๏ เช้าโมงถ้วนเรือกระบวนออกจากท่า |
ล่องลงมาแลหลามตามวิถี |
ระยะทางอย่างใกล้ในวันนี้ |
แต่พอสี่โมงครึ่งถึงพลับพลา |
ที่กลอนโดโดยระยะกะขากลับ |
หยุดประทับเกือบทั้งวันปันข้างหน้า |
ให้ลงพอสมควรส่วนมรรคา |
พอหาที่ประพาสได้ไม่กันดาร |
เสด็จขึ้นบนพลับพลาเวลาเที่ยง |
ตพานเลี่ยงมาข้างซ้ายย้ายสถาน |
ทางไม่ชันเหมือนแต่ก่อนผ่อนสำราญ |
พวกชาวบ้านแน่นนันพากันมา |
ถวายของต่างต่างอย่างบ้านนอก |
ชาวบางกอกมีบ้างแต่ข้างหน้า |
เขามาเล่าข่าวฦๅกันนานา |
เปนตำราคู่แผ่นดินอจินไตย |
ยามกลางวันนั้นร้อนเหลือขนาด |
จะเยื้องยาตรไปข้างไหนก็ไม่ได้ |
อยู่ในร่มแล้วยังร้อนจนอ่อนใจ |
ต้องรอไปจนชายบ่ายสี่โมง |
ทรงเครื่องเสร็จแล้วเสด็จไปข้างนอก |
ประทับออกที่ตรงหน้าพลับพลาโถง |
ขุนนางเฝ้าดาษดาหน้าท้องพระโรง |
มีพวกโค้งเรียงรายอยู่หลายคน |
ทั้งพวกไทยถวายของกองออกหลาม |
มีมะขามป้อมใหญ่ไต้เปนต้น |
โปรดประทานเงินทั่วทุกตัวคน |
แล้วเสด็จโดยสถลมารคไป |
เที่ยวประพาสหาดตำบลแม่น้ำเก่า |
ตามลำเนาแนวคลองหนองน้ำใหญ่ |
ฉันไปเรือเปนส่วนกระบวรใน |
ล่องครรไลหน่อยหนึ่งถึงปากคลอง |
ดูกว้างขวางอย่างขนาดแม่น้ำได้ |
แต่ทางไปอ้อมเกาะฉะเพาะช่อง |
ดูเลนลาดดาดขึ้นไปเปนกอง |
กว้างตรงร่องศอกเศษสังเกตดู |
น้ำก็ตื้นติดเลนต้องเข็นเสือก |
ล้วนตมเปือกไล่หลังดังอู้อู้ |
บ้านกลอนโดโดยสำเหนียกที่เรียกรู้ |
มีคนอยู่ริมฝั่งหลายหลังเรือน |
ที่ชายเขิบลงมานาปรังหยอด |
เข้าตลอดแลดาดดูกลาดเกลื่อน |
ลำน้ำกลมสมทรงเปนวงเดือน |
ค่อยคลาเคลื่อนจรดลพ้นลำราง |
ถึงตอนในน้ำใสสุดสอาด |
ข้างขวามือมีหาดโลงลาดกว้าง |
ต้นไม้ไปเปนหมู่อยู่ตรงกลาง |
เหมือนแกล้งถางรอบเกาะเหมาะกระไร |
ที่ฝั่งซ้ายถอยถดลดเปนเขิบ |
เพราะน้ำเติบตื้นเขินเดินไม่ได้ |
ก็เปนฝั่งเราดีดีมีหมู่ไม้ |
เรือนข้างในมีบ้างห่างห่างกัน |
ไปหน่อยหนึ่งถึงที่ตพานทอด |
เห็นทรงเรือม่วงจอดอยู่ที่นั่น |
เจ้าพวกญวนลงอวนออกพัลวัน |
ชักกระชั้นเชือกกระชากลากขึ้นมา |
ดูปลาใหญ่ไม่ใคร่มีที่บกพร่อง |
ด้วยว่าต้องลากชักมาหนักหนา |
แต่กลางวันนั้นก็จ้ำร่ำกันมา |
แจกจ่ายโยธาทุกลำเรือ |
เวลานี้มีโตแต่ปลาหาง |
