วัน ๑ ฯ๔ ๒ ค่ำ

วัน ๑ ๒ ค่ำ

๏ ในวันนี้ตีสิบเอ็ดเสด็จแล้ว กระบวนแคล้วคลาศไปไม่ทันสาย
อ้อมตะไคร้เกาะสบ้ามาหาดทราย พอถึงท้ายวังหมึกนึกแปลคำ
ซึ่งให้ชื่อเช่นนี้ทีจะเห็น แม่น้ำเปนเขียวแก่แลดูคร่ำ
จนเกือบเปนน้ำหมึกเพราะลึกล้ำ เปนที่น้ำนิ่งไม่ใคร่ไหลแรง
มีพระราชน์พนธ์พจน์จดจาฤก เรื่องวังหมึกรายระยะดูจะแจ้ง
แต่เปนโคลงลงจะขวางก็คลางแคลง เมื่อพิมพ์แบ่งโคลงเสียคงจะลงรอย
๏ พระลบเจียนลับไม้ รอนรอน
แสงส่องสั่งอัมพร พ่างย้อม
สีสลับกับสาคร เขียวโสด ใสแฮ
อิกหมู่ไม้ไหล้ล้อม เล่ห์ล้ำระบายสี ฯ
๏ ปักษาเซงแซ่ซ้อง หลายเสียง
บ้างหยุดบ้างบินเฉียง สู่ไม้
ขึ้นรังร่วมคู่เคียง กันพลอด
ฟังเพลิดเพลินใจให้ ห่วงน้องเนาหลัง ฯ
๏ แลเฉนียนสูงน้ำเนิ่น เนินทราย
เรือเล็กเล่มพายพาย ล่องน้ำ
มากลางกระแสสาย สินธุ์สุด ซึ้งเฮย
งามยิ่งงามนักซ้ำ เสนาะทั้งวังเวง ฯ
๏ วังหมึกแม่น้ำเรียก ตำบล นี้นอ
ชลบ่เชี่ยวฉวางกล แก่งตื้น
น้ำดำดุจหมึกปน เหตุลึก เหลิงแฮ
วังหมึกชื่อเพราะพื้น น่านน้ำดำมัว ฯ
เปนโคลงเก่าคราวเสด็จมาแต่หลัง ครั้นได้ฟังเห็นเสนาะเพราะยังชั่ว
ไม่เปนปดเลยสักสิ่งจริงทุกตัว ตรวจให้ทั่วก็จะเห็นเปนเช่นกัน
มีเคหาท่าไม้เหมือนที่อื่น ต้นตเคียนคนตื่นว่าขลังขยัน
รากคดค้อมวิปริตผิดสามัญ ก็ชวนกันบูชาเทพารักษ์
มีศิลาคาดมาเปนอันมาก ถึงปากห้วยสามพระยาว่าประจักษ์
มีเขาหนึ่งอยู่ข้างในไม่ไกลนัก ตอหลักในนำมีที่หัวคุ้ง
ต่อนั้นไปคุ้งใหญ่เรียกหินดาด ศิลากลาดเกลื่อนจริงทั้งอยู่ยุ่ง
มีหาดบ้านทำปลาท่าคัดซุง ถัดถึงวุ้งห้วยมะไฟไม่ไกลกัน
เกาะกลางน้ำซ้ำเรียกหินดาดน้อย ถัดมาหน่อยมีศิลาท่าขันขัน
ทั้งสองฝั่งตั้งอยู่ดูตรงกัน ทั้งคุ้งนั้นมีตลอดเปนทอดยาว
ผ่านหาดทรายแห่งหนึ่งถึงหาดกรวด ดูรีรวดเห็นไปแต่ไกลขาว
ซ้ำเปนเรียวเชี่ยวกระจายน้ำพรายพราว กล่าวกันว่าท่ามะกรูดอยู่ตรงนี้
มีบ้านเก่าเจ้าของสละร้าง เหลืออยู่บ้างแต่ต้นไม้ติดในที่
พบแพขวางจอดข้างชายวารี สองแพมีหลายร้อยลอยลงมา
แล้วหาดเก่าเข้าในจำพวกเกาะ เดินระเลาะเลียบทางไปข้างขวา
อีกคุ้งหนึ่งถึงเกาะกลางคงคา เขาเรียกว่าตะเข้คลานละลานใจ
เปนเกาะเตี้ยเรี่ยวารีมีสัณฐาน รีเหมือนจานเปลเห็นเปนรูปไข่
ทึบฉอุ่มไปด้วยพุ่มต้นตะไคร้ เหมือนจัดไว้ที่ในจานตระการตา
