วัน ๖ ๑๐ฯ ๒ ค่ำ

วัน ๖ ๑๐ ๒ ค่ำ

๏ ตีสิบเอ็จเอะอะกันนอกค่าย รู้สึกกายตื่นนั่งยังหนาวฉี่
ปรอทตกหกสิบเอ็ดดิครี ย่ำรุ่งมีเศษเวลาห้ามินิต
เสด็จจากค่ายหลวงล่วงลิลาส กระบวนรถคลาคลาศตามหลังติด
แล้วพระวอต่อไปเดินใกล้ชิด ย้อนทางลงตรงทิศทักษิณนั้น
หน้ากุฎีมีพระสงฆ์ยี่สิบเศษ ส่งเสด็จที่เขตรอารามคั่น
เลี้ยวลงตรงหน้าสเตชัน ไปตวันตกสถานกาญจน์บุรี
ทางทำใหม่เกวียนไปเปนร่องหลุม ฝุ่นขึ้นกลุ้มเกลื่อนทางหว่างวิถี
ออกดงรังไปกระทั่งท้องนามี คนในหมู่บ้านนี้มาตั้งทำ
บ้านตะเข้ลากทองเขาร้องเรียก สุดสำเหนียกแปลนามเปนความกล้ำ
เหมือนกับว่าหลังคามุงด้วยน้ำ เรียกตามบุญตามกรรมจำยากเย็น
ระยะนี้มีแต่กอไผ่เปนพื้น ต้นไม้อื่นแลไปมิใคร่เห็น
ออกที่โถงเห็นโรงเด๊กกระเด็น เขาว่าเปนสเตชันเช่นต้นทาง
เรียกห้วยกรดจดชื่อฉลากปัก เห็นลำห้วยเลี้ยวหักไปข้างข้าง
ไปหน่อยหนึ่งก็พอถึงห้วยขานาง พลับพลาวางไว้ข้างซ้ายชายมรคา
สองหลังต่อกันกันใบไม้ ดูโปร่งโปร่งเหมือนยังไม่ได้กั้นฝา
แม้อยากได้ต้องหับลับไนยนา ก็อย่าหาเลยที่นี่ไม่มีบัง
ประทับอยู่ครู่หนึ่งก็เลยไป แต่ข้างในมาถึงเมื่อภายหลัง
หยุดพักสักครึ่งโมงกระมัง ไปครู่หนึ่งถึงที่ตั้งหลักแดนไว้
เข้าในแดนเมืองด่านกาญจน์บุรี ถึงบ้านดอนกระดีมีนาไร่
ดูพื้นป่าท่าทางก็แปลกไป ไม่เปนไผ่รกรกเหมือนแรกมา
พ่างพื้นรื่นราบดังปราบไว้ แลไปโล่งเลี่ยนเตียนนักหนา
ต้นไม้รายคล้ายวาดสอาดตา ฝูงปักษาน้อยน้อยลอยล่องบิน
บ้างจับสายโทรเลขแลเปนแถว ไซ้ปีกส่งเสียงแจ้วแล้วโผผิน
นกตขาบคาบเหยื่อมาหยุดกิน พอได้ยินเสียงรถถลาไป
ถึงบ้านน้อยเดินในระหว่างวัด พระสงฆ์จัดปลูกแคร่ขึ้นใหม่ใหม่
ออกมานั่งพรั่งพร้อมถวายไชย ที่ร่มไม้ในวิถีมีปะรำ
เลี้ยงน้ำชาโซดาแลน้ำขิง สิ้นทุกสิ่งที่บันดาคนคลาคล่ำ
ตัวจีนเลี้ยงเขาไม่ละมาประจำ เปนจีนทำภาษีฝิ่นในถิ่นนี้
ตั้งแต่บ้านน้อยมานาตลอด ถูกแดดทอดนี้อ่อนด้วยร้อนจี๋
เพราะต้นไม้ที่ใหญ่ใหญ่ไม่ใคร่มี จนถึงที่หนองขาวที่หมู่คน
บ้านแห่งใดรั้วไม้รวกสูงสูง ด้วยกลัวฝูงขะโมยจะมาปล้น
อิกอย่างหนึ่งกลัวเสือนั้นเหลือทน แต่ก่อนมาวิ่งวนจนในเมือง
