- คำนำ
- พระราชนิพนธ์ไดอรีซึมทราบ
- เรื่องตามเสด็จไทรโยค
- คำนำ
- ๏
- วันที่ ๑ วัน ๑ ๕ฯ ๒ ค่ำ
- วัน ๒ ๖ฯ ๒ ค่ำ
- วัน ๓ ๗ฯ ๒ ค่ำ
- วัน ๔ ๘ฯ ๒ ค่ำ
- วัน ๕ ๙ฯ ๒ ค่ำ
- วัน ๖ ๑๐ฯ ๒ ค่ำ
- วัน ๗ ๑๑ฯ ๒ ค่ำ
- วันที่ ๑ ๑๒ฯ ๒ ค่ำ
- วัน ๒ ๑๓ฯ ๒ ค่ำ
- วัน ๓ ๑๔ฯ ๒ ค่ำ
- วัน ๔ ๑๕ฯ ๒ ค่ำ
- วัน ๕ ฯ๑ ๒ ค่ำ
- วัน ๖ ฯ๒ ๒ ค่ำ
- วัน ๗ ฯ๓ ๒ ค่ำ
- วัน ๑ ฯ๔ ๒ ค่ำ
- วัน ๒ ฯ๕ ๒ ค่ำ
- วัน ๓ ฯ๖ ๒ ค่ำ
- วัน ๔ ฯ๗ ๒ ค่ำ
- วัน ๕ ฯ๘ ๒ ค่ำ
- วัน ๖ ฯ๙ ๒ ค่ำ
- วัน ๗ ฯ๑๐ ๒ ค่ำ
- วัน ๑ ฯ๑๑ ๒ ค่ำ
- วัน ๒ ฯ๑๒ ๒ ค่ำ
- วัน ๓ ฯ๑๓ ๒ ค่ำ
- วัน ๔ ฯ๑๔ ๒ ค่ำ
- วัน ๕ ฯ๑๕ ๒ ค่ำ
- วัน ๖ ๑ฯ ๓ ค่ำ
- วัน ๗ ๒ฯ ๓ ค่ำ
- วัน ๑ ๓ฯ ๓ ค่ำ
- วัน ๒ ๔ฯ ๓ ค่ำ
- วัน ๓ ๕ฯ ๓ ค่ำ
- วัน ๔ ๖ฯ ๓ ค่ำ
- วัน ๕ ๗ฯ ๓ ค่ำ
- วัน ๖ ๘ฯ ๓ ค่ำ
วัน ๔ ฯ๗ ๒ ค่ำ
วัน ๔ ๗ฯ ๒ ค่ำ
๏ จวนโมงหนึ่งจึงออกเรือที่นั่ง | จากหาดวังใหญ่ในวิถี |
เขาแดนขวางตามทางที่จรลี | ส่วนคิรีช้างอ้วนทวนมาตาม |
เรี่ยววังโพผาโตตั้งสกัด | ลายน้ำพัดไหลเชี่ยวต้องเที่ยวข้าม |
พอพ้นตื้นตกวังดังออกนาม | เกาะเล็กงามพอใช้ใกล้ฝั่งชล |
เลี้ยวหาดวงตรงขึ้นไปถึงแก่ง | น้ำเชี่ยวแรงชื่อย้ำซ้ำกันป่น |
ศิลารายฝ่ายประจิมประจวบจน | เกาะตอนบนริมฝั่งไม่ตั้งไกล |
ศิลาสุมอยู่ในน้ำแล้วซ้ำเกาะ | ตั้งฉะเพาะช่องหว่างทางชลไหล |
เรี่ยวปลัดทับตองต้องทวนไป | เลี้ยวครรไลตวันตกทางวกเวียน |
พอตกคุ้งคลองกุ้งอยู่ฝั่งเหนือ | มีน้ำเรือไปได้ใกล้เฉนียน |
แก่งปลัดทับตองชื่อพ้องเลียน | เขาเขียวเวียนไปอยู่หน้านาวาตรง |
พอพ้นแก่งแหล่งนี้ศิลาสุม | ดูเปนกลุ่มเกาะเล็กเล็กละลานหลง |
ที่หัวแหลมน้ำเชี่ยวเดินเลี้ยววง | ถึงย่านพงวังกรวดมีศิลา |
ก้อนใหญ่ใหญ่ในน้ำก็มีสุม | แลชอุ่มตรงชวากข้างฟากขวา |
เปนน้ำเก่าเข้าไปตันหมดมรรคา | ทางไคลคลาหาดตะไคร้ต่อไปยาว |
ไปคุ้งหนึ่งถึงที่ศิลาสุม | เห็นตะคุ่มล้วนตะไคร้จับไม่ขาว |
ห้วยทับตองคลองแห้งแจ้งเรื่องราว | เขาแหลมเก้าสกัดมาอยู่หน้าเรือ |
เขาช้างอ้วนทวนไปอยู่ข้างหลังเล่า | เกาะลำเนาหินคันนาน่ารักเหลือ |
แลเห็นเขาท่าตกั่วมาถัวเจือ | ดูไม่เบื่อภูมิประเทศเขตรคิรี |
ศิลาโตโผล่ชโงกลงในน้ำ | เหมือนจะขว้ำทับทางหว่างวิถี |
ล้วนไม้ใหญ่ในพนัสพนาลี | เปลี่ยนท่วงทีมิใคร่เห็นเปนทุ่งพง |
มยุราร่ำร้องเสียงก้องกึก | ไม้ลึกลึกลอยล่องร้องโต๊งห่ง |
เสียงก๊อกก๊อกขานกันสนั่นดง | เห็นเรือตรงชะเง้อหน้าออกมาดู |
เรือหน้าไปเขาได้เห็นอยู่ริมหาด | ไม่ขามขลาดขัดสนด้วยคนผู้ |
แต่เชี่ยวชาญการหัดสันทัดครู | สดับแตรแต้ตู๊ตู๋เดินกระบวน |
ไม่รอรั้งฟังบังคับอันสิทธิขาด | ขึ้นจากหาดโผผินบินโดยด่วน |
ส่งแต่เสียงไว้อาไลยใจรัญจวน | บ้างรีรวนไว้อาไลยจับไม้เมียง |
พ้นหาดทรายชายตะไคร้ไปเต็มคุ้ง | เห็นไขว่ยุ่งเรือแพออกแซ่เสียง |