ถัดนี้มีหาดขนาดใหญ่ มีต้นไม้เหมือนหนึ่งเกาะเหมาะนักหนา
เปนร่องเรี่ยวเชี่ยวคว้างทางธารา เห็นศิลาริมฝั่งดังบรรพต
แล้วหาดใหญ่ไปข้างฝั่งประจิม มีแพริมฝั่งขวาห้าหลังหมด
หลังหนึ่งใหญ่อยู่ตรงเรือนไม่เลื่อนลด ชื่อปรากฎบ้านสำนักปักกิเลน
คำมอญว่าบ้านหลุมต้นเสลี่ยง บางคนเลี่ยงแปลไถลไปเถนเถน
เรียกเอาตามคำไทยที่ใช้เจน ว่าปักเลนเกณฑ์ให้เลนไม่มี
อันผู้ใหญ่ในบ้านคือหลวงพล ผู้ชำนาญไพรสณฑ์คนที่นี่
เรียกหลวงทิบปักกิเลนเจนวาที จนเดี๋ยวนี้ก็ยังเรียกกันเพรียกไป
อันที่แท้แกเปนที่หลวงพล ตำบลสมิงค๎ลบุรีเลื่อนที่ใหม่
เดี๋ยวนี้ลงเรือที่นั่งรับสั่งใช้ ให้บอกร่องน้ำในกลางนที
พูดอะไรไม่ใครจะเข้าศัพท์ เสียงมอญกับชาวบ้านนอกออกอู๋อี๋
เช่นกับเรียกลุมสุมทุ้มไม่มี บางทียิ่งไปกว่านี้นึกเสียงอม
รับสั่งอะไรให้เจ้าครอกผอบถาม แกตอบตามที่รับสั่งดังกร๋อมกร๋อม
ไม่เข้าใจก็ไม่ถามความสอบซ้อม เลยนิ่งยอมไม่เข้าใจไม่ทูลเลย
รับสั่งถามว่าอย่างไรถามใหม่เล่า แกบอกเข้ามาเท่าไรไม่เฉลย
บางทีถามถึงสิบคำถามวายเวย แกตอบมาหน้าเฉยไม่รู้ไม่ชี้
ไม่แย้มสสรวลชวนจะไปข้างฉุนเละ ว่าแกพูดเละเทะไม่ถูกที่
รับเปนแต่แตรพระโอษฐไปอิกที ตะโกนถามถี่ถี่เปนแล้วกัน
ดูทำท่าเหมือนจะว่าอยากทราบความ ก็ให้ถามเอาเองเปนไรนั่น
นกหนูใครจะรู้ภาษามัน ต่อทรงเห็นเปนการขันจึงได้รับ
เสด็จยั้งอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เห็นเรือม่วงจ้วงจู่มาฉับฉับ
ภายหลังจึงทราบว่ามาประทับ อยู่บ้านนี้ตรัสกับราษฎร
พวกกุลามาแต่เมืองย่างกุ้ง ว่าหมายมุ่งการวุฒิ์ไม่หยุดหย่อน
จะมาไหว้พระปฏิมากร มีลูกอ่อนเจ็บไข้มาในแพ
ได้มอบยาเม็ไว้ให้รักษา แลห้ามว่าอย่าให้วางกลางแดดแจ๋
ชื่อมองจ่าหัวหน้าคอยดูแล ล่องมาแต่แม่กระบานย่านนที
ผู้หญิงสามชายหกดูปกปัก สงสัยนักมาทำไมที่ไหนนี่
เครื่องสินค้ามาขายก็ไม่มี เห็นศรัทธาเกินที่ได้บุญไป
เรียกหนังสือเดินทางมากางอ่าน ดูเกินการเก่าไปใช้ไม่ได้
พันแปดร้อยเจ็ดสิบหกเก็บตกไว้ ซ้ำหนังสือนั่นก็ใช้ได้สามเดือน
มันหนีเขาเข้ามาฤๅท่าไร ลองถามไต่ให้การก็เลื่อนเปื้อน
เรื่องหนังสือเดินทางอยู่ข้างเลือน มีฤๅไมได้เหมือนกันทั้งนั้น
พวกญวนลงอวนถวานใหม่ ได้ปลาหางอย่างใหญ่หัวหาดนั่น