ไม่แต่เรือนเรือกสวนสิ้นทั้งนั้น แต่บ่อน้ำก็กั้นคอกเขื่องเขื่อง
พวกชาวบ้านมาดูอยู่นองเนือง ต่างตั้งเครื่องบูชาหน้าบ้านเรือน
วัดหนองขาวคราวนี้ดีนักหนา เกิดปัญหาอย่างดีไม่มีเหมือน
อยู่ข้างขัดข้องเข็ญเห็นฝืดเคือง ดำเนินเรื่องปัญหาว่าดังนี้
พระวัดหนึ่งนั้นอยู่ข้างทางเสด็จ ปลูกร้านเสร็จดาดปะรำประจำที่
คอยถวายไชยข้างทางจรลี แต่พื้นมีฉะเพาะพระในวัดนั้น
เห็นกระบวนม้านำแลตำรวจ ก็ก้าวพรวดขึ้นไปนั่งดังจัดสรร
ปลัด “ข” องค์หนึ่งมาถึงพลัน ไปขอช่วยท่านเหล่านั้นแต่ยังยืน
พวกเจ้าวัดเห็นว่ามาแต่ไกล เปนผู้ใหญ่จึงขยับไปที่อื่น
พร้อมกันนั่งกระทั่งก้นถึงพั้น ที่กลางแคร่หักครืนลงทันใด
ยังมีสมเด็จเจ้านามว่า “ก” วิ่งวางมาหาทันขอสักคำไม่
ขึ้นนั่งหัวกระดานหักชักสวดไป ม้าที่นั่งนั้นใกล้สักสิบวา
พระที่ตรงพื้นหักจักประมาณ จมอยู่ในใต้กระดานเพียงแค่บ่า
ที่นั่งเคียงสูงเปนหลั่นกันขึ้นมา จะย้ายท่าไปอย่างใดก็ไม่ทัน
พระผู้เปนเจ้าวัดที่จัดแคร่ จะควรคิดแก้ไขไฉนนั่น
ให้ได้สวดรับเสด็จโดยทันควัน ปัญหานั้นเปนดังนี้มีเรื่องราว
ต่อนั้นไปเดินในหมู่ตำบลบ้าน พอหมดย่านประทับร้อนตอนหนองขาว
เปนสองหลังตั้งติดกันตามยาว จะขอกล่าวด้วยเวลาที่มานั้น
ทางห้าร้อยสิบเส้นเปนคำว่า กระบวนม้าเร็วรุดสุดขยัน
เดินสองโมงสี่สิบห้ามาถึงพลัน รถผายผันรยะนี้ทีจะช้า
ถ้าคิดหักพักยั้งทั้งขึ้นรถ ประมวญหมดเห็นจะสี่ชั่วโมงกว่า
รถกับวอต่อกระชั้นทันกันมา ที่พลับพลาร้อนรนพ้นกำลัง
ด้วยอยู่ที่ไม่มีต้นไม้ใหญ่ อายแดดแผดเข้าไปได้ข้างหลัง
ราษฎรพากันมาดาประดัง เห็นแต่นั่งหน้าพลับพลากว่าห้าร้อย
มีเชี่ยนขันโต๊ะพานตามบ้านนอก เข้าหลามสี่ห้ากระบอกขนมขน้อย
จัดตามจนมีคนละเล็กละน้อย มานั่งคอยถวายล้อมอยู่พร้อมเพรียง
ทรงปราไสไปทุกหน้าที่มานั้น ก็ชิงกันทูลสนองออกซ้องเสียง
ฟังเหน่อหน่าตามภาษาแปร่งสำเนียง บ้างถุ้งเถียงทานทัดขัดคอกัน
ราษฎรเหล่านี้ที่มาเฝ้า คนแก่เถ้าบางคนมีที่จำมั่น
มานั่งเล่าถึงเคยเฝ้าแต่ก่อนนั้น เมื่อพระชันษาได้สิบสองปี
รับสั่งให้ไปแจกเงินประทาน ทรงสัณฐานจำไว้ได้ถ้วนถี่
สูงกว่าทูลหม่อมใหญ่ในเดี๋ยวนี้ รับสั่งว่าอย่าให้ขี้ฉ้อข้านะ
