เปนโคลงเก่าคราวเสด็จมาแต่หลัง |
ครั้นได้ฟังเห็นเสนาะเพราะยังชั่ว |
ไม่เปนปดเลยสักสิ่งจริงทุกตัว |
ตรวจให้ทั่วก็จะเห็นเปนเช่นกัน |
มีเคหาท่าไม้เหมือนที่อื่น |
ต้นตเคียนคนตื่นว่าขลังขยัน |
รากคดค้อมวิปริตผิดสามัญ |
ก็ชวนกันบูชาเทพารักษ์ |
มีศิลาคาดมาเปนอันมาก |
ถึงปากห้วยสามพระยาว่าประจักษ์ |
มีเขาหนึ่งอยู่ข้างในไม่ไกลนัก |
ตอหลักในนำมีที่หัวคุ้ง |
ต่อนั้นไปคุ้งใหญ่เรียกหินดาด |
ศิลากลาดเกลื่อนจริงทั้งอยู่ยุ่ง |
มีหาดบ้านทำปลาท่าคัดซุง |
ถัดถึงวุ้งห้วยมะไฟไม่ไกลกัน |
เกาะกลางน้ำซ้ำเรียกหินดาดน้อย |
ถัดมาหน่อยมีศิลาท่าขันขัน |
ทั้งสองฝั่งตั้งอยู่ดูตรงกัน |
ทั้งคุ้งนั้นมีตลอดเปนทอดยาว |
ผ่านหาดทรายแห่งหนึ่งถึงหาดกรวด |
ดูรีรวดเห็นไปแต่ไกลขาว |
ซ้ำเปนเรียวเชี่ยวกระจายน้ำพรายพราว |
กล่าวกันว่าท่ามะกรูดอยู่ตรงนี้ |
มีบ้านเก่าเจ้าของสละร้าง |
เหลืออยู่บ้างแต่ต้นไม้ติดในที่ |
พบแพขวางจอดข้างชายวารี |
สองแพมีหลายร้อยลอยลงมา |
แล้วหาดเก่าเข้าในจำพวกเกาะ |
เดินระเลาะเลียบทางไปข้างขวา |
อีกคุ้งหนึ่งถึงเกาะกลางคงคา |
เขาเรียกว่าตะเข้คลานละลานใจ |
เปนเกาะเตี้ยเรี่ยวารีมีสัณฐาน |
รีเหมือนจานเปลเห็นเปนรูปไข่ |
ทึบฉอุ่มไปด้วยพุ่มต้นตะไคร้ |
เหมือนจัดไว้ที่ในจานตระการตา |
ถัดนี้มีหาดขนาดใหญ่ |
มีต้นไม้เหมือนหนึ่งเกาะเหมาะนักหนา |
เปนร่องเรี่ยวเชี่ยวคว้างทางธารา |
เห็นศิลาริมฝั่งดังบรรพต |
แล้วหาดใหญ่ไปข้างฝั่งประจิม |
มีแพริมฝั่งขวาห้าหลังหมด |
หลังหนึ่งใหญ่อยู่ตรงเรือนไม่เลื่อนลด |
ชื่อปรากฎบ้านสำนักปักกิเลน |
คำมอญว่าบ้านหลุมต้นเสลี่ยง |
บางคนเลี่ยงแปลไถลไปเถนเถน |
เรียกเอาตามคำไทยที่ใช้เจน |
ว่าปักเลนเกณฑ์ให้เลนไม่มี |
อันผู้ใหญ่ในบ้านคือหลวงพล |
ผู้ชำนาญไพรสณฑ์คนที่นี่ |
เรียกหลวงทิบปักกิเลนเจนวาที |
จนเดี๋ยวนี้ก็ยังเรียกกันเพรียกไป |
อันที่แท้แกเปนที่หลวงพล |
ตำบลสมิงค๎ลบุรีเลื่อนที่ใหม่ |
เดี๋ยวนี้ลงเรือที่นั่งรับสั่งใช้ |
ให้บอกร่องน้ำในกลางนที |
พูดอะไรไม่ใครจะเข้าศัพท์ |
เสียงมอญกับชาวบ้านนอกออกอู๋อี๋ |
เช่นกับเรียกลุมสุมทุ้มไม่มี |
บางทียิ่งไปกว่านี้นึกเสียงอม |
รับสั่งอะไรให้เจ้าครอกผอบถาม |
