วัน ๔ ๖ฯ ๓ ค่ำ

วัน ๔ ๓ ค่ำ

๏ เมื่อจวนรุ่งสดุ้งคว้าหาผ้าห่ม เสียงฝนพรมหนาววู่มาหมู่ใหญ่
ไม่รู้ตัวรู้ตนจนตกใจ ผ้าผืนใหญ่ยังไม่วายหายเหน็บชา
ตื่นขึ้นมาเห็นเวลายังไม่สาย นอนสบายหลายพักนานนักหนา
นึกสงไสยไปดูนาฬิกา ห้าโมงกว่าเกือบครึ่งมืดถึงดี
เข้าไปมองดูปรอทที่ยอดเข็ม เมื่อหนาวเต็มที่ตกหกสิบสี่
ตกยามบ่ายรายร้อนในตอนนี้ เจ็ดสิบสี่ติดเข็มอยู่เต็มวัน
ไม่เห็นดวงสุริยนเลยจนค่ำ ดูฟ้าคล้ำมนท์มัวทั่วเขตรขัณฑ์
จะขอร่ำบรรยายเรื่องรายวัน แต่วานนั้นขัดขวางยังค้างมา
เมื่อวันแรกวอข้างในไปถึงเขา จึงได้เค้าข้อความตามที่ว่า
แต่ทางนั้นฉันเห็นเองแก่ตา มีหน้าท่าโรงมุงจากรุงรัง
เปนตลาดราษฎรปลูกซ้อนซับ ตามจะจับทำรายตามชายฝั่ง
จนไม่มีช่องว่างทางขึ้นวัง ที่คิดตั้งโรงกระเบื้องเปนเรื่องร้าง
ทั้งตลาดตึกแถวไม่แล้วหลาย คนเช่าขายของเปนที่ก็มีบ้าง
มีทั้งโรงกงสีเปนที่ทาง แต่ทิ้งว่างไม่ได้เช่าเปล่าทั้งนั้น
ที่ถนนป่นไปไม่เรียบราบ ด้วยน้ำอาบเซาะรากกำแพงกั้น
แล้วบ่าล้นขึ้นถนนหล่มลึกครัน เขาแบ่งปันซอมใหม่ไว้ซีกเดียว
พอเปนทางรถม้าไปมาได้ อิกกึ่งไว้ให้พวกเกวียนเวียนขับเคี่ยว
โทรเลขปักกลางขวางจริงเจียว เหมือนเสาเปี้ยวสนามม้าน่ารำคาญ
ต้นไม้ริมทางรายตายเสียบ้าง ที่อยู่อย่างย่อมไม่ใคร่ไพศาล
แต่ไร่นาตาแลละลิบลาน เกือบถึงชานเชิงคิรีมีรอบราย
ถึงที่โรงทหารแถวเขาแผ้วกวาด ยังสอาดอยู่ไม่ยุบบุบฉลาย
มีทางขึ้นสามอย่างกว้างสบาย คือข้างซ้ายทางรถบทจร
เปนทางลาดอ้อมตลอดยอดภูผา มาข้างขวาทางกัณฐัศว์ตัดศิขร
เลี้ยวสองทบถึงข้างบนย่อย่นทอน ถ้าซอกซอนขึ้นตรงกลางเปนทางตรง
อยู่ข้างชันยันเหยียบไม่เรียบร้อย แต่เร็วหน่อยไปได้พลันทันประสงค์
ขึ้นไปร่วมรวมวิถีที่เสาธง มีทางวงเวียนรอบขอบชาลา
ทางพาชีมีทิมดาบตำรวจ หลังหนึ่งทรวดเซหักลงนักหนา
เบื้องบนยุบยอบตั้งแต่หลังคา แต่หลังหน้านั้นยังดีที่คู่กัน
ที่ขอบลานชานชลาหน้าพระที่นั่ง พนักพังพื้นทลายเสียหลายหลั่น
ท้องพระโรงโถงใหญ่เข้าในนั้น ยังอยู่มั่นคงงามดีตามเคย
เก้าอี้ตั้งพระที่นั่งโทรนพรักพร้อม เบื้องหลังอ้อมไปอิกทีที่เสวย
เพดานผุพังไปกระไรเลย จนมุขเผยเพราะดาดฟ้าอาจินไตย
