๏ ย่ำรุ่งครึ่งอึงลั่นกันฉาวฉ่า |
ออกนาวาบั่นบากไปจากที่ |
เรียงเรียบงามตามกระบวนทวนวารี |
ถึงปากคลองเจดีย์บูชาพลัน |
บ่ายนาวามาตามตวันตก |
ไม่เวียนวกว่างไร้ทิวไม้กั้น |
ริมข้างคลองสองฝั่งสูงตั้งชัน |
แม้ไม่ตันน้ำหลากมากคงพัง |
นี่อยู่ดีเว้นแต่ที่กระบือข้าม |
ทลายลามลงเปนหนองทั้งสองฝั่ง |
ทำให้คลองตื้นได้ไม่จิรัง |
เปนโขดตั้งเต็มขวางอยู่กลางคลอง |
เมื่อเข้ามาวารีพึ่งขึ้นใหม่ |
ถ้ารอไปช้าช้าคงมาคล่อง |
แต่จะร้อนเหลือกำลังเกือบหนังพอง |
น้ำลึกสองศอกถ้วนด่วนเข้ามา |
ไปได้หน่อยน้ำถอยลงศอกหนึ่ง |
ตอนจวนถึงนั้นต้องค้ำร่ำถึงท่า |
แห่งหนึ่งน้ำขอดข้นพ้นตำรา |
พวกฝีพายถกผ้าลงยืนราย |
พอเรือผ่านก็ทยานเข้ารุนเข็น |
มาบนเลนลงกระสินธุ์สิ้นทั้งหลาย |
ถึงอำผางทางฉนวนล้วนคนราย |
ไม่ทันสายสองนาฬิกาตรง |
ที่บนฝั่งตั้งพลับพลาหลังคาสี |
ม่านมู่ลี่แลอร่ามงามระหง |
ทหารถือปืนห้อมยืนล้อมวง |
เสด็จตรงขึ้นประทับบนพลับพลา |
พอพร้อมพรั่งตั้งริ้วยุรยาตร |
กระบวนอัศวราชเรืองสง่า |
ทรงม้าต้นผ่านสลับรยับตา |
ชื่อผยองหยาดฟ้าดังม้ายนตร์ |
ม้าทหารพานจะหลอนดูจ้อนจ๋อย |
ตัวน้อยน้อยเริงแรงแขงพหล |
ควบขี่ขับรับงานได้ทานทน |
เข้าไพรสณฑ์ดีกว่าม้าเมืองไกล |
กระบวนหน้าไปเปนหมู่ดูกลากลาด |
แตรประกาศกระบวนเดินดำเนินไสว |
ตำรวจมีสี่ม้ารอาใจ |
กลัวจะไปพลัดตกหกคมำ |
ข้างเบื้องหลังม้าที่นั่งน้องยาเธอ |
ขับเสมอดาหน้ากันคลาคล่ำ |
มหาดเล็กแลทหารงานประจำ |
เดินตามลำดับกระบวนไม่ป่วนปน |
ถัดนั้นมารถาทูลหม่อมเสด็จ |
ขับรเห็จเร็วรัดไม่ขัดสน |
วอประเทียบเรียบงามตามจรดล |
พอไปพ้นกระบวนรถบทจร |
รถเถ้าแก่ท้าวนางมาข้างหลัง |
พร้อมสพรั่งบ่าวตามหลามสลอน |
เลียบทุ่งกว้างกระจ่างแจ้งแสงทินกร |
ผผ่าวร้อนลวกลนสกนธ์กาย |
ทางตัดตามคันคลองกองดินเก่า |
แต่ว่าเขาทุบปราบราบใจหาย |
ดูกว้างขวางรถม้ามาสบาย |
ริมคลองรายเสาปักพนักกัน |
เผื่อม้ามีกิริยาพาโผนเผ่น |
ราวคงเปนที่ประหยัดสกัดกั้น |
รางวารีที่มรรคาตัดมานั้น |
ถมดินตันตลอดราบปราบเปนทาง |
ริมวิถีมีนาธัญญาหาร |
ประจวบกาลรวงแก่แลสล้าง |
เกี่ยวแล้วมากบางแห่งมีที่ยังค้าง |
ถึงเปิดรางน้ำเห็นไม่เปนไร |
ล่วงหนทางมาข้างในไม่สู้มาก |
พฤกษาหลากเหล่าหลายรายไสว |
ครั้นจะว่าค้าคารมชมนกไม้ |
ก็หนักใจสุดจนพ้นปัญญา |
ด้วยตั้งจิตต์คิดนิพนธ์คนละอย่าง |
