วัน ๕ ๙ฯ ๒ ค่ำ

วัน ๕ ๒ ค่ำ

๏ จะขอว่าด้วยพลับพลาที่ประทับ ครั้งนี้กลับคลายเคลื่อนเลื่อนขยาย
มาตั้งในดงที่มีไม้ราย ไม่อยู่ชายทุ่งดังครั้งหลังมา
ผันหน้าค่ายไปฝ่ายบุรทิศ เยื้องอยู่นิดข้างใต้ไม่ตรงหน้า
พระแท่นตั้งอยู่ข้างเหนือพลับพลา มรคาสามเส้นเปนประมาณ
พระโรงกว้างอย่างยี่ปุ่นคล้ายหั้นหย่า หลังคาซ้อนแฝกหนามีห้องข้าง
พนักผนังเครื่องตั้งติดแลวาง ล้วนเปนอย่างยี่ปุ่นสิ้นไม่กินใจ
เฉลียงหลังเปนที่นั่งเถ้าแก่พัก มีมุขชักมาถึงพระที่นั่งใหญ่
เปนสองหลังรีขวางส่วนข้างใน ดูกว้างใหญ่ติดตั้งเปนหลังเดียว
เฉลียงโถงรอบไปใส่พนัก ฝาใบพลวงไม้จักชลอมเกี่ยว
ประจันห้องฉากกั้นสำคัญเจียว ดูลดเลี้ยวซอกแซกแปลกทำนอง
ในท่วงทีกั้นฝาถ้าจะนับ ติดต่อกันเปนอันดับได้สามห้อง
ที่เสวยกว้างใหญ่มิใช่รอง ห้องที่สองแต่งพระองค์ตรงกันไป
ที่ประทมถัดเข้าไปข้างในหน่อย ตกแต่งไว้ไม่น้อยงามใช้ได้
เฉลียงแขวนกรงนกเขาขันกระไร หว่างกรงใช้โคมกระดาษแขวนกลาดราย
ที่ด้านหน้าท่าดีเปนที่หนึ่ง แดดไม่ถึงจนกระทั่งตวันสาย
จัดเปนที่ประทับเล่นเย็นสบาย ไม้กระถางวางซ้ายขวาบันได
ตำหนักดีสามหลังเปนจังหวะ ไว้ระยะห่างห่างเปนอย่างใหม่
เรือนแถวหลังตำหนักนั้นลักไป คั่นบันไดอ่อนเยิ่นเดินน่ากลัว
ข้างด้านหลังตั้งปะรำใบไม้สด ยกพื้นหมดพออาศรัยกันได้ทั่ว
ตามทางที่เดินนั้นเขากั้นรั้ว ไม่พันพัวกันกับสวนเปนส่วนเดิน
อุทยานอย่างนี้ดีที่สุด หญ้าร้องไห้ใช้กรุดไว้เผินเผิน
ฉันไปเก็บเอามาเล่นเปนพเนิน ดูเพลิดเพลินลดเลี้ยวเที่ยวสำราญ
กรมพระพระองค์น้อยนั้นผู้กะ ให้พระพรหมสุรินทร์เปนนายด้าน
คนเมืองราชบุรีมาทำการ ไม่เนิ่นนานเกือบจะไม่ใคร่ทำทัน
เวลาค่ำแขวนโคมตามต้นไม้ ดูไสวสว่างดีต่างสีสัน
ตามสวนแขวนโคมกระดาษกลาดทั้งนั้น ยามกลางวันมีมู่ลี่คลี่กำบัง
ล้วนลูกปัดของยี่ปุ่นร้อยเปนลาย ที่เปนไม้แขวนมาหน้าพระที่นั่ง
เมื่อคืนนี้ช่างหนาวเอาจริงจัง ห้าสิบเก้าเกินกำลังจะทนทาน
ส่วนกลางวันนั้นปรอทแปดสิบแปด ดูแสงแดดช่างประหลาดแดงฉาดฉาน
ร้อนแห้งแห้งไม่มีเหื่อเหลือรำคาญ ชวนจะพานปวดหัวตัวร้อนรน
พอบ่ายห้าโมงเศษเสด็จยาตร ด้วยพระบาทโดยทางกลางถนน
เปนกระบวนข้างในขึ้นไปยล มณฑปบนเขาใหญ่ถวายเพลิง
แต่พลับพลามาทางสิบสามเส้น แลดูเปนเขาย่อมย่อมไม่ใหญ่เทิ่ง