มุขกระสันยันไปหลังในที่ โซมเต็มทีจนกระทั่งถึงหลังใหญ่
พระแท่นตั้งยังอยู่ที่ห้องใน ต้องเดินไปสองทางอยู่ข้างชิด
หน้าห้องที่ออกไปเปิดใหญ่กว้าง ปลายสองข้างหลังน้อยน้อยทำห้อยสนิท
หลังคาตัดตอนนี้ก็มีฤทธิ พันจุนติดอัฒจันท์คั่นวงเดือน
เฉลียงรั่วทั่วรอบขอบจังหวัด เพราะเรื่องตัดตลอดไปจึงได้เปื้อน
ศาลาข้างหลังลงไปใช้เปนเรือน ยังดีเหมือนเมื่อแต่หลังไม่พังซวน
ทั้งห้องเครื่องห้องเคราทำเก่าใหม่ ยังใช้ได้อยู่ทั้งนั้นมั่นคงถ้วน
ว่าปลวกชุมขึ้นไม้ไปทั้งมวล ต่างกระบวนกันกับเพชรบุรี
ที่โน่นเปนศิลาล้วนถ้วนทุกแห่ง จึงแน่นแขงไม่เปนเช่นที่นี่
มีดินปนฝนหลากครากทุกปี เกือบเหมือนที่พื้นแผ่นดินถิ่นกลางแปลง
ถึงคิรีนี้จะไม่สูงใหญ่กว้าง ดูรอบข้างแลไปได้ทุกแห่ง
นึกถึงต่ำกับตาเห็นเปนต้องแคลง เพราะเขตรแขวงนั้นเปนนาพาเห็นไกล
ยังมีมอต่อไปข้างในหน่อย กลมเปนดอยอยู่ในหว่างทางเขาใหญ่
แต่ก่อนมีพลับพลาตั้งเปนข้างใน เครื่องไม้ไผ่จากคาเวลาเดียว
เขาแดงจันนั้นก็เดินไปได้รอบ ในเขตรขอบมรรคาเหมือนป่าเปลี่ยว
แต่เดี๋ยวนี้รกหมดเพราะลดเลี้ยว เปนทางเที่ยวตัดเล่นเปนครั้งคราว
ดูจากเขาตามลำเนาถนนหลวง ตลอดล่วงแลลึกเห็นตึกขาว
ยังเยิ่นไปได้จนลำแม่น้ำยาว เขาสูงราวสามสิบวาเขาว่ากัน
รับสั่งไว้ว่าจะให้มาตั้งซ่อม ให้ดีพร้อมเหมือนแต่ก่อนคิดผ่อนผัน
แก้แต่รั่วเสียให้ได้ในเท่านั้น ก็จะมั่นคงไปได้ช้านาน
กำแพงเมืองเรื่องหนึ่งฉันอึ้งอัด ไม่ทราบชัดเรื่องรายย้ายสถาน
รัชกาลที่สองลองประมาณ ยกปราการข้ามตั้งฝั่งอุไทย
ที่หัวแหลมลำนทีมีหาดเขื่อง หน้าเมืองด้านรีตรงลงทิศใต้
ยาวยีสิบเส้นหย่อนผ่อนลงไป เปนด้วยไม้วาเฟือนไม่เหมือนกัน
อันส่วนกว้างห้าเส้นยังเปนเศษ อยู่ในเขตรหกเส้นเห็นจะมั่น
ป้อมหกทิศใช้ชนิดเท่าเทียมทัน ประตูนั้นหกช่องต้องตามระยะ
ด้วยเมืองนี้ที่ลุ่มเลิกดินทิ้ง ดูลึกจริงตรงกลางเหมือนอย่างสระ
ใช้กำแพงอิฐต้านทานประทะ โดยหนากะเจ็ดศอกพอกถึงใน
ทิ้งดินแต่ในระหว่างค่อยบางหน่อย ดูสูงลอยเบ็ดเสร็จเจ็ดศอกได้
ปลายกำแพงเสมาบางเปนอย่างไทย หลักเมืองใช้เสาไม้แก่นแทนศิลา