ถึงท้ายแก่งสารวัดจัดลำเลียง | ต่างมุ่งเมียงคอยขยับจับเชือกพวน |
การขึ้นแก่งคราวนี้จัดดีนัก | จับเชือกชักขนไปไม่ก้าวสวน |
พระชลยุทธหยุดลงส่งกระบวน | ดูตามควรเข็นลากไม่ยากใจ |
มาคราวก่อนอ่อนใจในเรื่องแก่ง | แต่ละแห่งเรือจะแหลกแตกให้ได้ |
คนหัวเมืองเงอะงะเซอะซะไป | ทั้งน้ำในนทีก็มีน้อย |
ที่นั่งเหลืองเขื่องหนักประดักประเดิด | เลยเตลิดลอยไหลไปบ่อยบ่อย |
ต้องมีคนลงน้ำประจำคอย | เข็นทอยทอยไปตามเรี่ยวที่เชี่ยวโชน |
คราวสระบุรีค่อยดีหน่อย | แต่น้ำน้อยขึ้นแก่งแรงผาดโผน |
เรือลำใดไม่มีพ้นที่โดน | ลากกระโจนบนศิลานาวายับ |
มาคราวนี้ดีเหมือนไม่มีแก่ง | ทั่วทุกแห่งเชือกปอพอเสร็จสรรพ |
ไม่เซงแซ่แม่การคอยบังคับ | จนนอนหลับไม่รู้สึกจะนึกกลัว |
ที่แก่งนี้นับเปนที่ซึ่งคับขัน | เคยกลัวกันมาแต่เก่าเขาสั่นหัว |
เปนสองช่องร่องใต้ไปหักตัว | ศิลาทั่วที่ตามหว่างทางเรือเดิน |
เกาะน้อยน้อยลอยเด่นศิลาดาด | จับเปนหาดตื้นถนัดคอยขัดเขิน |
สายธารามาเปนเกลียวเชี่ยวเหลือเกิน | แม้เผินเผินแล้วก็พะปะศิลา |
เปนดานขวางทางฝั่งเห็นฟองขาว | จับเชือกสาวมาริมหาดคอยวาดหน้า |
ถูกสายน้ำจำเพาะประทะมา | ต้องคนคร่าหัวไว้ให้หน้าตรง |
พอพ้นแก่งคุ้งหนึ่งไปถึงห้วย | ชื่อเดียวด้วยกันตามความประสงค์ |
เปนสถานบ้านพวกกะเหรี่ยงดง | เห็นเขาทรงสูงสง่าข้างหน้าไป |
ชื่อภูแซงแจ้งนามที่ถามเขา | มีหาดเก่าแลชวากหามากไม่ |
ที่ริมน้ำซ้ำมีศิลาไลย | คลองแสงใหญ่ฝั่งเหนือเรือผ่านมา |
บ้านกะเหรี่ยงเรียงไปในไพรกว้าง | ศิลาข้างฝั่งรำไรไม่ใคร่หนา |
ถึงภาราท่าตะกั่วเศกสมญา | แต่บ้านป่าเรือนไพรก็ไม่มี |
ต้นงิ้วใหญ่ได้เปนที่เจ้าท่า | ฝูงเสนานั้นมะขามสามต้นถี่ |
ต้นมะพร้าวกับขนุนขุนมนตรี | มะม่วงที่ท่านเจ้าเมืองต้นเขื่องครัน |
ระยะนี้ที่ประพาสเกิดขึ้นใหม่ | พึ่งทราบในราตรีดีขยัน |
เขากระแตตวันออกนอกไปนั้น | ทางผายผันไม่สู้ไกลไปสบาย |
เดิมอยู่ดีมีธารธาราพุ | เขาประทุแตกล้มถล่มถลาย |
ศิลาย่อยลอยกระเด็นมามากมาย | เปนมอคล้ายนาคราชประหลาดตา |
จำนวนกะระยะทางวางไว้สั้น | พอผ่อนผันเพิ่มใหม่ไม่หนักหนา |
กรมพระกะเสร็จเสด็จคลา | ไปจัดท่าทางครรไลไปเขาพัง |
เรือที่นั่งถึงเวลาห้าโมงถ้วน | คอยกระบวนนาวามาข้างหลัง |
ตพานน้ำยังทำกันตึงตัง | จอดฉะเพาะเรือที่นั่งได้ลำเดียว |
สมเด็จกรมพระเสด็จมา | ทูลระยะมรคาในป่าเปลี่ยว |
ทั้งเชิงชั้นบรรพตที่ลดเลี้ยว | ตามที่เสด็จเที่ยวไปตรวจการ |
ทั้งดอกดวงมาลีสีต่างต่าง | ตัวอย่างหญ้าผลไม้ในไพรสาณฑ์ |
ทั้งศิลาที่ทลายแจ้งรายงาน | เปนสถานควรทอดทัศนา |
พอเช้าห้าโมงครึ่งเรือถึงเสร็จ | ตามเสด็จห้อมล้อมไปพร้อมหน้า |
พวกทหารแลตำรวจกองตรวจตรา | นำมรคาเบื้องหลังจึงข้างใน |
ขึ้นมาทางข้างตลิ่งที่ตัดลาด | ยุรยาตรมรคาเปนป่าใหญ่ |