สร้อยนกเขาสร้อยหัวแขงแซกแซงกัน ปลาตาเหลือกคละกันกับตะเพียน
ปลาไอ้อ้าวเหม็นคาวเปนที่สุด เขาชักฉุดขึ้นมาท่าเฉนียน
ลองแบบเขาเผาปลาตำราเรียน ประจงเจียนไม้ไผ่ที่ใหญ่ลำ
สอดตัวปลาลงไปในกระบอก เอาไฟคลอกเผาไม้ฟืนใส่ร่ำ
กินก็ดีมีรสควรจดจำ ฉะเพาะทำปลาช่อนสอนกันมา
แรกเสด็จครรไลไปถึงบ้าน ดูอาการนั้นจะแคลงไม่แจ้งท่า
ดูเนือยเนือยในทีกิริยา พอรู้ชัดชวนกันมาออกเปนกอง
ชายหญิงเด็กผู้ใหญ่ที่ในบ้าน สับสนอสหม่านถวายของ
ต่างเกษมเปรมใจได้เงินทอง บ้างนั่งมองอยู่ที่นั่นไม่ครรไล
ที่บ้านนี้มีเรือนอยู่สิบหมู่ ตั้งอยู่ไม่ใคร่ห่างอย่างใกล้ใกล้
หมู่ละสองสามหลังทั้งครัวไฟ ใช้ฝาไม้ไผ่สับมุงด้วยคา
นอกชานใช้ไม้ลำทำให้มั่น พื้นห้องในใช้กันเช่นกับฝา
เสด็จขึ้นเรือนใหญ่ใกล้ทางมา ของบันดาที่บนเรือนกองเกลื่อนไป
ทั้งเครื่องมือเครื่องกินสิ้นทุกอย่าง เที่ยวกองวางเกลื่อนกล่นปนกันไขว่
พ้นที่จะพรรณาว่าอะไร อยู่แห่งใดกองตั้งเปนฝั่งยาว
ที่ห้องในเข้าไปเปนห้องนอน มีฟูกหมอนมุ้งใช้แต่ไม่ขาว
ปืนสุตันพิงไว้บอกใหญ่ยาว เครื่องเบ็ดราวรุงรังอยู่หลังมุ้ง
เสด็จมาทัศนาเรือนผู้หญิง ยิ่งหนุงหนิงหนักขึ้นไปเก็บไว้ยุ่ง
หีบในไม้ยุงกวาดกระจาดกระบุง แอบลังลุ้งหม้อคะนนจนชลอม
มีเท่าใดกองไว้ที่ข้างฝา ส่วนเปนที่ไสยานั้นห้องย่อม
อะไรอะไรในนั้นก็มีพร้อม กองห้อมล้อมเว้นแต่ที่มีมุ้งกาง
ในห้องนี้มีโบลานจานอักษร หนังสือมอญสามผูกถูกแบบอย่าง
กระบะหมากปุกั๊งตั้งอยู่กลาง เต้าปูนอย่างขนาดใหญ่ใช้บ้ายพลู
ตะไกรหมากอยากจะว่าเกือบฝ่ามือ ถอดหมุดถือก็จะเห็นเปนมีดหมู
ตรงเฉลียงต่อออกมามีตราชู ทรงถามดูว่าเขาใช้ชั่งอะไร
เขาทูลว่าสำหรับไว้ได้ชั่งฝ้าย ได้ซื้อขายชั่งละเฟื้องหาเยื้องไม่
เปนชั่งอย่างสามสิบสอบสวนไว้ ขายกันในที่บ้านตำบลนี้
มีไร่เข้าไร่ฝ้ายทั้งไร่ผัก ไม่สู้ขัดสนนักในที่นี่
ผลไม้หลายหลากก็มากมี ดูร่มรื่นพื้นที่ริมหมู่เรือน
มตูมโตลูกติดออกเต็มต้น ส้มโอผลตกดาดดูกลาดเกลื่อน
ขนุนนับสิบไม่ถ้วนจนชวนเฟือน แต่น้อยหน่าดูเหมือนไม่ดกนัก
ยังต้นยอมะละกอแลมะพร้าว มะกรูดมะนาวแลมะม่วงล่วงถึงผัก
พริกมะเขือน้ำเต้าเถาถั่วฟัก ยังประดักประเดิดแท้แต่เรื่องพลู
จะปลูกมากก็ไม่ได้ด้วยไกลน้ำ จะรดทำไปไม่ไหวจนใจอยู่