สิบเอ็ดปีมานี้อิกครั้งหนึ่ง พระรูปขึงขังขึ้นจริงจริงหละ
จะเพดทูลว่ากระไรใช้เจ้าคะ เสียงเอะอะอื้ออึงคนึงไป
ฟ้องพระยากาญจน์บุรีว่าขี้ฉ้อ เปนหลายข้อเลี้ยวลดกดขี่ไพร่
โจรผู้ร้ายไม่ชำระละทิ้งไว้ กำเริบไปทั่วแขวงกาญจน์บุรี
ทรงรับจะดับทุกข์ให้ตลอด จะให้ถอดเจ้าเมืองเสียจากที่
ราษฎรทั้งสิ้นก็ยินดี เสียงเอิกเกริกมี่ทั้งพลับพลา
แต่บันดาคนที่มาเฝ้าทั้งนั้น ประทานเงินแจกปันเปนนักหนา
ผู้ใหญ่ได้บาทหนึ่งพึงวิญญา เด็กที่มาได้สลึงหนึ่งทุกคน
พวกหนึ่งนั้นพากันมาว่าเพลง เสียงครื้นเครงแก้ไขไม่ขัดสน
รับสั่งให้เล่านิทานชาวบ้านจน เล่าไม่เปนเลยสักคนในหมู่นั้น
แต่เพียงนิทานยายกะตา ที่ปลูกถั่วปลูกงาก็ฟังขัน
ช่างไม่เล่ากันเลยเห็นเปนอัศจรรย์ ทีเวลากลางวันจะทำงาน
กลางคืนแต่พอพลบสลบหลับ นิทานเปนเครื่องสำหรับคนอยู่บ้าน
จะเล่าได้ก็แต่ในราตรีกาล เล่านิทานกลางวันนั้นไม่ดี
กล่าวกันว่าเทวดาจะแช่งชัก คิดดูก็ประจักษ์ได้ถ้วนถี่
ด้วยกลางวันนั้นเวลาการงานมี ผู้ที่ทำงานป่วยการทำ
ห้ามเช่นนี้จึงไม่มีเวลาเล่า เพราะพวกบ้านนี้เขานอนหัวค่ำ
ถามถึงการขับร้องเปนลำนำ ก็ว่าจำไม่ได้ร้องไม่เปน
ในบ้านนมีแต่การวิ่งวัว ตัวต่อตัวชายหญิงออกวิ่งเล่น
แม้ว่าจับใครได้ต้องเกณฑ์ ให้รำอย่างเถนเถนตามทำนอง
เรียกกันว่าเพลงโศกกระไทย ถ้าแม้ใครไม่รำทำขัดข้อง
อุ้มไปทิ้งมูลสุนัขในกลางกอง รับสั่งให้ลองร้องถวายตัว
นางตะตรุดทองคำขึ้นรำแต้ กระแท้แร้กระแท้แต่ต่างยิ้มหัว
ที่คนอายไม่ยอมรำทำเล่นตัว ตกรางวัลพันพัวก็พวยมา
ลูกคู่ร้องโศกกระไทยเจ้าแม่เอ๋ย โศกกระไทยเจ้าแม่อา
เจ้าไปไหนมา กินปลาร้ากับสาคู กินปลาทูกับลอดช่อง
ต่างคนร่ายรำตามทำนอง ได้รางวัลยิ้มย่องสบายใจ
บ่ายสองโมงเศษสักสิบห้า กระบวนวอล่วงหน้าขึ้นไปใหม่
สามโมงเศษเสด็จจากพลับพลาไป รถข้างในติดตามหลามรัถยา
ระยะทางตอนนี้เปนที่ทราย ม้าลากฝืดติดตะกายเปนนักหนา
แต่ที่ป่าท่าสนุกกว่าแรกมา ต้นพฤกษามักจะอยู่เปนหมู่กัน
เหล่าพยอมย่อมย่อมเปนระยะ เหมือนคนปลูกเปนจังหวะดังแสร้งสรร
รดูดอกเดินมาเวลานั้น จะน่าชื่นใจครันด้วยกลิ่นอาย
เสียดายมาเวลานี้ไม่มีดอก แต่ใบออกฉอุ่มกว่าไม้ทั้งหลาย