มีมหาวิฆเนศวร์พักตร์เพศช้าง สององค์วางอยู่ที่นั่นขันนักหนา
เดิมจะอยู่แห่งใดไปได้มา มิได้ปรากฎเรื่องใครเลื่องฦๅ
เห็นมีเครื่องบูชาคาระวะ ชรอยจะเปนที่คนนับถือ
มีฉางเข้าอยู่ฝั่งข้างซ้ายมือ สองหลังคือฉางหลวงกระทรวงนา
บ้านเจ้าเมืองเยื้องข้างประจิมทิศ ตึกดินติดหลังซุ้มป้อมมุมขวา
มีสระกว้างยาวใหญ่ในนัครา เปนที่อาศรัยน้ำสำหรับเมือง
ไม่มีใครในกำแพงกี่แห่งนัก เปนตมปลักลำลาบเปนมาบเหมือง
ทำนาได้ในจังหวัดไม่ขัดเคือง เปนสิ้นเรื่องทอดพระเนตรสังเกตมา
พอบ่ายสี่โมงถ้วนควรสมัย เสด็จทรงมโนไมยไปข้างหน้า
กระบวนรถเรียงสล้างทางลิลา จากพลับพลาตามทุ่งมุ่งเมิลทาง
โดยสำเหนียกเรียกกันอรัญญิก แต่แพลงพลิกกลับกลายเปนหลายอย่าง
ผ่านวัดหนึ่งริมนี้มีพระปรางค์ โบถใหม่สร้างเช่นกับเรือนเหมือนทั้งปวง
พระยาธรรมจรรยาศรัทธาจัด มาสร้างวัดนี้สำเร็จเสร็จลุล่วง
เรียกจำเริญธรรมวิหารขานชื่อควง เจ้าของห่วงกลัวใครใครเรียกไม่ตรง
ขออย่าให้ใช้เจริญเปนอันขาด จะแคล้วคลาศข้อความตามประสงค์
ธรรมฤๅทำใช้ได้ไม่เจาะจง ขอให้คงอยู่แต่คำว่าจำเริญ
ทางต่อนี้มีต้นมะขามเทศ เวียนประเวศทางเก่าเขาเดินเหิน
ยลภูผานาพินิจพิศเพลิดเพลิน ลำเนาเนินแนวระหว่างห่างห่างกัน
แลข้างซ้ายฝ่ายใต้ทิวไม้เขียว มีเขาเดียวดูประหลาดสีฉาดฉัน
มรคากว่าร้อยดอยแดงจัน ตรงหน้านั้นเขางูเปนหมู่ยาว
แต่หลายยอดหลายอย่างต่างชื่อเสียง ที่เล็กเคียงข้างลงมาหน้าผาขาว
เปนเขางูอยู่เท่านั้นปันเรื่องราว เขาหลักว่าวแลเปนสูงในฝูงนี้
ยอดมีหลักปักเห็นเด่นถนัด เขาที่ถัดเปนรากกล้วยพวยแผกหนี
ถ้าเปนเขารอกไปได้จะดี ต่อยอดนี้เขาจุลาคว้าพนัน
ตามเขากล่าวว่าว่าวสุวรรณหงส์ ที่ตกลงตามไต่ป่านผายผัน
เมืองมัดตังตั้งอยู่ราวสุพรรณ เพียงเท่านั้นคงกันดารยักษ์มารมี
เขาห่างห่างยังสล้างอยู่หลายยอด ว่าตลอดเห็นจะเยิ่นเกินถ้วนถี่
จะขอลัดตัดแต่ที่ไปวันนี้ ห่างวิถีหน่อยหนึ่งถึงอาราม
ชื่อว่าวัดโคกตลุงต่อทุ่งเขา ภูมิ์ลำเนาน่าชมร่มมะขาม
เขาว่าอาวาสนี้ที่มีความ พระท่านคร้ามไม่อาจตั้งสังฆกรรม
เพราะอ้ายอ่อนองค์พระครูผู้นุ่งหยี่ มาผูกสีมาด้วยช่วยสวดว่า
ต้องผูกใหม่ในคณะพระท่านทำ เปนที่ลำบากลำบนคนโสมม