นับเปนอย่างเอกที่นี่รสดีเหลือ |
นอกนั้นได้ชะโดเค้าเข้ามาเจือ |
กับพวกเนื้ออ่อนบ้างอย่างย่อมเยา |
ลงอีกทีสี่ปากกระชากฉุด |
อุตลุดวุ่นวายเปนหลายเหล่า |
พอพ้นน้ำขึ้นมาเห็นปลาเค้า |
ปลาทูเข้าด้วยคราวนี้มีเปนกอง |
เหนือขึ้นไปที่ในลำบึงน้ำเก่า |
ฉันทราบเค้าได้ถนัดไม่ขัดข้อง |
ถึงมิได้ไปทั่วทางลำคลอง |
รู้ทำนองทางเดินเนินซากนั้น |
หลังพลับพลามาเปนชายเขิบกว้าง |
ก็เปนอย่างหาดแท้ไม่แปรผัน |
/*อยู่หน้าฝั่งที่เรียกเขิบเติบตั้งชัน |
มาหมดกันริมท่าขึ้นป่าดอน |
ต่อนั้นไปไม่มีหาดข้างริมฝั่ง |
ที่เหมือนดังเมื่อเข้ามาว่าแต่ก่อน |
น้ำในลำหนองนี้มีเปนตอน |
ที่ลึกสามศอกหย่อนได้หยั่งลอง |
ที่ปากทางข้างเหนือแลข้างใต้ |
ออกแม่น้ำใกล้ใกล้กันทั้งสอง |
ดินที่อยู่ตรงกลางหว่างลำคลอง |
จึงกลายต้องเปนเกาะเกือบจะกลม |
ปากข้างเหนือเรือเขาก็เข้าได้ |
แต่แลเห็นเปนต้นไม้ใหญ่ขึ้นร่ม |
ทางก็เขินน้ำมากปากเปนตม |
ปลาจึงมาสะสมอยู่ในนี้ |
ว่าสมเด็จเจ้าพระยามาห้ามไว้ |
มิให้ใครมาทำทั้งลำนี่ |
ถ้าน้ำลดแล้วไปลงอวนทุกปี |
ด้วยเปนที่เที่ยวของท่านแต่นานมา |
เสด็จกลับทางเรือเมื่อใกล้ค่ำ |
ฟังเฉื่อยฉ่ำด้วยสำเนียงเสียงปักษา |
กางเขนพลอดฉอดฉอดชื่นวิญญา |
สักสี่ห้าตัวเรียกออกเพรียกทาง |
นกเขาคูเรียกคู่จนฅอก่ง |
ตัวเมียหลงบินวัดฉวัดฉวาง |
นกเขาเขียวเปลี่ยวใจจับไม้คราง |
นกกระลางบินแฉลบแฉบเข้าไพร |
นกดเุหว่าเร่าร้องออกซ้องเสียง |
หัวขวานเมียงเข้าละเมาะเจาะจิกไผ่ |
กระลุมพูจับอยู่บนยอดไม้ |
เหยี่ยวตไกรจับจ้องคอยมองปลา |
ตั้งแต่วังใหญ่ไปไม่ใคร่พบ |
ดูสงบเงียบสำเนียงเสียงปักษา |
เขาว่าในพงพีมีธารา |
ไม่ต้องมาอาศรัยในนที |
ตั้งแต่ลุ่มสุ่มมาปักษาซ้อง |
เสียงร่ำร้องคอยสำเหนียกเพรียกวิถี |
แต่สูญเสียงนกยงฝูงชนี |
มิได้มีร่ำร้องในท้องทาง |
ออกปากช่องต้องเข็นเล่นกันยุ่ง |
ต้องพยุงยกประคองทั้งสองข้าง |
พอตกลำน้ำแจวไปแนวกลาง |
มาจอดข้างเรือที่นั่งบังปะรำ |
ถึงพลับพลาเปนเวลาขมุกขมัว |
พอเปลื้องเสื้อจากตัวก็ตกค่ำ |
ปะทับที่แคร่ไม้ไผ่ร่มไม้นำ |
แล้วทรงทำเครื่องเสวยตามเคยมา |
พลับพลานี้จะเปนที่ประทับอีก |
จึงเลยหลีกละไว้มิได้ว่า |
ตวันตกเฉียงใต้ใกล้คงคา |