ครั้นจะปลูกใกล้ธาราท่าน้ำฟู ตามระดูท่วมตายร้ายหนักไป
จึงตกลงเปนตำราหาพลูหมาก ที่สุดยากแถบนี้หามีไม่
บ้านนี้มีสองค้างอยู่ข้างใน ดูตั้งใจคอยรักษาพยาบาล
ต้องพูนดินปักทำปะรำร่ม โอ่งน้ำจมดินไว้ใกล้สถาน
ใบยังเขียวเต็มประดาน่ารำคาญ ดูกันดารกันกระไรมิใช่น้อย
ผักระดูปลูกอยู่ชายตลิ่ง มีสามสิ่งผักกาดหอมแลอ้อย
จะเปนพวกแพแม่น้ำไปทำพลอย พอใช้สอยไม่ได้จ่ายซื้อขายใคร
ต่อนี้ไปได้เห็นเขาอยู่หน้า ชื่อว่าห้วยน้ำโจนโทนเทิ่งใหญ่
มีศิลาอยู่ในน้ำจ้ำแจวไป ที่ฝั่งใต้ห้วยด้วยจำนวนคลอง
ศิลารายชายนทีก็มีอีก ต้องละหลีกเลยไปให้ตรงช่อง
ห้วยน้ำโจนแวดล้อมต้องด้อมมอง หาดกรวดกองศิลาข้างหน้ามี
เดินสามคุ้งมุ่งมาถึงท่าแก่ง ให้นึกแคลงแก่งที่ไหนเรียกใส่สี
แม้เรียกเรี่ยวก็เห็นต่อจะพอดี ด้วยไม่มีก้อนศิลาในวาริน
เขาน้ำโจนโจมจู่มาอยู่หลัง เกาะริมฝั่งตวันออกซอกสายสินธุ์
ต้องหลีกทางห่างฝั่งฝ่ายปราจิณ ทั้งมีหินตวันตกรกรุงรัง
ล่วงคุ้งหนึ่งถึงบ้านแม่น้ำด้วน หาดทรายล้วนยื่นลงมาตรงฝั่ง
ศิลารายฝ่ายตวันออกประนัง แจวประดังคุ้งหนึ่งถึงเรี่ยวหลัน
ระยะนี้มีหาดแลศิลา แล้วเลี้ยวมาพบเรี่ยวน้ำเชี่ยวกั้น
มีหาดกรวดหาดทรายรายต่อกัน เมืองสิงค์นนั้นฝั่งเหนือเรือเลยไป
พลับพลาตั้งฝั่งบูรพาภาค แต่ร้อนมากหาเสด็จขึ้นไปไม่
ทอดพระเนตรเห็นเก่าเข้าพระไทย เหมือนขึ้นไปดูทำนองกองศิลา
เยอนัลทรงจดไว้ฉันได้อ่าน เรื่องสถานที่นี้นั้นมีว่า
ขึ้นจากฝั่งตั้งแต่ชายคงคา สักเจ็ดเส้นกว่ากว่าถึง่ทีปรางค์
ทางที่ไปต้นไม้ร่มใบชิด ไม่รกปบิดไปมากเพราะถากถาง
ปราสาทใหญ่มีองค์หนึ่งตรงกลาง ที่มุมห่างมาอิกที่มีสี่ทิศ
เห็นรูปร่างจะอย่างเดียวกันทั้งห้า สามด้านหน้าชักกำแพงแลงต่อติด
ด้านหลังเปนเรือนจันทน์กระชั้นชิด ต่อสนิทปรางค์หลังทั้งสองนั้น
ได้เห็นหมดมีเท่านี้รอบสี่ด้าน วัดสถานกว้างใหญ่ได้แม่นมั่น
บูรพาไปหาประจิมนั้น หมดด้วยกันยาวเยิ่นยี่สิบวา
ฝ่ายอุดรวัดมาหาทักษิณ สิบแปดวาทั้งสิ้นลดหย่อนกว่า
พิเคราะห์ไปเห็นจะไม่ใช่ศีลา จะเปนอาติฟิเชียลทำเลียนแลง
มีเม็ดเห็นเช่นเรียกมูลนาคราช ปนปูนชาติสิเมนต์ใช้จะให้แขง
สิ่งที่ปนนั้นทีจะสีแดง ฤๅจะแกล้งประสมให้คล้ายศิลา
ไม่ทนทานนานเช่นเห็นที่อื่น ทลายครืนลงมาเร็วเพราะเลวกว่า