ขึ้นบันไดคั่นใหญ่ไปแต่เชิง เสียงนับกันเปีงเปีงตลอดไป
ด้วยตำราว่าใครนับได้มากน้อย อายุจะหาลดถอยกว่านั้นไม่
ฉันนับได้เก้าสิบแสนเสียใจ อยากทำลืมเลยไปให้ถึงร้อย
เขานี้ยาวราวเก้าเส้นสิบเส้น ฉะเพาะเปนยอดสูงขึ้นไปหน่อย
วางมณฑปที่บนนี้ดีไม่น้อย ดูสูงลอยแลรอบเห็นขอบคัน
มณฑปมีสี่เสาสิบสองเหลี่ยม ทำเทียมเมรุยอดอย่างตั้นตั้น
กว้างสักสามวาได้ในที่นั้น มีประตูตรงกันอยู่สองทาง
มีรูปพระสงฆ์ยืนอยู่ริมเสา ดูลาดเลาทีจะทำตามเรื่องอ้าง
พระกัสสปอภิวาทพระบาทกลาง เขาทำอย่างนูนขึ้นมากว่าที่พื้น
ด้วยตั้งใจจะไม่ให้เปนรอยลง โดยประสงค์จะให้เห็นเปนอย่างอื่น
เหมือนตัดตีนหงายไว้ไม่ใช่ยืน แปลว่ายื่นจากรางที่วางไว้
ตามคำอธิฐานพระกัสสป ได้นอบนบพระบาทสมมาดได้
มีฐานรองสูงสักสองศอกขึ้นไป ที่ใครใครพูดกันเหลิงว่าเชิงตะกอน
นอกมณฑปออกไปเดินได้รอบ เห็นเขตรขอบหมู่ไม้ไกลสลอน
ที่พื้นต่ำมีปะรำประทับร้อน เสด็จกลับทางก่อนไม่ยักย้าย
ที่พระแท่นเทือกเขาลูกเก่านั้น แต่เตี้ยเตี้ยติดกันมาเปนสาย
มีโบถส์ฤๅวิหารตั้งทั้งขวาซ้าย แต่อยู่ในเรื่องทลายฤๅเลยค้าง
เปนจะบอกอย่างเอกไม่เศกสรร เห็นนานครันแล้วอย่างไรไม่แปลกบ้าง
ตัววิหารพระแท่นอยู่ที่กลาง ดูเปนอย่างบ้านนอกไม่แกรนนัก
ประดับด้วยถ้วยชามนั้นครามครัน แต่น่าบันแลเห็นเปนลายสลัก
เฉลียงโถงโปร่งดีมีพนัก เปนที่สัปรุษพักได้ทำบุญ
มีทักษิณชั้นล่างกว้างขวางใหญ่ สร้างอะไรต่ออะไรกันออกวุ่น
โรงระฆังพระเจดีย์มีชุลมุน มีเสาดุ้นใหญ่ใหญ่ไว้ช่องตะเกียง
ตั้งตะคันน้ำมันไว้ให้สัปรุษ มาตามจุดได้สว่างทางเฉลียง
เขาว่าคือรังคู่ที่อยู่เคียง ลำต้นเอียงโอนเมื่อพระจะนิพพาน
จึงเอาอิฐปูนก่อหุ้มตอไว้ หวังจะให้เปนบูชนีษฐาน
พระแท่นยาวสิบเอ็จศอกคืบประมาณ สังเกตการโดยกว้างสักกว่าวา
พื้นเพล่เทลงข้างเบื้องล่าง ดูท่อนข้างบนสูงศอกคืบกว่า
ตอนล่างสักสิบเอ็จนิ้วคณนา เปนศิลาครุคระไม่น่านอน
เขาเล่าว่าเดิมมาก็เกลี้ยงเกลา ครั้นพระเจ้ามาประทมเปนปัจฐรณ์
พระอินทรกลัวพวกประชาจะมานอน จึงกลับก้อนศิลาผันแต่นั้นมา
ที่เบื้องบนนั้นมีเปนที่หมอน สูงกว่าปัจฐรณ์สักคืบกว่า
ผนังหลังก่อประกับทับศิลา ชรอยว่าด้านนั้นจะฟันไป
เพราะเปนเทือกเทินมอต่อกับเขา จะไม่เข้ารูปเห็นเปนแท่นได้