หาดที่หน้าบ้านลาดดาดขึ้นไป |
เปนที่ทอดจอดเรือพระที่นั่ง |
ปะรำตั้งอยู่ข้างล่างก็กว้างใหญ่ |
มีที่สรงกรงกั้นลวดชั้นใน |
น้ำซึ้งใสสอาดปราศมลทิน |
ปะรำทางวางเรือกราวพันผ้า |
ผ่านขึ้นมาแต่หาดทรายชายชลสินธุ์ |
ขึ้นฝั่งหมู่ไม้ดื่นพื้นเปนดิน |
สีเหลืองสิ้นเพราะรคนปนกับทราย |
ที่พลับพลาปลูกท่าเปนกงฉาก |
ให้แลหลากเคยมีที่ทั้งหลาย |
แบ่งเปนขาละห้าห้องสองส่วนราย |
ขาข้างชายวารีที่ประทับ |
กันตอนในไว้เปนที่ศรีไสยาสน์ |
พระแท่นปูยี่ภู่ลาดมีพร้อมสรรพ |
ที่เฉลียงเคียงกันกั้นฉากพับ |
เปนที่ลับห้องสนานสำราญรมย์ |
ถัดออกมาวางท่าที่เสวย |
เปิดฝาเลยเฉียงมีมุลี่ร่ม |
ขาคู่กันปันเปนที่ประทม |
เสด็จสมเด็จท่านชานเดียวกัน |
แบ่งสามส่วนล้วนแห่งละสองห้อง |
ใช้ฉากทองยี่ปุ่นปักสลักคั่น |
มีบันไดสองแห่งแบ่งทางปัน |
ผู้อื่นนั้นอยู่ต่างหากจากพลับพลา |
เรือนแถวต่ำทำห่างออกไปมาก |
เปนกงฉากยาวไม่ต้องกันสองขา |
สิบหกห้องชานเดียวเลี้ยวขึ้นมา |
เฉลียงหน้าเปิดโถงโล่งนแลยาว |
ตามเฝืองฝาผ้าดาดสอาดสอ้าน |
ท้องเพดานขึงดาดลาดผ้าขาว |
เรือนข้างในตอนเหล่านี้ดีทุกคราว |
ต่อเกิดฉาวเรื่องนุ่งหยี่ที่ข้างบน |
เพราะบ่าวไพร่ไปตะกลามต้องถามซัก |
ทั้งโขลนลักผ้าผ่อนออกล่อนป่น |
เก็บได้เสื่อเปนพเนินจนเกินกล |
มันจะขนไปทำไมไม่รู้เลย |
จึงได้เลิกเรือนข้างในมิได้แต่ง |
ทั่วทุกแห่งทิ้งไว้ไม้เฉยเฉย |
กลับตอนนี้จึงยังมีเหมือนเช่นเคย |
ดูเปิดเผยกว่าที่อื่นดื่นโดยทาง |
หลังพลับพลาผ้าเขียวฉนวนขึง |
รกไปถึงชายไม้ดูใหญ่กว้าง |
ใต้ร่มไม้ไว้แคร่ไม้ไผ่วาง |
ที่พื้นถางหญ้าเลี่ยนปราบเตียนตา |
แต่ทิ้งไว้ให้เปนเนินสูงแลต่ำ |
เว้นแต่ตรงที่ทำสนามหญ้า |
ตั้งอยู่เหมาะฉะเพาะหว่างขาพลับพลา |
ยาวเนื่องมาจดถึงแนวเรือนข้างใน |
รั้วไม้รวกต่ำต่ำทำกั้นรอบ |
เปนเขตขอบหญ้าขึ้นเขียวไสว |
เก้าอี้หวายรายวางสล่างไป |
ตามต้นไม้โคมกระดาษแขวนกลาดราย |
บางต้นดีทีท่าเหมือนไม้ดัด |
ตะโกตัดตอต่ำทำไว้หลาย |
บางต้นโค้งคูคอดยอดเอนชาย |
ไม่กระจายกระจัดอยู่เปนหมู่กัน |
ส่วนข้างหน้าที่พลับพลามีมุขขวาง |
ตรงห้องกลางที่เสวยเลยฝากั้น |
เปิดเต็มหน้าพลับพลากว้างวางอัฒจันท์ |