ทางย่อมย่อมอ้อมวงไม่ตรงไป | เปนแต่ถากถางไว้พอให้เตียน |
ทางแรกมาสุริยาไม่แผดเผา | แต่ร้อนเร่ายิ่งยวดชวนปวดเศียร |
ลมไม่เป่ามาสักฉิวหวิววิงเวียน | สู้พากเพียรเยื้องย่างตามทางจร |
ทางต่อไปไม่เสงเครงเล็งแลโปร่ง | ดูใบโหรงร้อนยิ่งขึ้นกว่าก่อน |
เรียกป่าแสเดินสุ่มขึ้นหลุมดอน | ประสบก้อนศิลามารายราย |
ไปหน่อยหนึ่งถึงทางข้างธารใหญ่ | เลียบครรไลแล้วจึงลัดตัดผันผาย |
มรคาเปนศิลาปนกับทราย | หินกระจายมาถึงกว่าครึ่งทาง |
ดอกไม้ป่าต่างสีมีดื่นดาษ | ล้วนประหลาดหลากตาสี่ห้าอย่าง |
ที่ดอกม่วงพวงใหญ่อยู่ใกล้ทาง | ดูเหมือนอย่างไม้ฝรั่งช่างน่ารัก |
ที่ดอกเหลืองเรืองรองเหมือนทองทาบ | คล้ายอังกาบกลีบก้านบานเปนจัก |
ที่ดอกแดงแกล้งล่ออยู่ต่อพักตร์ | ชิงกันหักใครไม่ได้ใจรอนรอน |
ที่เปนเถาเค้าคล้ายผักทอดยอด | มีตลอดตามทางกลีบบางอ่อน |
สีต่างต่างอย่างมาแต่ลอนดอน | เรียกคอนวอลวูลัศชัดจริงเจียว |
ลูกขุยไผ่ใบชิดสนิทแน่น | ทึบเปนแผ่นขึ้นอยู่ตามหมู่เขียว |
เหมือนไผ่ใหญ่ไม่ผิดสักนิดเดียว | เดินลดเลี้ยวตามละเมาะเช่นเกาะเกียน |
ไปสักสามสิบเส้นเปนที่แจ้ง | เหมือนคนแกล้งคิดคาดเดาวาดเขียน |
พื้นเปนดินทรายราบดังปราบเตียน | คล้ายล้อเลียนเขามอก่อกลางแปลง |
เปนหย่อมย่านชานห่างบ้างก็ชิด | ไม่พินิจแล้วเห็นเหมือนเซ่นแกล้ง |
มาชลอลากดัดช่วยจัดแจง | คิดเติมแต่งตั้งไว้จะให้ดู |
ต่อเข้าใกล้จึงได้เห็นเปนรอยแยก | คือเขาแตกตกพังมาทั้งหมู่ |
บ้างตะแคงคว่ำหงายกลายกลับพู | บ้างเปนภู่น้ำหยัดซัดลอยมา |
ยังอ่อนอ่อนรอนขาดเที่ยวกลาดกลิ้ง | บ้างทอดอิงเอนขวางข้างก้อนผา |
ที่ก้อนใหญ่สูงได้เกือบสามวา | ย่อมลงมากว่านั้นอนันต์เนือง |
ต้นไม้ใหญ่ที่ประไลยด้วยภูผา | สูงเก้าวาสิบวาอเนกเนื่อง |
ถึงลำต้นโตใหญ่ไม่ประเทือง | รากกระเดื่องดังกระชากจากดินดอน |
ต้นไม้ใหญ่จนไม่มีในที่นั้น | เหลือแต่พรรค์เกิดใหม่ไม้อ่อนอ่อน |
กำลังเที่ยงเปรี้ยงแสงทินกร | เหมือนจะจรไปไม่ไหวหายใจรวน |
ต้องขึ้นเทินเนินไศลในละหาน | เหมือนลำธารเก่ารฦกนึกสอบสวน |
ศิลาปูนคราบวารีสีแดงนวน | รอยปั่นป่วนเห็นลม้ายสายธารา |
แต่เปนทางกว้างใหญ่มิใช่เล่น | ที่กัดเปนร่องขุมชุมนักหนา |
แต่วารีที่ยังมีไหลลงมา | ถึงวัสสากลัวจะไม่ใคร่มีพอ |
ฤๅเดิมที่นี้เปนถ้ำรับน้ำกั้น | แบ่งไหลลั่นลงธารเหมือนอย่างท่อ |
อุทกมากปากถ้ำน้ำท้นออ | ลมลั่นยอเขาประทุทลุทลาย |
ทางวารีที่เดี๋ยวนี้มีอยู่นั้น | ดูเล็กครันสั้นนิดเดินผิดสาย |
กัดเปนร่องเหมือนลำรางไปข้างซ้าย | ต้องก้มกายลงไปมองดูท้องธาร |
ที่ที่สุดทางกลางเนินเทินบรรพต | เห็นปรากฎที่ตรงแยกเขาแตกฉาน |
สูงสักแปดวาถ้วนควรประมาณ | ยาวสัณฐานคดค้อมอ้อมเปนวง |
โดยยาวราวห้าเส้นเปนอย่างยิ่ง | เหมือนตลิ่งพังพินิจพิศวง |