บนพระแท่นกองผ้าน่าตกใจ เปนรูปคนโตใหญ่เห็นเปนเค้า
เมื่อคราวก่อนเหมือนจะเก็บพระอังคาร แต่คราวนี้พิสดารไปกว่าเก่า
เหมือนคนนอนคลุมหัวเห็นเงาเงา ตีนตะแคงเหมือนหนึ่งเขาเขียนรูปพระ
ยืนเอาส้นชนกัน“อัน”อย่างยิ่ง ถ้าเปนจริงจะเหมือนปูดูเปะปะ
คนเอายืนขึ้นอย่างนั้นคงขันละ พอได้ท่าหัวพะปัฐพี
พระแท่นนั้นฐานปั้นเปนบัวรอง แล้วปิดทองทั่วไปจนเต็มที่
ราวเทียนทำเปนพนักหักเต็มที ฉัตรห้าชั้นกั้นที่สี่เสาราย
ปลายพระแท่นทำลับแลเปนพระบาท อย่างเช่นมีเกลื่อนกลาดกันทั้งหลาย
โต๊ะหมู่มีพานรองก้อนทองพราย ดูมากมายไปกว่าก่อนก้อนเล็กลง
อันก้อนนี้ที่ว่าเปนพระโลหิต คนนับถือศักดิ์สิทธิ์น่าพิศวง
เดิมก้อนใหญ่จำได้เปนมั่นคง เขาบอกตรงว่ายายชีมีศรัทธา
มาแบ่งกันบังสกุลจนตกแตก ฉันเห็นแหลกหลายก้อนก็ดีกว่า
จะได้ไม่เกิดวิวาทวาทา อนิจจาน่าสมเพชเปนพ้นไป
ผนังด้านหุ้มกลองมีช่องผนัง สำหรับตั้งตามตะเกียงในนั้นได้
น้ำมันเหลือเก็บเผื่อไปไว้ใช้ ใส่บาดแผลอันใดดีทั้งนั้น
ตรงพระแท่นนั้นแขวนเพดานผ้า ถึงสองชั้นคร่ำคร่าหลากสีสัน
ผนังแขวนพระบทเปนอนันต์ พื้นตกั่วดาดมั่นแทนเงินเงา
เสด็จที่เจดีย์หลังวิหาร เปนสถานที่พระพุทธเจ้า
บ้วนพระโอษฐลงในบ่อต่อลำเนา เปนเทือกเขาย่อมย่อมอ้อมขึ้นไป
มีช่องผาถ้าข้างยาวหกนิ้วเศษ กว้างสังเกตเห็นจะสักสี่นิ้วได้
ลึกเห็นไม่ถึงศอกแท้แน่แก่ใจ ว่าพระบ้วนพระโอษฐไว้ยังมีน้ำ
ตักขึ้นมามีกลิ่นเหมือนน้ำหมาก วิเศษมากใช้อะไรได้ยังค่ำ
พระพุทธเจ้าเสวยหมากวิบากกรรม จะเปนคำละกี่ลูกจึงจะพอ
ยังหินบดยาข้างขวามือ ก็นับถือกันเห็นว่าเปนหมอ
ตั้งอยู่บนกองศิลาท่ามอซอ หมอที่มาสอสอแกลืมไว้
แล้วกล่าวว่าถ้าใบไม้เอาไปบด ก็เปนยาดีหมดแก้เจ็บไข้
เข้าไปใกล้ได้กลิ่นเหม็นสุดใจ ด้วยบดไปวันยังค่ำกระหน่ำมา
การศักดิสิทธิฤทธิเดชพระแท่นนี้ เล่ากันมีหลากหลากมากนักหนา
เรื่องหนึ่งนั้นว่าแขกมาเจรจา ว่าพระแท่นนี้น่าจะนอนนัก
เลือดตมูกตปากตกมากไหล ไม่หยุดจนสิ้นใจได้เห็นประจักษ์
น้ำบ้วนพระโอษฐนี้ก็ดีนัก หยอดตาสักนิดหนึ่งก็หายแดง
หลังมณฑปถวายเพลิงนั้นมีปล่อง ไปเที่ยวท่องเมืองลับแลได้ทุกแห่ง
แต่มักหลงเหลิงกระจัดเดินพลัดแพลง วิชาแรงจึงจะไปได้ดังคิด
ดูคนไทยศรัทธากันนั้นขันมาก นับถือพระแต่ว่าอยากที่ศักดิสิทธิ