แกตอบตามที่รับสั่งดังกร๋อมกร๋อม |
ไม่เข้าใจก็ไม่ถามความสอบซ้อม |
เลยนิ่งยอมไม่เข้าใจไม่ทูลเลย |
รับสั่งถามว่าอย่างไรถามใหม่เล่า |
แกบอกเข้ามาเท่าไรไม่เฉลย |
บางทีถามถึงสิบคำถามวายเวย |
แกตอบมาหน้าเฉยไม่รู้ไม่ชี้ |
ไม่แย้มสสรวลชวนจะไปข้างฉุนเละ |
ว่าแกพูดเละเทะไม่ถูกที่ |
รับเปนแต่แตรพระโอษฐไปอิกที |
ตะโกนถามถี่ถี่เปนแล้วกัน |
ดูทำท่าเหมือนจะว่าอยากทราบความ |
ก็ให้ถามเอาเองเปนไรนั่น |
นกหนูใครจะรู้ภาษามัน |
ต่อทรงเห็นเปนการขันจึงได้รับ |
เสด็จยั้งอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ |
เห็นเรือม่วงจ้วงจู่มาฉับฉับ |
ภายหลังจึงทราบว่ามาประทับ |
อยู่บ้านนี้ตรัสกับราษฎร |
พวกกุลามาแต่เมืองย่างกุ้ง |
ว่าหมายมุ่งการวุฒิ์ไม่หยุดหย่อน |
จะมาไหว้พระปฏิมากร |
มีลูกอ่อนเจ็บไข้มาในแพ |
ได้มอบยาเม็ไว้ให้รักษา |
แลห้ามว่าอย่าให้วางกลางแดดแจ๋ |
ชื่อมองจ่าหัวหน้าคอยดูแล |
ล่องมาแต่แม่กระบานย่านนที |
ผู้หญิงสามชายหกดูปกปัก |
สงสัยนักมาทำไมที่ไหนนี่ |
เครื่องสินค้ามาขายก็ไม่มี |
เห็นศรัทธาเกินที่ได้บุญไป |
เรียกหนังสือเดินทางมากางอ่าน |
ดูเกินการเก่าไปใช้ไม่ได้ |
พันแปดร้อยเจ็ดสิบหกเก็บตกไว้ |
ซ้ำหนังสือนั่นก็ใช้ได้สามเดือน |
มันหนีเขาเข้ามาฤๅท่าไร |
ลองถามไต่ให้การก็เลื่อนเปื้อน |
เรื่องหนังสือเดินทางอยู่ข้างเลือน |
มีฤๅไมได้เหมือนกันทั้งนั้น |
พวกญวนลงอวนถวานใหม่ |
ได้ปลาหางอย่างใหญ่หัวหาดนั่น |
สร้อยนกเขาสร้อยหัวแขงแซกแซงกัน |
ปลาตาเหลือกคละกันกับตะเพียน |
ปลาไอ้อ้าวเหม็นคาวเปนที่สุด |
เขาชักฉุดขึ้นมาท่าเฉนียน |
ลองแบบเขาเผาปลาตำราเรียน |
ประจงเจียนไม้ไผ่ที่ใหญ่ลำ |
สอดตัวปลาลงไปในกระบอก |
เอาไฟคลอกเผาไม้ฟืนใส่ร่ำ |
กินก็ดีมีรสควรจดจำ |
ฉะเพาะทำปลาช่อนสอนกันมา |
แรกเสด็จครรไลไปถึงบ้าน |
ดูอาการนั้นจะแคลงไม่แจ้งท่า |
ดูเนือยเนือยในทีกิริยา |
พอรู้ชัดชวนกันมาออกเปนกอง |
ชายหญิงเด็กผู้ใหญ่ที่ในบ้าน |
สับสนอสหม่านถวายของ |
ต่างเกษมเปรมใจได้เงินทอง |
บ้างนั่งมองอยู่ที่นั่นไม่ครรไล |
ที่บ้านนี้มีเรือนอยู่สิบหมู่ |
ตั้งอยู่ไม่ใคร่ห่างอย่างใกล้ใกล้ |
หมู่ละสองสามหลังทั้งครัวไฟ |