ตัวมุขนั้นสองห้องพอต้องการ |
ไปอิกทีมีโรงเปนที่พัก |
องครักษ์ทำไว้ใกล้หน้าฉาน |
ทั้งเปนที่โรงละคอนผ่อนสำราญ |
เช่นเมื่อวานซืนนี้เคยมีมา |
เสวยค่ำวันนี้ที่แคร่ไม้ |
แต่ว่าไม่พอนั่งยังต้องหา |
ที่อื่นไปวางลาดเรียงดาษดา |
สักสี่ห้าจึงได้พอต่อต่อเรียง |
ทูลหม่อมทรงเล่นทหารเปนการใหญ่ |
ขึ้นเชียงใหม่ตัดทางข้างลาวเฉียง |
ปักกิ่งไม้เปนป่าพลับพลาเคียง |
จัดลำเลียงเข้าปลาล่วงหน้าไป |
ทำทางใหม่ไปถึงเมืองแม่ฮ่องสอน |
พระองค์โสนบทจรจากเชียงใหม่ |
ไปรบกับยางแดงแบ่งพวกไว้ |
คอยซุ่มสู้อยู่ในพุ่มไม้รก |
ต้องทำทางต่อใหม่มิได้หยุด |
อุตลุดเกิดกันตารทหารตก |
ต้องเที่ยวหาวุ่นวายเปนหลายยก |
มักไปหมกหมู่ร้ายต้องให้รื้อ |
แล้วปักใหม่ให้แล้วในเดี๋ยวนั้น |
เร่งรัดจัดกันออกอึงอื้อเ |
เสวยเข้าถวายไม่ได้หยุดมือ |
จนอิ่มตื้อเต็มที่พอตียาม |
เชิญเสด็จกลับไปไม่ใครเสด็จ |
ยังไม่เสร็จเร่งรัดจัดสนาม |
จึงต้องเลิกการณรงค์หย่าสงคราม |
ทรงอึ้งตามกันออกเงียบเซียบสำเนียง |
เสวยเสร็จเสด็จออกไปข้างหน้า |
ประทับที่มุขพลับพลาชั้นเฉลียง |
พวกนายด้านพร้อมหน้ามารายเรียง |
ได้ยินเสียงขานบาญชีที่ข้างใน |
บางคนได้ดุมหมวกมีเสื้อด้วย |
เปนอย่างรวยแต่หาทั่วกันหมดไม่ |
ทั้งพวกไพร่ได้รางวัลนั้นกะไว้ |
ลาวสีไม้เมืองเพชรบุรี |
สองร้อยถ้วนจำนวนคนละหกบาท |
ต้องคลาคลาศจากบ้านผ่านวิถี |
พวกชาวด่านทุกตำบลคนเมืองนี้ |
คนละสี่บาทถ้วนจำนวนรับ |
เบ่นคนถึงสองร้อยไม่น้อยกว่า |
ทำพลับพลาอยู่กับบ้านการเสร็จสรรพ |
ที่ต้องไปไกลทำที่ประทับ |
ตามลำดับแม่น้ำน้อยสามร้อยปลาย |
แจกเงินตราคนละห้าบาททั้งนั้น |
เครื่องทำสรรพ์น้อยมากจากคาหวาย |
คิดราคาหักส่วยด้วยทุกราย |
แล้วจึงขายเลหลังส่งคลังไว้ |
ส่วนสมเด็จกรมพระกะการสิ้น |
ทั่วทุกถิ่นทั้งประพาสหาขาดไม่ |
ประทานดุมฉลององค์ที่ทรงใช้ |
มาถึงใหม่พึงจะมีที่กรุงนี้ |
พื้นอาลูมินำทำแบนขัด |
ประดับด้วยเนาวรัตนเรืองรังสี |
ฉลององค์ขนหนูดูนุ่มดี |
พอสักสี่ทุ่มเสร็จสำเร็จการ |
หยุดประทับบนพลับพลาเวลาค่ำ |
เสียงเฉื่อยฉ่ำเรไรร้องไขขาน |
ค่อยหายเหือดเผือดร้อนผ่อนสำราญ |
จบกิจการในวันนี้ที่มีมา ฯ |