๏ เมื่อคืนนี้นางชนีที่ไล่จับ |
เลยนอนหลับแต่กลางคืนหาตื่นไม่ |
เสียดายจนอ่อนเปลี้ยแสนเสียใจ |
เคยเล่นได้เชื่องสนิทติดรักคน |
เมื่อคืนนี้ก็ยังดีไม่เจ็บไข้ |
ฉันเข้าไปปลุกขึ้นเล่นเปนหลายหน |
ปีนมุลี่หนีขึ้นไปข้างบน |
จนถูกฝนเมื่อหัวค่ำร่ำลงมา |
จะเสด็จลงเรือเมื่อยามดึก |
ทรงนึกกลัวตื่นกลับจับเปนบ้า |
คงทิ้งไว้ไม่มีใครจะนำพา |
จึงให้ส่งไปข้างหน้าที่หลวงนาย |
ผูกไว้ข้างที่นอนจนตอนเช้า |
เห็นนั่งเจ่าหลับกรนอยู่จนสาย |
นึกผิดใจไปต้องร้องว่าตาย |
ก็ตามชายคาชุ่มอุ้มพิรุณ |
ตามปะรำฉ่ำไปไม่มีแห้ง |
เสียงป๋องแป๋งเปื้อนหยดหมดที่อุ่น |
รู้อย่างนี้รับเอาไว้จะได้บุญ |
ทัง้จะคุ้นเคยเล่นเพราะเห็นชิน |
ออกนาวาในเวลาสามโมงเศษ |
เสาะสังเกตเล็งแลกระแสสินธุ์ |
เรือลอยล่องคล่องคว้างเหมือนอย่างบิน |
ล่วงเลยถิ่นทุกตำบลพ้นเร็วมา |
สามโมงกับเศษสวนทวนท้ายทอด |
เข้าหยุดจอดปะรำคาดหาดสบ้า |
ไม่มีเรื่องราวสำคัญจะพรรณา |
มีแต่ปลามาถวายหลากหลายพรรค์ |
ชื่อก็ซ้ำกับที่ร่ำมาแต่ก่อน |
จะว่ากลอนซ้ำใหม่ก็ไม่ขัน |
แปลกอยู่แต่ปลาเสือเหลือสำคัญ |
เขาชมกันแกงดีมีรสนัก |
ตัวกว้างใหญ่ได้สักสองฝ่ามือแผ่ |
เกล็ดเหลืองแลราวกับทองมองประจักษ์ |
ริ้วดำผ่านสอ้านตาเห็นน่ารัก |
นับเปนยักษ์ของปลาเสือเนื้อลองแกง |
ทำไม่ถูกฤๅอย่างไรก็ไม่รู้ |
ได้ลองดูออกเบื่อเพราะเนื้อแขง |
ใหญ่เกินไปไม่ใคร่เห็นมีรสแรง |
กับทั้งแคลงฝีมือบ้างหักร้างกัน |
ส่วนพลับพลาไม่ได้ว่าไว้ครั้งก่อน |
คิดปันตอนมาไว้กลับลำดับผัน |
พลับพลาเหมือนกันทุกแห่งแกล้งแบ่งปัน |
ดูเชิงชั้นเหมือนกับใหญ่ได้กว่าเดิม |
เขาคิดวางด้านขวางเปนข้างหน้า |
ต่อชานมาจนถึงน้ำปะรำเสิม |
ที่ข้างในชานโถงเปิดโล่งเติม |
ไม้ไผ่เพิ่มหลังพนักยักทำนอง |
ชลอมใช้ใส่ดินปลูกต้นไม้ |
มาตั้งไว้ตามแนวเรียงแถวท่อง |
กล้วยไม้ป่าหาเลือกเชือกสอดคล้อง |
กระเช้ารองแขวนรายตามชายคา |
ที่พลับพลาทั้งเฉลียงเพียงห้าห้อง |
ข้างหน้าสองในสองป้องปิดฝา |
เฉลียงห้องหนึ่งข้างหลังพลับพลา |
เปนห้องที่นิทราตอนข้างใน |
ข้างพลับพลาเหนือน้ำทำที่สรง |
แต่ถูกตรงน้ำอับลับไม่ไหล |
ปะรำเรือใต้น้ำทำต่อไป |
กว้างยาวใหญ่เหมือนอย่างมีที่ทั้งปวง |
ที่หาดทรายข้างหลังนั้นตั้งแคร่ |
เสียงเซ็งแซ่โขลนจ่าพวกข้าหลวง |