ใช้ฝาไม้ไผ่สับมุงด้วยคา |
นอกชานใช้ไม้ลำทำให้มั่น |
พื้นห้องในใช้กันเช่นกับฝา |
เสด็จขึ้นเรือนใหญ่ใกล้ทางมา |
ของบันดาที่บนเรือนกองเกลื่อนไป |
ทั้งเครื่องมือเครื่องกินสิ้นทุกอย่าง |
เที่ยวกองวางเกลื่อนกล่นปนกันไขว่ |
พ้นที่จะพรรณาว่าอะไร |
อยู่แห่งใดกองตั้งเปนฝั่งยาว |
ที่ห้องในเข้าไปเปนห้องนอน |
มีฟูกหมอนมุ้งใช้แต่ไม่ขาว |
ปืนสุตันพิงไว้บอกใหญ่ยาว |
เครื่องเบ็ดราวรุงรังอยู่หลังมุ้ง |
เสด็จมาทัศนาเรือนผู้หญิง |
ยิ่งหนุงหนิงหนักขึ้นไปเก็บไว้ยุ่ง |
หีบในไม้ยุงกวาดกระจาดกระบุง |
แอบลังลุ้งหม้อคะนนจนชลอม |
มีเท่าใดกองไว้ที่ข้างฝา |
ส่วนเปนที่ไสยานั้นห้องย่อม |
อะไรอะไรในนั้นก็มีพร้อม |
กองห้อมล้อมเว้นแต่ที่มีมุ้งกาง |
ในห้องนี้มีโบลานจานอักษร |
หนังสือมอญสามผูกถูกแบบอย่าง |
กระบะหมากปุกั๊งตั้งอยู่กลาง |
เต้าปูนอย่างขนาดใหญ่ใช้บ้ายพลู |
ตะไกรหมากอยากจะว่าเกือบฝ่ามือ |
ถอดหมุดถือก็จะเห็นเปนมีดหมู |
ตรงเฉลียงต่อออกมามีตราชู |
ทรงถามดูว่าเขาใช้ชั่งอะไร |
เขาทูลว่าสำหรับไว้ได้ชั่งฝ้าย |
ได้ซื้อขายชั่งละเฟื้องหาเยื้องไม่ |
เปนชั่งอย่างสามสิบสอบสวนไว้ |
ขายกันในที่บ้านตำบลนี้ |
มีไร่เข้าไร่ฝ้ายทั้งไร่ผัก |
ไม่สู้ขัดสนนักในที่นี่ |
ผลไม้หลายหลากก็มากมี |
ดูร่มรื่นพื้นที่ริมหมู่เรือน |
มตูมโตลูกติดออกเต็มต้น |
ส้มโอผลตกดาดดูกลาดเกลื่อน |
ขนุนนับสิบไม่ถ้วนจนชวนเฟือน |
แต่น้อยหน่าดูเหมือนไม่ดกนัก |
ยังต้นยอมะละกอแลมะพร้าว |
มะกรูดมะนาวแลมะม่วงล่วงถึงผัก |
พริกมะเขือน้ำเต้าเถาถั่วฟัก |
ยังประดักประเดิดแท้แต่เรื่องพลู |
จะปลูกมากก็ไม่ได้ด้วยไกลน้ำ |
จะรดทำไปไม่ไหวจนใจอยู่ |
ครั้นจะปลูกใกล้ธาราท่าน้ำฟู |
ตามระดูท่วมตายร้ายหนักไป |
จึงตกลงเปนตำราหาพลูหมาก |
ที่สุดยากแถบนี้หามีไม่ |
บ้านนี้มีสองค้างอยู่ข้างใน |
ดูตั้งใจคอยรักษาพยาบาล |
ต้องพูนดินปักทำปะรำร่ม |
โอ่งน้ำจมดินไว้ใกล้สถาน |
ใบยังเขียวเต็มประดาน่ารำคาญ |
ดูกันดารกันกระไรมิใช่น้อย |
ผักระดูปลูกอยู่ชายตลิ่ง |
มีสามสิ่งผักกาดหอมแลอ้อย |
จะเปนพวกแพแม่น้ำไปทำพลอย |
พอใช้สอยไม่ได้จ่ายซื้อขายใคร |
ต่อนี้ไปได้เห็นเขาอยู่หน้า |