ดูเปนดินเหลืองเหลืองเบื้องบนตรง | ไม่ลาดลงไปเปนหย่อมจอมคิรี |
รอยธารามาลงคงแปดสาย | แต่แห้งหายไปเสียห้าหน้าแล้งนี่ |
นับแต่ทิศใต้มาตราบาญชี | เปนพุที่ไม่มีน้ำสามตำบล |
พุที่สี่มีตกกว้างหกศอก | ดูย้อนยอกคราบผามาหลายหน |
ตกสูงถึงแปดวาพอน่ายล | ที่ห้าหกแห้งชลเช่นต้นมา |
ที่เจ็ดมีวารีอยู่ริมซอก | กว้างสักศอกพร่างพร้อยน้อยนักหนา |
สูงจากพื้นขึ้นไปสักสี่วา | ไม่เสาะหาเกือบไม่เห็นเปนท่อธาร |
พุที่แปดต้องขึ้นไปบนไหล่เขา | โดยลำเนาทิศเหนือเหลือวิถาร |
พอไปได้ไม่สู้จะกันดาร | เดินในลำห้วยละหานเห็นแต่ไกล |
เปนน้ำพร่าบ่ารอบเหลี่ยมผา | เปนชั้นชั้นกันลงมาน้อยแลใหญ่ |
อ่างย่อมย่อมล้อมเรียงกันขึ้นไป | ดูข่างล่างกว้างได้สิบห้าวา |
เรียงขึ้นไปในกระบวนข้างสูงนั้น | จนถึงชั้นสูงสามสิบวากว่า |
ผู้ที่ไปภายหลังเขาเจรจา | ว่าบนยอดภูผาเปนลำราง |
เดินพื้นราบเรื่อยไปได้ไกลมาก | เดินไม่ยากแต่วิบัติเกิดขัดขวาง |
เพราะไปกลัววัวป่ามาขวางทาง | ว่าเหมือนธารเกาะช้างไม่ไกลกัน |
เสด็จไปได้เกือบจะถึงพื้น | แต่ทางลื่นใครอ่อนสุดผ่อนผัน |
ทินกรร้อนกล้ากว่าทุกวัน | ทางเพียงนั้นเปนจำกัดที่ตัดไป |
ถึงประทับต้นธารที่หน้าพุ | ดั้นดุฝอยกระเซนทั้งเย็นใส |
พระพายพัดรวยรื่นชื่นฤไทย | ร้อนภายในยังไม่วายกระหายน้ำ |
ประทานโอครอบกาสุธารส | มาตักซดเย็นเรื่อยชื่นเฉื่อยฉ่ำ |
พอสิ้นร้อนผ่อนสบายวายระกำ | ชมมัจฉาคลาคล่ำในลำธาร |
ตัวน้อยน้อยลอยเล่นว่ายเปนหมู่ | มีทั้งปูคลาคล่ำลำละหาน |
กุ้งกระโดดดังเปาะบ้างเกาะคลาน | ดูพัวพ่านว่ายวนปะปนกัน |
ที่แถวธารก้านกิ่งใบพฤกษา | ไคลน้ำเกาะเปนศิลาดูน่าขัน |
สิ่งอันใดก็ยังเห็นอยู่เช่นนั้น | จนสุริยันเยื้องชายได้บ่ายโมง |
เสด็จกลับทางเดิมเดินเสียอ่อน | ด้วยเรื่องร้อนเหลือร้อนเพราะทางโถง |
ถึงที่ตามหมู่ไผ่ไปเปนโพรง | ใบก็โปร่งร่วงแล้งแห้งโกรนเกรน |
อันเขานี้อยู่ดีดีไม่มีเหตุ | สองปีเศษประทุใหญ่เขาได้เห็น |
ระยะทางตั้งแต่ท่านั้นว่าเปน | หกสิบเส้นถ้วนถ้วนจำนวนมี |
เดินขึ้นไปในสี่สิบห้ามินิต | ที่กลับผิดกันนักหนามาถึงที่ |
นับสอบถามสามสิบเศษนาฑี | เปนวิถีต่ำดาดลาดลงมา |
พอถึงเรือเหื่อโทรมชโลมไหล | ร้อนยิ่งใหญ่กับเมื่อเดินเกินนักหนา |
ดูวาบวาบอาบทั่วทั้งกายา | อยากใคร่โดดธาราให้สาใจ |
รับสั่งห้ามปรามมิให้ใครสนาน | กำลังร้อนเกินกาลจะเกิดไข้ |
บ่ายสองโมงเคลื่อนกระบวนทวนขึ้นไป | ดำเนินในท้องคุ้งมุ่งทางตรง |
ศิลาสุมมุมตวันตกเฉียงเหนือ | ตรงหน้าเรือเขาพุนดังหนุนส่ง |
ไปหน่อยหนึ่งถึงเกาะตะไคร้พง | แล้วข้ามคงเรี่ยวแทงไม่แรงนัก |
ไปสามคุ้งสั้นสั้นพลันถึงหาด | พ้นกรวดกลาดวังกระแจะชื่อประจักษ์ |
ที่พลับพลาประทับร้อนหยุดผ่อนพัก | หยุดสำนักสนานองค์สรงวารี |