จะใช้ทางความหมดงดมารษา |
ไม่ว่าโวหารอย่างข้างอักขรา |
ด้วยปราร์ถนาจะให้แผกแปลกทำนอง |
ชมไม้จริงไม่มีสิ่งจะเลือกฟั้น |
จะรำพันให้เสนาะเพราะขัดข้อง |
แต่ได้จดชื่อต้นไม้ไว้เรียงลอง |
ที่เห็นสองฟากข้างหนทางมา |
กระทุ่มกระท่อมแถวกระทิงเทียมกระท้อน |
ต้นรักซ้อนไทรย้อยทั้งน้อยหน่า |
มเกลือกุ่มดงสแกแลสุดตา |
ต้นทรงบาดาลสเดาคัดเค้าแค |
มตุมตาลต้นตกหมู่มพร้าว |
หมากมนาวแลมเขือมีเหลือแหล่ |
มเดื่อดันคั่นมขวิดชิดอัดแอ |
ต้นน้อยแหน่ขนุนหนังฝรั่งมเฟือง |
หมู่มรุมไชยพฤกษผกากรอง |
อิกทองหลางกาหลงกระถินเหลือง |
มม่วงมขามตามวิถิมีนองเนือง |
มักปลูกเนื่องกันเปนหมู่อยู่กลางแปลง |
มขามเทศเบียดทึบแทนรั้วบ้าน |
รอนกิ่งก้านกองมากตากจนแห้ง |
ใช้เปนฟืนไวดีอัคคีแรง |
หมั่นตกแต่งตัดแยกยิ่งแตกงาม |
ไม้อื่นอื่นดื่นวิถียังมีมาก |
สังเกตยากไม่เข้าใจต้องไต่ถาม |
เพราะไม่มีดอกผลจึงจนนาม |
ขอตัดความว่าด้วยย่านบ้านริมทาง |
เจ็ดตำบลจนกระทั่งถึงลานพระ |
เปนระยะตั้งอยู่หมู่ห่างห่าง |
จะบอกชื่อชวนชิดชักจืดจาง |
ขอว่าวางไปถึงธรรมศาลา |
ลำคลองเลี้ยวเอี้ยววงที่ตรงนี้ |
ตัดวิถีห่างฝั่งมาข้างขวา |
เขาจัดโอ่งน้ำรายชายมรรคา |
กระบวนมาได้อาศรัยใช้ดับร้อน |
แลข้ามคลองมองเมิลตามหมูไม้ |
เห็นปรางค์ใหญ่สืบสร้างแต่ปางก่อน |
คือพระประโทนที่เขาเล่าข่าวขจร |
ว่าพราหมณ์หนึ่งที่นครกุสินาราย |
ห้ามทั้งเจ็ดกษัตราที่มาแย่ง |
เข้ารับแบ่งพระธาตุตวงถวาย |
แต่พราหมณ์นั้นนุ่งแท้แกอุบาย |
คิดยักย้ายเอาพระทันตธาตุไว้ |
หาที่เก็บเหน็บซ่อมแซมเกศา |
องค์อินทราทราบเหตุหานิ่งไม่ |
มาทรงโมยจากมวยตาพราหมณ์ไป |
บรรจุในองค์พระจุฬามณี |
พราหมณ์แจกหมดคลำไม่พบพระเขี้ยวแก้ว |
เสียทีแล้วจะอึงไปก็ใช่ที่ |
เหลือโทนทองที่ตวงได้ท่วงที |
จึงทูลขอทนานนี้ไปมัสการ |
สร้างพระปรางค์สูงใหญ่ใกล้นิวาส |
ทนานมาศบรรจุไว้ในสถาน |
จึงเรียกว่าพระประโทนเปนนิทาน |
เรื่องโบราณช่างเถอะอย่าถือเลย |
ตรงบ้านเกาะเหมาะดีที่มีน้ำ |
ปักปรำพักร้อนรอเสวย |
สุทธารสเย็นร้อนผ่อนเสบย |
เคยเลี้ยงเพชรบุรีทีหนึ่งแล้ว |
ที่บ่อพลับเกวียนนับด้วยเรือนร้อย |
มาจอดคอยที่จะจ่ายรายเปนแถว |
ถึงห้วยตเข้เห็นคลองเปนช่องแนว |
ทางคลาศแคล้วพระประโทนที่กล่าวมา |
ไปครู่หนึ่งถึงที่พระประถม |
ฉันชื่นชมพ้นจะร่ำรำพันว่า |
ขึ้นตพานผ่านคลองเจดีย์บูชา |