ผ้าม่านอ้อมล้อมหลังตั้งกระทรวง |
มิได้ล่วงเลยลัดตัดตำรา |
พระณรงค์วิชิตได้คิดอ่าน |
เปนนายด้านทำกิจคิดอาสา |
กับพระปนัสดิฐติดขึ้นมา |
กำกับพวกโยธาที่ทำการ |
ฉันลืมไปไม่ได้ว่าอีกหลายอย่าง |
วันนี้ว่างจะขอเพิ่มต่อเติมสาร |
ที่ท้องช้างวางระยะกะทำงาน |
เปนหน้าด้านพระมหาอัคนิกร |
ด้วยเปนคนชำนาญในการช่าง |
เคยทำการต่างต่างมาแต่ก่อน |
ที่พลับพลาวังเขมรเกณฑ์ตัดตอน |
พระอมรมหาเดชเปนเขตรปัน |
พระผลกดิฐได้คุมไพร่ |
มาตัดไม้ทำงานการในที่นั่น |
น้ำโจนใหญ่ไทรโยคอย่างสำคัญ |
ตำบลนั้นหน้าที่พระศรีพิทักษ์ |
ยกรบัตรกรมการอยู่บ้านล่าง |
เกณฑ์มาบ้างตามตำแหน่งแบ่งปันปัก |
หลวงอาสาเจ้าเมืองใหม่ใจจงรัก |
ช่วยกันทำตำหนักในที่นั้น |
หัวเมืองลำน้ำนี้นั้นมีหก |
เปนเมืองยกไว้แต่นามตามเขตรขัณฑ์ |
ด้วยเปนทางทัพมอญจรจรัล |
ใช่จะไว้ป้องกันประจันบาน |
อันความในที่ให้มอญไปตั้ง |
ด้วยความหวังว่าจะไว้ให้เปนด่าน |
จะได้เดินสืบสาวข่าวราชการ |
จนถึงสถานต่อแคว้นแดนเมืองมอญ |
ซึ่งไม่เรียกตรงตรงคงว่าด่าน |
หวังจะให้ข่าวสารแซ่กระฉ่อน |
ถ้ารามัญแลพม่าจะมารอน |
ไม่กล้าจรมาได้ง่ายสบายใจ |
ด้วยระแวงว่าบุรีมีเปนระยะ |
พอปะทะทัพราให้ช้าได้ |
เปนอุบายแต่โบราณท่านทำไว้ |
มิใช่ใหม่ชั้นพม่ามาราวี |
ในชั้นหลังตั้งเติมขึ้นใหม่บ้าง |
กับคิดวางผู้คนที่ร่นหนี |
อันชื่อเมืองซึ่งตั้งทั้งหกนี้ |
คือบุรีท่าตะกั่วตัวเจ้าเมือง |
เปนพระชิณดิฐบดี |
ชื่อตั้งตามนามบุรีให้ถูกเรื่อง |
เมืองลุ่มสุ่มนินดิฐคิดฝืดเคือง |
จะให้เนื่องกันไปยากลำบากใจ |
ท้องผาภูมชื่อแผกแปลกสองนี้ |
เสลภูมบดีสร้อยเศกให้ |
ส่วนไทรโยคชื่อแยกแตกทางไป |
แปลต้นไทรเปนมคธจดอ้างอิง |
ชื่อว่านิโครธาภิโยคย้าย |
ยังโบราณมากมายคือเมืองสิงค์ |
ชื่อเจ้าเมืองเยื้องอย่างต่างกันจริง |
เปนที่พระสมิงสิงคบุรา |
ท่าขนุนนั้นพระปนัสดิฐ |
เมืองต่อติดไทรโยคอยู่ข้างหน้า |
ไปต่อเมืองกะเหรี่ยงทางกลางพนา |
ที่ลงมาเฝ้าแหนอยู่แน่นนัน |
ตั้งแต่วังเขมรไปในตอนนี้ |
ต้นหงอนไก่มักจะมีต่างสีสัน |
เขาเก็บมาเปนตัวอย่างต่างต่างกัน |
บางอย่างสั้นบางอย่างยาวขาวเหลืองแดง |
บ้างเผือดผ่อนอ่อนแก่แลหลายเหล่า |
บ้างสีเทาถอยถดบ้างสดแสง |
ถึงสิบสี่สิบห้าอย่างไม่คลางแคลง |
จะว่าให้จะแจ้งฉันเหลือจำ |