พอสำเร็จเสด็จกลับเรือที่นั่ง | แจวผาดผังตามทางหว่างวิถี |
ข้างหน้าจ้องมองเขม้นเห็นคีรี | นามก็มีออกอ้างเหมือนอย่างวัง |
ยังมีห้วยด้วยทั้งเกาะน้ำเซาะเชี่ยว | เรียกห้วยเรี่ยววังกระแจะจวบชื่อหลัง |
เบื้องหน้าแซงภูผามาตั้งบัง | ศิลาพรุนริมฝั่งตั้งเรียงราย |
หาดตะไคร้ชายเฟือยเรื่อยไปเกาะ | เรี่ยวฉะเพาะตรงแควกระแสสาย |
พอพ้นเรี่ยวเชี่ยวปราดถึงหาดทราย | เขาพุนย้ายยักมาอยู่หน้าเรือ |
เกาะกว้างใหญ่เรือไปได้สองข้าง | ถึงแก่งวางวายแจะเรียกจนเบื่อ |
ยังซ้ำวังต่อไปใช้ชื่อเจือ | ศิลาเพรื่อไปตามข้างหนทางจร |
ไปคุ้งหนึ่งถึงแก่งค่ายสเบียง | ทางลำเลียงโยธามาแต่ก่อน |
บังเกิดเกาะศิลาขวางกลางเปนดอน | ศิลาก้อนรายระดะระลงไป |
น้ำเชี่ยวชนวนกระทบที่หน้าผา | เสียงฉานฉ่าแดกดันแล้วลั่นไหล |
บ้านกะเหรี่ยงเรียงตั้งอยู่ข้างใน | เขาพุงช้างชื่อไศลอยู่ไกลตา |
ศิลารายชายฝั่งทั้งเปนเกาะ | มีฉะเพาะก้อนหนึ่งขึงนักหนา |
เกาะกรวดใหญ่ใช้นามตามเรื่องมา | แก่งธารานั้นก็เปนชื่อเช่นกัน |
อิกคุ้งหนึ่งถึงชวากวังแดกงา | มีศิลาก้อนโตโผล่อยู่นั่น |
รอยอุทกหลากเซาะเราะเปนชั้น | ถัดจากนั้นลำห้วยด้วยอิกที |
ศิลารายชายน้ำเปนแนวเนื่อง | แลเห็นเรื่องเขาพุงช้างขวางวิถี |
ข้างเบื้องหลังเขาพุนขุนคิรี | ต่อไปมีน้ำเชี่ยวเรี่ยวธารา |
เกาะตะไคร้ใกล้ฝั่งอิกทั้งหาด | กรวดเกลื่อนกลาดดาศรายชายฝั่งขวา |
ถึงวังใหญ่รุ้งกว้างทางบุรพา | มีศิลาริมน้ำรายรำไร |
เดินผ่านเรี่ยวเลี้ยวไปอิกคุ้งหนึ่ง | ก็ลุถึงพระระเบิดเปิดแก่งไข |
ไม่แจ้งว่าพระจะหมายเอาองค์ใด | เปิดไศลให้เปนช่องคลองไปมา |
เปนแก่งยาวยืดใหญ่ไปทั้งแหลม | ล้วนแซกแซมซับซ้อนด้วยก้อนผา |
ถัดแก่งไปใกล้ฝั่งก้อนศิลา | ดาษดาเรียงรายชายนที |
ส่วนเขาพุนเขาพุงช้างบางคาบหาย | ก่อนนี้ย้ายมาตั้งง้ำประจำที่ |
เพราะลดเลี้ยวเจียวยังเปนได้เช่นนี้ | ใช่กล่าวถี่ซ้ำซากให้มากกลอน |
อิกสองคุ้งมุ่งตามาฉะเพาะ | ก็ถึงเกาะหินดาดลาดทรายอ่อน |
ต้นกุ่มมากหลากทั้งปวงที่ล่วงจร | ขอบฝั่งเห็นเปนศิงขรทั้งแท่งบัง |
สีมอมอต่อมาก็มีหิน | ที่บนดินรายรอบเปนขอบฝั่ง |
ท้องนทีมีเรี่ยวโชนเชี่ยวดัง | เพราะกระทั่งกระทบท่อนก้อนศิลา |
บางแห่งเห็นน้ำวนท้นถอยหลัง | ในพื้นวังเปนชง่อนล้วนก้อนผา |
บ้างเปนโพรงโปร่งไปได้ทัศนา | ต่างต่างท่าตลอดไปไต้ทั้งคุ้ง |
ตอนต่อมานั้นศิลาเปนตัวฝั่ง | อุทกหลั่งไหลลงตรงพลุ่งพลุ่ง |
กระทบน้ำซ้ำกระเซนฝอยฟุ้ง | ฉันมองมุ่งเห็นแต่ไกลมิได้ยั้ง |
ถัดนั้นไปเปนไศลตลอดยืด | เต็มเปนพืดสูงสอบแทนขอบฝั่ง |
บ้างชโงกแง่ง้ำเกินกำลัง | มีเกาะตั้งอยู่ตรงหน้าท่าทำลาย |
ฝั่งประจิมริมวารีศิลาใหญ่ | กระจายไปลอยแยกแตกสลาย |
กว้างขึ้นไปถึงตลิ่งทิ้งกระจาย | ประมาณหมายอยู่ว่าที่สักสี่วา |
เปนเหลี่ยมเหลี่ยมบางแห่งก็แหว่งเว้า | เหมือนไฟเผาเหลี่ยมไม่กลมคมนักหนา |