ชื่อว่าห้วยน้ำโจนโทนเทิ่งใหญ่ |
มีศิลาอยู่ในน้ำจ้ำแจวไป |
ที่ฝั่งใต้ห้วยด้วยจำนวนคลอง |
ศิลารายชายนทีก็มีอีก |
ต้องละหลีกเลยไปให้ตรงช่อง |
ห้วยน้ำโจนแวดล้อมต้องด้อมมอง |
หาดกรวดกองศิลาข้างหน้ามี |
เดินสามคุ้งมุ่งมาถึงท่าแก่ง |
ให้นึกแคลงแก่งที่ไหนเรียกใส่สี |
แม้เรียกเรี่ยวก็เห็นต่อจะพอดี |
ด้วยไม่มีก้อนศิลาในวาริน |
เขาน้ำโจนโจมจู่มาอยู่หลัง |
เกาะริมฝั่งตวันออกซอกสายสินธุ์ |
ต้องหลีกทางห่างฝั่งฝ่ายปราจิณ |
ทั้งมีหินตวันตกรกรุงรัง |
ล่วงคุ้งหนึ่งถึงบ้านแม่น้ำด้วน |
หาดทรายล้วนยื่นลงมาตรงฝั่ง |
ศิลารายฝ่ายตวันออกประนัง |
แจวประดังคุ้งหนึ่งถึงเรี่ยวหลัน |
ระยะนี้มีหาดแลศิลา |
แล้วเลี้ยวมาพบเรี่ยวน้ำเชี่ยวกั้น |
มีหาดกรวดหาดทรายรายต่อกัน |
เมืองสิงค์นนั้นฝั่งเหนือเรือเลยไป |
พลับพลาตั้งฝั่งบูรพาภาค |
แต่ร้อนมากหาเสด็จขึ้นไปไม่ |
ทอดพระเนตรเห็นเก่าเข้าพระไทย |
เหมือนขึ้นไปดูทำนองกองศิลา |
เยอนัลทรงจดไว้ฉันได้อ่าน |
เรื่องสถานที่นี้นั้นมีว่า |
ขึ้นจากฝั่งตั้งแต่ชายคงคา |
สักเจ็ดเส้นกว่ากว่าถึง่ทีปรางค์ |
ทางที่ไปต้นไม้ร่มใบชิด |
ไม่รกปบิดไปมากเพราะถากถาง |
ปราสาทใหญ่มีองค์หนึ่งตรงกลาง |
ที่มุมห่างมาอิกที่มีสี่ทิศ |
เห็นรูปร่างจะอย่างเดียวกันทั้งห้า |
สามด้านหน้าชักกำแพงแลงต่อติด |
ด้านหลังเปนเรือนจันทน์กระชั้นชิด |
ต่อสนิทปรางค์หลังทั้งสองนั้น |
ได้เห็นหมดมีเท่านี้รอบสี่ด้าน |
วัดสถานกว้างใหญ่ได้แม่นมั่น |
บูรพาไปหาประจิมนั้น |
หมดด้วยกันยาวเยิ่นยี่สิบวา |
ฝ่ายอุดรวัดมาหาทักษิณ |
สิบแปดวาทั้งสิ้นลดหย่อนกว่า |
พิเคราะห์ไปเห็นจะไม่ใช่ศีลา |
จะเปนอาติฟิเชียลทำเลียนแลง |
มีเม็ดเห็นเช่นเรียกมูลนาคราช |
ปนปูนชาติสิเมนต์ใช้จะให้แขง |
สิ่งที่ปนนั้นทีจะสีแดง |
ฤๅจะแกล้งประสมให้คล้ายศิลา |
ไม่ทนทานนานเช่นเห็นที่อื่น |
ทลายครืนลงมาเร็วเพราะเลวกว่า |
จะเทียบเคียงเรียงเช่นเคยเห็นมา |
ก็เห็นว่านครวัดจัดเปนเดิม |
เจ้าแผ่นดินทรงศักดาอานุภาพ |
ปราบเมืองใกล้ไกลไม่ฮึกเหิม |
กวาดเชลยร่ำไปได้เพิ่มเติม |
จึงเริ่มสร้างปราสาทราชวัง |
ใช้เชลยสิ้นทุกสิงยิ่งเดรฉาน |
จึงทำการเสร็จสมอารมณ์หวัง |