จะเทียบเคียงเรียงเช่นเคยเห็นมา ก็เห็นว่านครวัดจัดเปนเดิม
เจ้าแผ่นดินทรงศักดาอานุภาพ ปราบเมืองใกล้ไกลไม่ฮึกเหิม
กวาดเชลยร่ำไปได้เพิ่มเติม จึงเริ่มสร้างปราสาทราชวัง
ใช้เชลยสิ้นทุกสิงยิ่งเดรฉาน จึงทำการเสร็จสมอารมณ์หวัง
เปนของโตใหญ่เยิ่นเกินกำลัง จึงโด่งดังฦๅเดชกระเดื่องดิน
เจ้านครเอกราชอำนาจน้อย ก็พลอยถือเปนอย่างไปบ้างสิ้น
อยากให้ฦๅชื่อว่าจอมธานินทร์ ประเทศถิ่นโน้นนี้มีเหมือนกัน
เมืองพิมายชายจะมีอานาจใหญ่ จึงสร้างด้วยศิลาได้ดูเฉิดฉัน
แต่ยังแพ้นครวัดถัดเรียงกัน อิกแห่งนั้นมีที่เพ็ชรบุรี
เรียกว่าวัดกำแพงแลงกำแพงกว้าง ยังเปนอย่างทำดีกว่าที่นี่
ไม่ชำรุดยังทนจนบัดนี้ ทั้งท่วงทีกว้างใหญ่ในบริเวณ
ในเมืองนี้เปนธานีกันดารมาก แต่อยากได้เกียรติยศไม่อดเล่น
จึงทำบ้างอย่างเหลือที่จะเว้น พอได้เปนเหตุระบือได้ฦๅชา
ปะรำที่ประทับร้อนในตอนนี้ เขาทำที่เหนือเมืองเยื้องกับท่า
เรือที่นั่งมิได้ยั้งเลยล่วงมา ถึงหาดชื่อว่าแม่กระบาน
สายน้ำซัดกัดขาดเปนเกาะน้อย เรือเคลื่อนคล้อยธาราเชี่ยวฉ่าฉาน
แล้วเลี้ยววงตรงขึ้นแก่งกันดาร ลำลหานกรวดใหญ่อยู่ใต้นั้น
มีเกาะกลางสองข้างวารีไหล ทางร่องใหญ่อยู่ข้างเหนือเรือผายผัน
ต้องถ่อค้ำเพราะว่าน้ำนั้นเชี่ยวครัน ที่ขอบคันมีท่ามาแต่ดอน
เรือนสองหลังตั้งอยู่ที่ริมท่า หาดกรวดกลาดสอาดตายิ่งกว่าก่อน
เรือนแพมีที่อยู่ของพวกมอญ ศิลาก้อนปลายแหลมพลอมแพลมราย
มีเกาะกลางขวางน้ำอิกเกาะหนึ่ง หาดทรายซึ่งสืบมาเปนมากหลาย
น้ำเชี่ยวปรอดตลอดต้นมาจนปลาย ถัดถึงท้ายห้วยวารีมีชลธาร
ไปคุ้งหนึ่งก็พอถึงที่ท่าค่าย มีหาดทรายสูงสล้างข้างลหาน
ศิลารายชายตลิ่งจนแลลาน ต้องผ่านหาดแลศิลามาอิกตอน
สามคุ้งถ้วนล้วนไปในวังน้ำ ถึงหาดซ้ำท่าหนองปรือชื่อแต่ก่อน
ต่อไปเปนก้อนศิลาในสาคร เรือแจวจอนไปหน่อยหนึ่งถึงหาดทราย
จนถึงแก่งสองพี่น้องเขาร้องเรียก นามสำเหนียกเซงแซ่รู้แพร่หลาย
น้ำนี้จะแจวไปได้สบาย เห็นคลับคล้ายก้อนศิลาอยู่ขวามือ
หน้าผาตั้งเหมือนอย่างฝั่งกระแสสินธุ์ นี่คือถิ่นสองพี่น้องที่พร้องหรือ
นั่งไต่ถามตามต่อพูดอออือ เสียงอึงอื้อไปเปล่าเปล่าไม่เข้ายา
อันก้อนแรกทีเราเห็นเปนมิใช่ ถัดเข้าไปเส้นหนึ่งถึงหน้าผา