เพราะต้องสายน้ำกัดอยู่อัตรา | เปนศิลาปูนอ่อนกร่อนทุกปี |
เปนที่เกิดบ่อน้ำร้อนขจรข่าว | จะไว้กล่าวต่อเมื่อได้ไปถึงที่ |
จะละลัดตัดบทจดคดี | ถึงคิรีท้องช้างอย่างที่ไป |
ตำบลนี้มีชื่อฦๅกระฉ่อน | แต่ปางก่อนร้อยปีมานี้ได้ |
มีพระราชนิพนธ์จอมไผท | ทรงชมไว้เช่นนี้ที่ได้ยล |
“มาทางพลางแสนคนึงหา | ไนยนาแลลับไพรสณฑ์ |
ยิ่งแดดาลร่อนร้อนทุรนทน | จึงลุดลเขาท้องไอยรารมย์ |
เปนช่องชั้นเชิงผาศิลาลาด | รุกขชาติรื่นรวยสวยสม |
ไพจิตรพิศพรรณอยู่น่าชม | ลมพัดพากลิ่นสุมาลย์มา |
มีท่อธารน้ำพุดุดั้น | ตลอดลั่นไหลลงแต่ยอดผา |
เปนโปล่งปล่องช่องชั้นบรรพตา | เซนซ่าดังสายสุหร่ายริน |
บ้างเปนท่อแถวทางหว่างบรรพต | เลี้ยวลดไหลมาไม่รู้สิ้น |
น้ำใสไหลซอกศีขริน | แสนถวิลถึงสวาทไม่คลาศคลา |
เกษมสุขสุขสานต์สำราญเริง | บรรเทิงจิตต์พิศวงหรรษา |
ชลอได้คิดจะใคร่ชลอมา | ให้เปนที่ผาสุกทุกนางใน |
คิดเคยเมื่อเคยไปสรงสนาน | สุธาธารทิพรสสดใส |
อันหอมหวนอวลอบสุมาไลย | มาร้างไร้สุคนธกำจร |
เจ้าเคยถวายภูษาสุธาสรง | อันบรรจงทิพรสเกสร |
เคยไพบูลย์ด้วยดรุณนิกร | ทีนี้มาจำจรอยู่เอกา” |
ฉับใจเต้นจะใคร่เห็นให้ทันอยาก | เรือขึ้นเรี่ยวเชี่ยวลำบากยากนักหนา |
พอรับสั่งเรียกที่นั่งคอนโดลา | สมวิญญาอย่างหวังได้ตั้งใจ |
แจวขึ้นมาหน้ากระบวนทวนกระแส | เขม่นแดดวงสั่นให้หวันไหว |
มุ่งฝั่งขวาตาจับลำดับไป | เห็นไศลรอยพังตั้งเอนเอียง |
แต่ล้วนก้อนใหญ่ใหญ่มิใช่เล่น | ร้าวหรอเปนร่องไปไม่มีเกลี้ยง |
ฝั่งเปนแง่ชง่อนผามาพอเพียง | รอยน้ำตกรายเรียงเคียงติดกัน |
แต่ไม่มีวารีเลยสักแห่ง | เห็นคราบแขงคาดได้เข้าใจมั่น |
เมื่อหน้าฝนน้ำป่าบ่ามานั้น | คงไหลหลากมากครันบรรพตนี้ |
ถึงหัวแหลมข้ามละหานตพานเชือก | ปูพื้นเรือกราวขึงตึงได้ที่ |
ต้องลอดช่องท้องตพานผ่านนที | ถึงคิรีท้องช้างอ่างธารา |
ประทับทอดจอดแคร่แพหน้าเขา | ทึ่งไม่เบาแหงนชแง้แลหน้าผา |
ดูชันตั้งเหมือนผนังสักหกวา | เงื้อมออกมาเปนชโงกโกรกแต่บน |
วารีซาบอาบแพร่แผ่เปนสาย | ดูพรูพรายพรำพร่างเหมือนอย่างฝน |
ตกเต็มแอ่งแบ่งลั่นถั่นเท้อท้น | ก็เลยล้นหลั่งตรงลงนที |
แต่เพิงผาลงมาถึงอ่างสนาน | ล้วนเฟินก้านดำหมดดูสดสี |
แน่นหน้าผาเหมือนหนึ่งผ้าพื้นขจี | ไปคลายคลี่คลุมจัดจรัสดวง |
บ้างก้านกลับทับแพลงเหมือนแกล้งวาด | ลายกระดาษดูอย่างจากช่างหลวง |
แม้เพิ่มช่อบุบผาผกาพวง | จะเลิศล่วงแบบประดิษฐ์งามติดตา |
ที่เหลี่ยมในไปข้างทางหลังถ้ำ | เปนทางน้ำตกมาจากซอกผา |
เหมือนปากรางอย่างแรงแพร่งพรายมา | กระทบกระท้อนชง่อนหน้าซ่ากระจาย |
แล้วลั่นลงตรงหว่างข้างแอ่งใหญ่ | บ้างตกในอ่างร่องฟ่องฟูสาย |
วารีขังหยั่งตื้นยืนสบาย | พ้นเปนทรายน้ำสอาดปราศมลทิน |