เปนของโตใหญ่เยิ่นเกินกำลัง |
จึงโด่งดังฦๅเดชกระเดื่องดิน |
เจ้านครเอกราชอำนาจน้อย |
ก็พลอยถือเปนอย่างไปบ้างสิ้น |
อยากให้ฦๅชื่อว่าจอมธานินทร์ |
ประเทศถิ่นโน้นนี้มีเหมือนกัน |
เมืองพิมายชายจะมีอานาจใหญ่ |
จึงสร้างด้วยศิลาได้ดูเฉิดฉัน |
แต่ยังแพ้นครวัดถัดเรียงกัน |
อิกแห่งนั้นมีที่เพ็ชรบุรี |
เรียกว่าวัดกำแพงแลงกำแพงกว้าง |
ยังเปนอย่างทำดีกว่าที่นี่ |
ไม่ชำรุดยังทนจนบัดนี้ |
ทั้งท่วงทีกว้างใหญ่ในบริเวณ |
ในเมืองนี้เปนธานีกันดารมาก |
แต่อยากได้เกียรติยศไม่อดเล่น |
จึงทำบ้างอย่างเหลือที่จะเว้น |
พอได้เปนเหตุระบือได้ฦๅชา |
ปะรำที่ประทับร้อนในตอนนี้ |
เขาทำที่เหนือเมืองเยื้องกับท่า |
เรือที่นั่งมิได้ยั้งเลยล่วงมา |
ถึงหาดชื่อว่าแม่กระบาน |
สายน้ำซัดกัดขาดเปนเกาะน้อย |
เรือเคลื่อนคล้อยธาราเชี่ยวฉ่าฉาน |
แล้วเลี้ยววงตรงขึ้นแก่งกันดาร |
ลำลหานกรวดใหญ่อยู่ใต้นั้น |
มีเกาะกลางสองข้างวารีไหล |
ทางร่องใหญ่อยู่ข้างเหนือเรือผายผัน |
ต้องถ่อค้ำเพราะว่าน้ำนั้นเชี่ยวครัน |
ที่ขอบคันมีท่ามาแต่ดอน |
เรือนสองหลังตั้งอยู่ที่ริมท่า |
หาดกรวดกลาดสอาดตายิ่งกว่าก่อน |
เรือนแพมีที่อยู่ของพวกมอญ |
ศิลาก้อนปลายแหลมพลอมแพลมราย |
มีเกาะกลางขวางน้ำอิกเกาะหนึ่ง |
หาดทรายซึ่งสืบมาเปนมากหลาย |
น้ำเชี่ยวปรอดตลอดต้นมาจนปลาย |
ถัดถึงท้ายห้วยวารีมีชลธาร |
ไปคุ้งหนึ่งก็พอถึงที่ท่าค่าย |
มีหาดทรายสูงสล้างข้างลหาน |
ศิลารายชายตลิ่งจนแลลาน |
ต้องผ่านหาดแลศิลามาอิกตอน |
สามคุ้งถ้วนล้วนไปในวังน้ำ |
ถึงหาดซ้ำท่าหนองปรือชื่อแต่ก่อน |
ต่อไปเปนก้อนศิลาในสาคร |
เรือแจวจอนไปหน่อยหนึ่งถึงหาดทราย |
จนถึงแก่งสองพี่น้องเขาร้องเรียก |
นามสำเหนียกเซงแซ่รู้แพร่หลาย |
น้ำนี้จะแจวไปได้สบาย |
เห็นคลับคล้ายก้อนศิลาอยู่ขวามือ |
หน้าผาตั้งเหมือนอย่างฝั่งกระแสสินธุ์ |
นี่คือถิ่นสองพี่น้องที่พร้องหรือ |
นั่งไต่ถามตามต่อพูดอออือ |
เสียงอึงอื้อไปเปล่าเปล่าไม่เข้ายา |
อันก้อนแรกทีเราเห็นเปนมิใช่ |
ถัดเข้าไปเส้นหนึ่งถึงหน้าผา |
เปนฝาแฝดร่องกลางหว่างศิลา |
สูงสี่วากว้างทั้งสองได้ลองวัด |
สิบห้าวาด้านหน้าเปนโพรงพรุ |
ด้วยน้ำดุไหลเซาะฉะเพาะกัด |