เปนฝาแฝดร่องกลางหว่างศิลา สูงสี่วากว้างทั้งสองได้ลองวัด
สิบห้าวาด้านหน้าเปนโพรงพรุ ด้วยน้ำดุไหลเซาะฉะเพาะกัด
อยู่ตรงหน้าพลับพลาเด่นได้เห็นชัด พักร้อนตัดมาจึงได้ถึงวัน
บ่ายสองโมงมายังกำลังร้อน ปรอทก่อนเก้าสิบสังเกตมั่น
พอฝนตกหกนาทีเคลื่อนที่พลัน แปดสิบแปดเท่านั้นเหมือนวันมา
แต่อ้าวอ่อนร้อนกระไรไม่รู้หาย แม้ให้ทายคงว่าร้อยไม่น้อยกว่า
ฝนกระจายพรายพร่างกลางนาวา จวนถึงท่าจึงได้จบสงบลง
พระยาเพ็ชรบุรีมีหมูป่า ให้บ่าวไพร่เสาะหาเอามาส่ง
ปลาของญวนที่ในอวนเขาอ้อมวง จำนวนคงสี่อย่างปลาข้างนี้
ปลาดาบลาวยาวพอใช้ได้กับชื่อ น้ำเงินคือเงินแท้แลดูสี
ปลาสายยูดูรูปก็เรียวรี ปลานวนจันนั้นฉวีเปนนวนจริง
พลับพลานี้ที่ทางอยู่ข้างขัด สารพัดเปนไปได้ทุกสิ่ง
พื้นหาดเหมือนหมอนลาวที่ท้าวอิง พลับพลาพิงเข้าไปตั้งเหมือนดังเกริน
หันด้านขวางวางลงข้างริมน้ำ ข้างในต่ำไม่พ้นคนเดินเหิน
พระแกลไม่มีม่านพานพะเอิญ เหมือนอยู่กลางทางเดินดูไม่ดี
ทั้งฉากกั้นนั้นก็ปันข้างหน้าไว้ พึ่งแก้ใหม่เมื่อเสด็จมาถึงนี่
เปนข้างในก็ยังไม่ใคร่เข้าที แต่เพียงนี้ก็ยังเห็นไม่เปนไร
ข้อสำคัญนั้นเรื่องที่เหม็นคาว กับอบอ้าวร้อนรนทนไม่ได้
ด้วยพวกเรือเหนือน้ำทำอันใด สายน้ำไหลพัดส่งมาตรงเรือ
ฝนตกต้องทรายเปนอายอบ ร้อนตระหลบกลุ้มไปทั้งใต้เหนือ
กลิ่นอะไรก็ไม่เห็นมีเหม็นเจือ ทรงกลัวเผื่อฝนค่ำจะทำความ
ทั้งหลังคาฝาเฝืองก็โปร่งปรุ อายระอุเกรงไข้ให้เข็ดขาม
จึงประทับเรือที่นั่งยั้งอยู่ตาม ที่เห็นงามว่าจะดีไม่มีใคร
พลับพลานี้หน้าที่ของเมืองสิงค์ล ทั่วทุกสิ่งวางจังหวะกะการให้
ข้าหลวงมาคือจ่าฤทธิพิไชย เปนผู้ได้กำกับอยู่ดูให้ทำ
หนึ่งเมื่อเย็นเห็นเสด็จลงเรือม่วง เรือทั้งปวงแลหลามพายตามจ้ำ
ล่วงขึ้นไปตามทางข้างเหนือน้ำ เสด็จกลับมาจนค่ำเข้าไต้ไฟ
เมื่อมานี้มีผู้ใหญ่ได้บอกว่า ให้บูชาสองพี่น้องนี้จงได้
แม้จะไปตามทางในกลางไพร จะคุ้มไภยป้องกันอันตราย
ฉันก็ทำตามตำราที่ว่าไว้ แล้วว๊อกท่านต่อไปเหมือนใจหมาย
แม้โห่เหล่าขอให้ได้เนื้อทราย อย่าให้กลายเปนโห่เปล่าเข้าตำรา
ค่ำวันนี้มีพิรุณทำวุ่นใหม่ แต่ว่าไม่อื้ออึงถึงสู้ส้า
จบเรื่องไดอรีที่มีมา ขอเลิกลาหลับนอนผ่อนสำราญ ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