ตัวอ่างนี้รีมาหน้าคูหา | จะปรารถนาอาบอย่างไรก็ได้สิ้น |
จะสระเกล้าเข้าไปตรงวารีริน | สมถวิลไม่ต้องพักวักลูบไล้ |
แม้สงวนเกศามาเสียห่าง | อยู่ต้นทางข้างมุขชุ่มแช่ได้ |
ตามขอบอ่างทางจรัลชั้นนอกใน | แต่ล้วนไผ่หนูรายคล้ายเขามอ |
เขาสับคั่นเปนบันไดบ้างใช้แคร่ | ที่ชันแท้ก็ต้องใช้บันไดต่อ |
เดินขึ้นลงตรงง่ายสบายพอ | เหมือนจะล่อให้ยิ่งหลงเที่ยววงเวียน |
หลังอ่างใหญ่ขึ้นไปเปนคูหา | จะลีลาเข้าไปได้ไม่กระเษียณ |
มีแอ่งน้ำใสสอาดแผ้วกวาดเตียน | เดินวนเวียนหลายช่องเปนปล่องทาง |
มีพวงภู่ดูระกะระยะห้อย | วารีย้อยหยัดพรำเหมือนถ้ำกว้าง |
ต้องก้มกายปรายปรีดถูกปฤษฎางค์ | เหมือนน้ำค้างสาดกระเซนเย็นอุรา |
ออกจากถ้ำดำเนินตามทางน้อย | ดูล่องลอยเลียบคว้างอย่างเยียงผา |
ขึ้นสู่ปล่องช่องโปร่งโพรงธารา | ที่ไหลมาลงอ่างข้างท้ายน้ำ |
ดูลึกมากหากจะเดินเห็นเกินหัว | น้ำไม่ทั่วมีแต่ไม้ใบพฤกษ์คล่ำ |
จึงแหวะรางทางอุทกให้ตกซ้ำ | แต่กว่าน้ำจะเต็มได้คงไม่ทัน |
ปล่องวารีมีตพานไม้ไผ่ทอด | เดินทลุขึ้นถึงยอดลอดผายผัน |
เปนพื้นราบปราบรื่นแต่ชื้นครัน | ขึ้นบนนั้นแล้วได้ยลต้นน้ำมา |
เปนลำรางกว้างสักศอกเหมือนหลอกเล่น | ควรฤๅเปนพุใหญ่ได้หนักหนา |
ต้นสักคืบหนึ่งเศษเศษสังเกตตา | คดเคี้ยวมาสองทางไม่ห่างกัน |
ทางหนึ่งลงตรงที่มีน้ำตก | ทางหนึ่งวกไปตรงช่องเปนปล่องนั่น |
ปลายไปรวมลงที่มีวารีนั้น | เข้ากรุกั้นด้านหลังกำบังไว้ |
รับสั่งว่าเสด็จมาเมื่อคราวก่อน | บทจรตามทางหว่างร่มไผ่ |
สักสิบเส้นเปนสามแยกออกไป | วารีไหลมากับพื้นตื้นเช่นนี้ |
ดูแคบแคบกว้างกว้างหลายทางทอด | บางแห่งคอดเข้าไปจนไหลปรี่ |
มีรากใบพฤกษาในวารี | ล้วนไคลจับแขงดีเปนศีลา |
ที่ต้นน้ำจำเพาะมาผุดพลั่ง | ไหลหลั่งล้นออกจากซอกผา |
ไม่เห็นที่ซึ่งกำเนิดเกิดน้ำมา | ไม่น่าทอดทัศนาในที่นั้น |
ในคราวนี้ว่าวารีน้อยกว่าเก่า | ตอนล่างเค้าวิปริตผิดแผกผัน |
อันอ่างใหญ่ที่ตรงหน้าลงมานั้น | สายน้ำปั่นปัดฝั่งพังทลาย |
ชั้นที่สองรองขึ้นไปไม่มีพื้น | ก็พลอยลื่นหล่นแตกแยกสลาย |
ยังค้างฝั่งตั้งเห็นเปนแยบคาย | คราบน้ำหงายผิดทีมีสำคัญ |
ที่ตอนบนยลยังเห็นเช่นแต่ก่อน | แต่น้ำอ่อนไปกว่าเก่าจำเค้ามั่น |
จะเปนแต่บางปีมีเช่นนั้น | ฤๅบิดผันไปอย่างไรไม่แจ้งชัด |
เทียบโดยตาแต่ที่มาทั้งสองเที่ยว | ค่อนข้างเรียวฤๅอย่างไรไม่ถนัด |
สงสัยว่าทางมาเมื่อน้ำพัด | กรวดทรายขัดขวางช่องปล่องลำธาร |
ทางอื่นอ่อนผ่อนไหลไปเสียมาก | ยังกระดากอยู่ไม่กล้าจะว่าขาน |
กลัวจะเปนชาไปใจรำคาญ | เคยว่าท่านเห็นมนษย์ซุดเรียวลง |
แต่ถ้าเปนเช่นนี้หมือนที่คาด | ก็ประหลาดควรคิดพิศวง |
คราวนิราศเมื่อพระบาทประถมวงศ์ | เสร็จสรงคงจะดีกว่านี้ครัน |
จึงฉะเพาะเจาะจงทรงสรรเสริญ | ไว้มากเกินกว่าที่ไหนในไพรสัณฑ์ |
