางนกเดียรดาษเที่ยวเดินเหิน |
รำแพนแต้แผ่หางอย่างเพลิดเพลิน |
บ้างมุ่งเมิลมองหาอาหารกิน |
พบแมลงแย่งจิกกันจู๋จี๋ |
เล่นวารีริมท่ากระแสสินธุ์ |
แล้วแผ่หางกางปีกกระพือบิน |
เที่ยวโผผินตากขนจนแห้งดี |
บ้างหมอบยุบฟุบแฝงกอพฤกษา |
จนเวลาทินกรอ่อนแสงสี |
เที่ยวเล็มกรวดกินให้หน่วงถ่วงนาภี |
จนราตรีกลับหลังขึ้นรังรวง |
นกอื่นอื่นดื่นดาดบินกลาดกลุ้ม |
นกตะกรุมมากกระไรฝูงใหญ่หลวง |
เสียงไก่ป่าขันจ้าจับแดดวง |
มีทุกห้วงลำลหารธารนที |
นกเค้าโมงจับไม้มิใช่น้อย |
เกือบเกือบร้อยเรือใกล้ก็ไม่หนี |
นกโคกม้ามาเปนคู่สู่วารี |
บ้างจับที่กิ่งไม้ใกล้ทางจร |
เสียงดุเหว่าเร่าร้องทั้งสองฝั่ง |
ดูน่าฟังเสียงสนัดชัดอักษร |
ดูวังเวงวิเวกใจในดงดอน |
ท่านแต่ก่อนจึงมักใช้ในคำครวญ |
มะลึกตึกนึกอยากว่านิราส |
ให้บทบาทไพเราะเสนาะหวน |
แต่หักใจกลัวจะไปผิดสำนวน |
ถ้าลงครวญเปนต้องปดหมดทั้งนั้น |
ที่คิดมาดูมันท่าเท่อมะเร่อ |
จะเก้อเก้อฤๅอย่างไรกลัวไม่ขัน |
จะแง่งอนไปอย่างไรก้ไม่ทัน |
เพราะน้อยวันเต็มทีไม่มีเวลา |
ต้องหักใจเอาเปนไปอย่างใหม่แท้ |
ด้วยเปนแต่พนักงานการเลขา |
ของหนังสือนารีรมย์สมมตมา |
ให้บอกข่าวมรคาที่ครรไล |
จะครวญคร่ำทำไปอย่างไรเล่า |
สำคัญเค้าข้อความจำให้ได้ |
เพราะมิเพราะก็อยู่ในต้องใช้ |
เขียนลงไว้ตามวันให้ทันการ |
เสด็จล่องกลับมาเวลาค่ำ |
ท้องฟ้าคล้ำมนท์มัวทั่วสถาน |
เรือจอดเหนือน้ำมากหลากเพลงกาล |
เปนสถานที่ฉะเพาะเหมาะเช่นนั้น |
ควันหุงเข้าเผาปลาท้องฟ้ามืด |
ดูเปนยืดแซ่เสียงเขียงสนั่น |
บ้างตัดไม้ใส่ฟืนสุมเปนควัน |
เรียกหากันอื้ออึงคนึงไป |
ที่พลับพลายังไม่ว่าวันนี้ก่อน |
ขอผัดผ่อนขากลับประทับใหม่ |
จึงจะกล่าวกลอนแสดงใช้แจ้งใจ |
คงจะได้ทราบคดีที่ประทับ |
วันนี้อ่อนร้อนรนจนเกือบเข็ด |
ปรอทเก้าสิบเอ็ดขึ้นเสร็จสรรพ |
ยังดีกว่าก่อนมาถ้าจะนับ |
ถึงร้อยสี่มีตำหรับท่านกล่าวมา |
อนึ่งญวนลงอวนในวันนี้ |
ได้ปลาช่อนที่นี่โตหนักหนา |
หาลำบากยากเย็นเปนตำรา |
จนกล่าวมาว่าไม่มีที่น้ำทราย |
ทั้งอวนใหญ่ได้ตัวเดียวเท่านี้ |
ถึงจะมีก็มิใช่หาได้ง่าย |
แต่ปลาสบูปลากระพากมีมากมาย |
อิกอย่างย้ายไปเปนสังกระวาดวัง |
ลงอวนได้แจกไปทุกลำเรือ |
แผ่เผื่อกระบวนมาทั้งหน้าหลัง |
ความวันนี้หมดเท่านั้นไม่บิดบัง |
ขอหยุดยั้งหลับนอนผ่อนสบาย ฯ |