อยู่ตรงหน้าพลับพลาเด่นได้เห็นชัด |
พักร้อนตัดมาจึงได้ถึงวัน |
บ่ายสองโมงมายังกำลังร้อน |
ปรอทก่อนเก้าสิบสังเกตมั่น |
พอฝนตกหกนาทีเคลื่อนที่พลัน |
แปดสิบแปดเท่านั้นเหมือนวันมา |
แต่อ้าวอ่อนร้อนกระไรไม่รู้หาย |
แม้ให้ทายคงว่าร้อยไม่น้อยกว่า |
ฝนกระจายพรายพร่างกลางนาวา |
จวนถึงท่าจึงได้จบสงบลง |
พระยาเพ็ชรบุรีมีหมูป่า |
ให้บ่าวไพร่เสาะหาเอามาส่ง |
ปลาของญวนที่ในอวนเขาอ้อมวง |
จำนวนคงสี่อย่างปลาข้างนี้ |
ปลาดาบลาวยาวพอใช้ได้กับชื่อ |
น้ำเงินคือเงินแท้แลดูสี |
ปลาสายยูดูรูปก็เรียวรี |
ปลานวนจันนั้นฉวีเปนนวนจริง |
พลับพลานี้ที่ทางอยู่ข้างขัด |
สารพัดเปนไปได้ทุกสิ่ง |
พื้นหาดเหมือนหมอนลาวที่ท้าวอิง |
พลับพลาพิงเข้าไปตั้งเหมือนดังเกริน |
หันด้านขวางวางลงข้างริมน้ำ |
ข้างในต่ำไม่พ้นคนเดินเหิน |
พระแกลไม่มีม่านพานพะเอิญ |
เหมือนอยู่กลางทางเดินดูไม่ดี |
ทั้งฉากกั้นนั้นก็ปันข้างหน้าไว้ |
พึ่งแก้ใหม่เมื่อเสด็จมาถึงนี่ |
เปนข้างในก็ยังไม่ใคร่เข้าที |
แต่เพียงนี้ก็ยังเห็นไม่เปนไร |
ข้อสำคัญนั้นเรื่องที่เหม็นคาว |
กับอบอ้าวร้อนรนทนไม่ได้ |
ด้วยพวกเรือเหนือน้ำทำอันใด |
สายน้ำไหลพัดส่งมาตรงเรือ |
ฝนตกต้องทรายเปนอายอบ |
ร้อนตระหลบกลุ้มไปทั้งใต้เหนือ |
กลิ่นอะไรก็ไม่เห็นมีเหม็นเจือ |
ทรงกลัวเผื่อฝนค่ำจะทำความ |
ทั้งหลังคาฝาเฝืองก็โปร่งปรุ |
อายระอุเกรงไข้ให้เข็ดขาม |
จึงประทับเรือที่นั่งยั้งอยู่ตาม |
ที่เห็นงามว่าจะดีไม่มีใคร |
พลับพลานี้หน้าที่ของเมืองสิงค์ล |
ทั่วทุกสิ่งวางจังหวะกะการให้ |
ข้าหลวงมาคือจ่าฤทธิพิไชย |
เปนผู้ได้กำกับอยู่ดูให้ทำ |
หนึ่งเมื่อเย็นเห็นเสด็จลงเรือม่วง |
เรือทั้งปวงแลหลามพายตามจ้ำ |
ล่วงขึ้นไปตามทางข้างเหนือน้ำ |
เสด็จกลับมาจนค่ำเข้าไต้ไฟ |
เมื่อมานี้มีผู้ใหญ่ได้บอกว่า |
ให้บูชาสองพี่น้องนี้จงได้ |
แม้จะไปตามทางในกลางไพร |
จะคุ้มไภยป้องกันอันตราย |
ฉันก็ทำตามตำราที่ว่าไว้ |
แล้วว๊อกท่านต่อไปเหมือนใจหมาย |
แม้โห่เหล่าขอให้ได้เนื้อทราย |
อย่าให้กลายเปนโห่เปล่าเข้าตำรา |
ค่ำวันนี้มีพิรุณทำวุ่นใหม่ |
แต่ว่าไม่อื้ออึงถึงสู้ส้า |
จบเรื่องไดอรีที่มีมา |
ขอเลิกลาหลับนอนผ่อนสำราญ ฯ |