คงเปลี่ยนไปไม่เหมือนเมื่อครั้งนั้น | ทั้งเชิงชั้นที่ท่าสายวารี |
แม้สืบไปภายหน้าช้าอิกหน่อย | จะยิ่งน้อยถอยลงไปกว่านี้ |
คิดเวลาดูอิกห้าหกสิบปี | จะไม่มีใครพร้องถึงท้องช้าง |
ฉันเพ้อพูดไปเปนกองต้องถอยกลับ | ถึงเยินยับก็ยังงามเปนยิ่งอย่าง |
เสด็จสรงทรงเครื่องพระสำอาง | แต่ส่วนข้างในวันนี้มีบางคน |
อันวารีนี้ก็ดูใสสอาด | แต่กร่อยฝาดไม่เย็นทุกเส้นขน |
ผิดพุทางข้างทเลเล่ห์ระคน | ใบไม้ปนปูนซาบอาบเหนียวกาย |
ครั้นสรงเสร็จเสด็จจากฟากท้องช้าง | กลับโดยทางท้องสนานผ่านผันผาย |
มีเรือกทอดเปนทางกว้างสบาย | แยกข้างซ้ายไปบรรลุพุน้ำร้อน |
กั้นรั้วค่ายรายอ้อมล้อมเข้าไว้ | เปนข้างในไม่เหมือนกับแต่ก่อน |
จึงเสด็จเลี้ยวลดบทจร | สู่ศิงขรตรงช่องที่ปล่องธาร |
ศิลาอิงพิงกันอยู่สองก้อน | สายน้ำร้อนไม่มีไฟหลั่งไหลพล่าน |
กระพักน้อยย้อยเปนเหมือนเช่นชาน | ดูสอ้านสอาดใสไหลรินริน |
แล้วลงรางท่าทางทำนองห้วย | ก็ร้อนด้วยควันพลั่งไปทั้งถิ่น |
แลเปนกรอกซอกไศลไม่มีดิน | ศิลาวิ่นแหว่งว่างทางธารา |
เปิดเปนช่องห้องนอกไปอิกชั้น | ก็มีควันหน่อยหน่อยแต่น้อยกว่า |
ตักขึ้นเต็มขันทองลองใบชา | ก็แดงจ้าใบคลี่ได้ที่ทาง |
เอาไข่ไก่ลงไปลองที่ช่องกระพัก | ไม่ช้านักหยิบขึ้นมาเกือบปาขว้าง |
ต่อยเปลือกนอกออกเห็นในเปนยาง | เกือบได้อย่างกินเช้าเช้าขาวเปนใย |
แต่ไฉนไม่มีกลิ่นกำมถัน | หาเหมือนกันกับที่บางพระไม่ |
ชรอยร้อนโดยปูนประจักษ์ใจ | สังเกตในกลิ่นรสปรากฎมี |
แต่รสกร่อยน้อยกว่าพุท้องช้าง | ถ้าคนอย่างกินง่ายไม่จู้จี้ |
ได้ลองถามแจ้งความว่าจืดดี | เปนที่ตื่นกันมากอยากตักตวง |
เห็นเปนขลังกันอย่างไรก็ไม่ทราบ | ทั้งกินอาบตักไปกันใหญ่หลวง |
บ้างก็เห็นเปนศักดิ์สิทธิ์คิดบำบวง | ใครจะลวงกันไฉนไม่ทราบความ |
ออกจากนั้นจรจรัลตามเรือกดาด | มาถึงหาดตรงพุท้องช้างข้าม |
ที่บนฝั่งตั้งพลับพลาสง่างาม | ประทับยามราตรีเห็นที่พุ |
จุดอัคคีมีแสงสว่างฟู่ | เสียงซ่าซู่น้ำสนั่นไหลดั้นดุ |
ดูรุ่งโรจน์โชติช่วงดังดวงพลุ | จนนึกมุอยากจะใคร่ไปกลางคืน |
โคมกระดาษอย่างดีสีต่างต่าง | แขวนตามข้างตพานลาดดูดาษดื่น |
ตามพฤกษาห้อยสล้างสว่างพื้น | ดูระรื่นแลโล่งโปร่งอารมณ์ |
ที่ปากถ้ำน้ำตกแต่ไหล่เขา | แขวนโคมเข้าไว้ข้างหลังได้บังร่ม |
เหมือนโคมใหญ่ไลต์เฮาส์เข้าแก้วกลม | ดูน่าชมเห็นกระจ่างพร่างพร่างตา |
ที่เปนฝอยดังหนึ่งพลอยพร้อยพรายร่วง | เขียวแดงม่วงวามแวมแจ่มจับจ้า |
แต่เวียนนั่งตั้งเนตรทัศนา | มิได้มาจากเฉลียงจนเที่ยงคืน |
ในนทีมีเรือเทียบตรงท่า | มีเสภาร้องรับขับเอื่อยอื้น |
เสียงพิณพาทย์ไพเราะเสนาะครื้น | สำราญรื่นรมย์ปลื้มลืมนิทรา |
จะพรรณาไปอย่างไรก็ไม่ถ้วน | สนุกล้วนเหลือคำจะร่ำว่า |
ขอจบความเพียงนี้ไม่มีเวลา | เรื่องพลับพลาขากลับจะจับเรียง ฯ |