มขามป้อมก็เปนหมู่อยู่เรียงราย แต่ลูกหายไปกระไรไม่เห็นมี
พวกมาเกวียนข้างหน้าว่ามีมาก คงกระชากกันเสียจนออกป่นปี้
แม้เข้าไปในป่าคงยังมี ข้างวิถีเหลือจะอยู่เพราะผู้คน
ยังป่าไผ่ไม้ตะพดอยู่พวกหนึ่ง ดูออกซึ้งซ้อนสลับไม่สับสน
ไม่มีไม้อันใดอื่นมาปะปน จะนิพนธ์ไปให้ทั่วกลัวยืดยาว
ที่พ่างพื้นรื่นราบดังปราบสนาม ชักให้งามตามที่ด้วยสีขาว
แม้ไม่แล้งมีหญ้ามาถูกคราว จะงามราวกับว่าป๊ากฉันอยากดู
แม้เดินทางไปข้างไหนไม่มีเขา ดูมันเปล่าตาไปอย่างไรอยู่
แม้แลเห็นเขาข้างหน้าพาใจฟู เขาที่ไหนก็ไม่สู้ไทรโยคนี้
ถึงบ้านน้อยเห็นเขาเปนคราวแรก แต่ยังแทรกอยู่ในเมฆไม่เต็มที่
จนออกจากหนองขาวมาคราวนี้ จึงเห็นชัดขึ้นทุกทีตลอดทาง
เขาหนึ่งใกล้มรคาข้างขวามือ เขาเรียกชื่อเขาเมงมีออกอ้าง
มีเจดีย์วิหารเห็นรางราง เขาไปสร้างไว้บนนั้นขยันนัก
ถัดนั้นเข้าไปถึงไร่ร้าง ใครทิ้งขว้างเสียอย่างไรไม่ประจักษ์
แลไปนับไม่ถ้วนล้วนต้นรัก เห็นจะมีราวสักสี่ห้าร้อย
แม้นักเลงแต่งนิราสผาดแลเห็น คงจะว่าเล่นใหญ่ใส่จ้อยจ้อย
ด้วยเปนท่าว่าได้มากมิใช่น้อย รักอะไรอ้อยส้อยไปตามที
ถัดเข้าไปต้นไม้ที่มีผล เปนสวนคนปลูกสร้างไว้ที่นี่
แล้วถึงนาหลังบ้านกาญจน์บุรี โคกระบือมากมีอยู่ที่นั้น
ไปตามทางหว่างไร่ในหมู่บ้าน ผู้คนพล่านมาดูอยู่ที่นั่น
ถึงวัดเทวสังฆารามพลัน เปนท่าที่จะผายผันลงนาวา
ปะรำพระรับเสด็จอยู่ข้างซ้าย เปนพระฝ่ายมาแต่อื่นออกดื่นหน้า
เจ้าของวัดจัดปะรำริมมรคา ข้างฝ่ายขวาคอยช่วยอำนวยไชย
ฉายดินราบปราบลงมาถึงท่าน้ำ ยังต้องทำตะพานเรือกอิกยาวใหญ่
ลงสำปั้นเก๋งผ้ารับพาไป ขึ้นตะพานฉนวนใหญ่หน้าพลับพลา
เข้าในค่ายคล้ายกับไปในบ้านสวน เปนกระบวนอย่างยี่ปุ่นไปทุกท่า
ได้ที่อยู่สอดคล้องต้องวิญญา เหนื่อยนักหนาขอสงบจบสักครั้ง
ขอเติมสร้อยหน่อยหนึ่งพึ่งได้ข่าว คุณท้าวทรงกันดาลตายอยู่ภายหลัง
พอค่ำพลบจะเอาศพออกจากวัง ให้ปิดคลังในวันนี้ไม่มีใคร
อนึ่งเพิ่มวันประทับอยู่ที่นี่ ขึ้นเปนห้าราตรีต่อไปใหม่
โปรดให้มีโทรเลขบอกเข้าไป ให้ทราบในกรุงเทพที่เลื่อนนี้ ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