ถึงศาลาแลกุฎีที่หลังวัด |
เขาผูกรั้วริมทางสองข้างตลอด |
คันธงสอดเปนระยะจังหวะจัด |
ผูกใบไม้คล้ายทำนองฝรั่งชัด |
ไม่เลี้ยวลัดตรงลิ่วล้วนทิวธง |
หว่างศาลาที่จะไปในสนาม |
เพดานโค้งผูกอามงามระหง |
เปนโรงรีมีปะรำทำยิ่งยง |
ร้านพระสงฆ์อยู่ข้างขวาหน้ากุฎี |
กรมหมื่นพระองค์เจ้าพระอรุณ |
ทั้งเจ้าคุณอริยพระกรุงศรี |
กว่าสี่สิบสมทบทั้งวัดนี้ |
พระสุเมธีนั้นมีน้ำมนต์ปราย |
พระยาพิพัฒโกษามาคอยรับ |
อยู่กำกับกรมการสิ้นทั้งหลาย |
พวกจีนโต๊ะจีนตั้งอยู่ข้างซ้าย |
มายืนอยู่มากมายหลายสิบคน |
หยุดประทับรับสั่งกับพระสงฆ์ |
แล้วเลยตรงไปตามทางหว่างถนน |
กลางสนามหน้าเจดีย์มีแต่ชน |
มาเกลื่อนกล่นคอยดูอยู่แน่นนัน |
ถึงประถมเจดีย์สี่โมงเช้า |
ทางจนเข้าในปะรำจำไว้มั่น |
สองร้อยสี่สิบเส้นเปนสำคัญ |
เสด็จมัสการพลันในทันที |
แล้วคืนยังวังพระนครประถม |
เขาปูพรมฉาบฝาแลทาสี |
ซอมแซมใหม่พอใช้สอาดดี |
ทิ้งไว้เปนหลายปีจนผุพัง |
ข้างในมาช้าไปเปนโมงเศษ |
ฉันทราบเหตุเพราะได้ยินที่รับสั่ง |
ทอดกลางวันเหนื่อยสุดต้องหยุดยั้ง |
เย็นข้างในขึ้นไปยังพระเจดีย์ |
สวดมนต์ในพระวิหารข้างด้านหน้า |
พระร้อยยี่สิบกว่าเสียงดังมี่ |
ห้าสิบห้าที่ว่าอยู่ในวัดนี้ |
มาแต่กรุงสี่สิบสี่มีจำนวน |
พระฐานาอธิการสถานใกล้ |
นิมนต์ได้แปดสิบเศษได้สอบสวน |
ประทานผ้าคู่หนึ่งพึงพอควร |
ห่มนอนได้ไม่ถ้วนกันทุกองค์ |
สวดมนต์เสร็จเสด็จสู่หลังวิหาร |
ฟังพระท่านทำวัตคัดแต่สงฆ์ |
ฝ่ายมหานิกายปลายจบลง |
ทักษิณวงเดินเทียนเวียนเจดีย์ |
จุดเทียนรายปลายพนักชั้นทักษิณ |
จนรอบสิ้นแสงสว่างกระจ่างสี |
ครบสามรอบโดยเคารพจบวิธี |
เสด็จลีลาสลงตรงอัฒจันท์ |
ประทับซุ้มรเบียงนอกจุดดอกไม้ |
พุ่มไสวสว่างดีส่งสีสัน |
กระถางระทาซุ้มกลุ้มเปนควัน |
พเนียงพลุจุดลั่นดังไม่เบา |
มีทั้งงิ้วทั้งละคอนกระฉ่อนฉาน |
แต่เปนการของราษฎรเขา |
พร้อมใจกันทั้งบ้านย่านลำเนา |
เรี่ยรายเข้ากันหาให้มามี |
รับเสด็จแลสมโภชพระประถม |
ด้วยชื่นชมปรีดิ์เปรมเกษมศรี |
จับแต่เย็นเล่นมาจนราตรี |
ได้เปนที่เกลื่อนกล่นคนประชุม |
ข้างในกลับลงมากอนได้ผ่อนพัก |
เสด็จกลับเห็นจะสักเกือบสองทุ่ม |
สว่างแจ้งแสงไฟไม่มืดคลุ้ม |
ต้นไม้พุ่มโคมกระดาษแขวนกลาดไป |
อันเรื่องรายไดอรีวันนี้นั้น |
ยุติกันไว้ที่เพียงนี้ได้ |
จะร่ำเรื่องให้เสนาะเพราะจับใจ |
ก็ไม่ไหวหมดเวลาว่าไม่ทัน |