หมู่ผีเสื้อต่างต่างอีกอย่างหนึ่ง |
เปนสุดซึ่งวาจาจะว่าร่ำ |
ที่หมู่ดำมากมวญล้วนแต่ดำ |
บินเกลื่อนคล่ำกว่าร้อยน้อยเมื่อไร |
บางหมู่ขาวราวกับว่าผ้าขาวพาด |
ที่แดงดาษดาอยู่เปนหมู่ใหญ่ |
ลางเหล่าเหลืองเรืองรางอย่างอุไร |
เที่ยวตอมไต่พฤกษาน่าเอนดู |
ล้วนสลับสับสีมีต่างต่าง |
หลายสิบอย่างเหลือจดให้หมดหมู่ |
บ้างพาพวกลอยล่องบินฟ่องฟู |
บ้างบินวู่เวียนวงตรงหาดทราย |
แม้ว่าเนชุรัลลิสคิดค้นจับ |
คงได้นับร้อยอย่างต่างเหล่าหลาย |
แต่เห็นไกลไม่สู้ชัดสนัดราย |
ลองนับหมายไว้กว่าสิบห้าพรรณ |
ชนีไล่ได้มาใหม่ในวันนี้ |
ดุเต็มทีโกรธไปทั่วทำหัวสั่น |
รูปร่างเล็กกว่าก่อนอ่อนกว่ากัน |
จูงไปไหนไม่จรัลนั่งยันกราน |
ส่งอะไรให้กินก็ไม่รับ |
เฝ้านั่งหลับไนยนาน่าสงสาร |
ประเดี๋ยวอ่อนนอนเปลี้ยเพียงเสียการ |
นึกรำคาญกลัวไม่รอดตลอดทาง |
เสื้อกะเหรี่ยงที่ถวายมาหลายแห่ง |
ทรงตัดแบ่งสวนประมาณม่านหน้าต่าง |
แล้วเข้าขอบติดหูดูสำอาง |
แล้วแขวนข้างเรือที่นั่งทั้งแปดบาน |
แม้ดูไกลใสตากว่าแพรเก่า |
พื้นดำเข้าริ้วแดงสอดแสงฉาน |
ปักผลเดือยดูวิจิตรพิสดาร |
เขาชำนาญลวดลายหลายทำนอง |
บ้างใช้ลูกเดือยยาวขาวสอาด |
บ้างปักชาติรูปไข่ใช้เปนสอง |
มีระย้ายืนย้อยห้อยพวงกรอง |
ลายไม่พ้องกันสักเสื้อเหลือวิลัย |
กว่าจะแล้วแต่ละตัวชั่วเดือนกว่า |
ยังอุส่าห์สู้ประดิษฐคิดทำได้ |
แม้รู้จักแม่สดึงขึงเข้าไม้ |
จะทำไว้ขึ้นกว่านี้ไม่มีครู |
ถามซื้อหาก็ว่าเพียงยี่สิบบาท |
แต่บอกขาดว่าไม่มีที่เหลืออยู่ |
ได้ซื้อขายปักทำสำหรับผู้ |
ที่ไปสู่ในสถานการประชุม |
ต่อเมียใครเปนเศรษฐีจึงมีใส่ |
ไปข้างไหนตามดูกันอยู่กลุ้ม |
ถ้าสาวโสดสวมกายผู้ชายรุม |
ขายไม่คุ้มค่าลำบากทำยากเย็น |
ลูกเดือยยาวเขาถวายทรงจ่ายแจก |
เปนของแปลกเย็บปักถักร้อยเล่น |
สร้อยข้อมือร้อยใส่มิได้เว้น |
บ้างทำเปนกระเช้าหมากดูหลากตา |
บ้างปักไหมพรมปันคั่นลูกปัด |
ตามสนัดทางไหนได้ทุกท่า |
บ้างปักเปนลวดลายชายขาวม้า |
แต่ได้มาน้อยไปไม่ใคร่พอ |
รับสั่งถามหาต้นที่บนฝั่ง |
เขาว่ายังมีมากอยากเก็บต่อ |
พวกกะเหรี่ยงว่าใกล้แต่ใจท้อ |
มันเดินถ่อเร็วนักออกหนักใจ |
จะเสวยที่ปะรำซ้ำมีฝน |
จึงเสด็จขึ้นบนพลับพลาใหญ่ |
แต่เข้าที่เรือที่นั่งหวังครรไล |
ให้ทันในเวลารุ่งราตรี ฯ |