ถ้าบอกจริงจำไม่ได้ให้สวิต ปดแล้วติดใจจำเปนตำรา
พระประถมถึงว่าเก่าสักเท่าใด ทั้งโตใหญ่ยิ่งที่นี่งามดีกว่า
ดูไม่ใคร่มีใครใจศรัทธา คนบูชามาไปไม่ใครมี
ไม่ได้ยินเสียงรฆังกี่ครั้งเลย แม่เจ้าเอ๊ยครั้นว่ามาถึงนี่
พอสางสางเสียงรฆังประดังตี วันยังค่ำคุ้งราตรีตีสองยาม
ธูปเทียนทองต้องสงวนมาพระแท่น กำเทียนแน่นไปทุกคนจนออกหลาม
จนบ่าวข้าแต่บรรดาที่มาตาม อุส่าห์หามกันขึ้นไปไม่เว้นตน
คุณเถ้าแก่เล่ากันว่าวันนี้ ขึ้นไปที่มณฑปแสนขัดสน
เกือบจะไม่ไปถึงเหนื่อยเหลือทน พอถึงบนเข้าไปนั่งตั้งบูชา
ถวายชีวิตแก่พระสละขาด ดูประหลาดขากลับไม่แกล้งว่า
ตัวเหมือนปลิวลิ่วเลื่อนลอยลงมา ไม่เหน็จเหนื่อยกายาเท่ายองใย
สอนคาถาบาฬีที่ไปว่า กำชับกำชากันให้ไปทำให้ได้
ขึ้นกับลงผิดกันเปนฉันใด ชาเสียไม่รำฦกนึกเทียบทาน
บ้างมีการบังสกุลกรุ่นยังค่ำ จนกรวดน้ำกันอย่างไรในอวสาน
พระพุทธเจ้าฤๅก็เข้าพระนิพพาน น่ารำคาญแผ่ส่วนบุญจะวุ่นครัน
พระแท่นนี้ว่าเปนที่พระไสยาสน์ เทียบพระองค์ดูกับอาสน์ก็เห็นขัน
องค์พระสูงสามวาตามว่ากัน พระแท่นนั่นสิบเอ็จศอกตามบอกมา
แม้นไสยาสน์แล้วพระบาทคงต้องห้อย มิใช่น้อยทำเล่นเปนคืบกว่า
จะว่าสูงหกศอกตามตำรา ที่ว่าว่าชั้นหลังก็ยังแคลง
ก้อนศิลาที่ว่าก้อนพระโลหิต ทรงอาเจียนคงจะติดอยู่ทั้งแท่ง
เมื่อยังไม่แย่งกันแตกโตพอแรง เท่ามะตูมมิได้แกล้งจะใส่ความ
หนึ่งที่ว่าอาเจียนโลหิตนี้ เปนบาฬีผูกไหนจะใคร่ถาม
จะเปนคนภายหลังตั้งไปตาม ที่งุ่มง่ามมุ่งหน้าจะหากิน
ว่าที่จริงผู้สร้างเขาช่างหา ทั้งภูเขาราวป่าท่าดีสิ้น
สร้างขึ้นควรสมความตามรบิล เปนสังเวชนียถิ่นที่ควรไป
อันตัวฉันนั้นก็มีความเคารพ ใช่จะสบประมาทว่านั้นหาไม่
แต่อยากให้บอกชัดว่าจัดไว้ เปนที่ไหว้บูชาอย่าว่าจริง
เหมือนอย่างสร้างพระพุทธรูปนั้น ใช่เหมือนกันกับพระองค์สิ้นทุกสิ่ง
ก็ไม่มีใครกล้าว่าท้วงติง เพราะไม่ได้อ้างอิงว่าองค์พระ
ซึ่งฉันพูดนินทามาทั้งนี้ ใช่จะกล่าววาทีทางเกะกะ
ก็กราบไหว้ด้วยสัมมาคารวะ แต่ว่าจะให้ว่าจริงนั้นกริ่งใจ
ทั่วพระแท่นมีที่ดีอยู่เท่านี้ เสด็จกลับเกือบราตรีพอเข้าไต้
ตระเตรียมตัวกลัวพรุ่งนี้จะช้าไป ขอจบไว้เพราะเวลาหาไม่มี ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