พระเจดีย์ที่แถบนี้ใช้เรียวผอม ระฆังย่อมก้นปอดยอดไม่สม
ทั้งโบถรามตามทำนองไม่ต้องชม อย่างมีถมกลาดเกลื่อนเหมือนเหมือนกัน
ถัดถึงทุ่งเขางูอยู่ข้างขวา สุดสายตาตลอดแลเมื่อแปรผัน
ทำนาปรังสพรั่งไปที่ในนั้น จรจรัลหน่อยหนึ่งถึงท้องนา
มีเรือนคนหลายหลังมาตั้งต่อย ศิลาย่อยรับส่งลงไปท่า
สำหรับเผาปูนใช้ในภารา เปนราคาหกสลึงส่งถึงเตา
เมื่อไปเฉียดเชิงคิรีที่ชง่อน ศิลาก้อนหนึ่งใหญ่รอยไฟเผา
แล้วสกัดตัดทอยต่อยทุบเอา เปนก้อนเท่าอิฐใหญ่ไปเรียงกอง
ขายที่นี่เกวียนละบาทขนาดนับ มีเกวียนรับหน้าน้ำลำเรือล่อง
คิดราคาค่าบันทุกสิ้นทั้งกอง เกวียนละสองสลึงล้วนควรราคา
ยังอิกหลายพันปีที่จะหมด อย่ารันทดเกิดใหม่ไม่ต้องหา
ที่ตามทางจรลีมีทุกนา ดาษดาดื่นทุ่งฉันมุ่งมอง
ตามไม้หย่อมหอมฟุ้งจรุงจิตต์ หนามพรมติดนาสาลมพาล่อง
ขึ้นพันไม้ลำมะลอกออกเปนกอง น่าเก็บกรองพวงมาไลยไว้ถือดม
ไปหน่อยหนึ่งถึงปะรำถ้ำฤๅษี เขาทำดีดาดใบไม้รื่นร่ม
ฉันเห็นเปนกระตู้วู้จู่ไปชม ไหนเล่าถมไปข้างนอกดอกสแก
ที่ตามเสาเขาผูกต้นกล้วยไม้ ทีนี้ไม่พลั้งพลำจำได้แน่
เขาแย่งเก็บกันเสียพอจวนจอแจ ฉันสู้แก้เชือกพัวกลัวจะยับ
ต้นหงอนไก่ใช้ผูกตอแทนต้น ดอกขาวปนพรรณแดงแกล้งสลับ
ถูกแดดเผายอดอ่อนลงนอนพับ จนเลยลับไม่มีใครได้ทัศนา
แต่นี้รถตามไปได้ทันเสด็จ เพราะขามเข็ดจึงต้องกลายหายเปนบ้า
ถ้ามันอย่าหนืดเนิ่นเกินตำรา ยังจะช้าได้กว่านี้มีช่องคู
นี่เพราะมันเสียจริตความคิดไพร่ ช้าจนไม่มีคนจะทนสู้
ช้ากว่าวอหลายเท่าคิดเค้าดู จนต้องขู่ต้องว่าสาแก่ใจ
ทางวันนี้ร้อยยี่สิบสี่เส้น หน้าถ้ำเปนไหล่คิรีที่ไม่ใหญ่
ทางก่อเปนอัฒจันท์คั่นบันได สูงขึ้นไปถึงที่สักสี่วา
แต่หักป่นจนไม่ใคร่เปนคั่น กำแพงกั้นตลอดไปตามไหล่ผา
แต่หักพังทั้งปวงร่วงลงมา ปากคูหาเพิงเอื้อมออกเงื้อมง้ำ
ก่อผนังหลังคากระเบื้องกั้น สำหรับกันฝนไม่ให้เข้าในถ้ำ
ดูก็คล้ายกุฏิฤๅษีที่เขาทำ ตั้งประจำโรงละคอนตอนฉากบัง
พระนอนใหญ่ที่ในนี้มีอยู่ข้าง ผนังกลางตรงเข้าไปใช้พระนั่ง
พระพิมพ์แผ่นอิฐเห็นเช่นกระจัง มีอยู่ตั้งหมื่นแสนแน่นเปนกอง
มีทางเลี้ยวลดไปได้ข้างซ้าย ดูเค้าคล้ายกับเช่นจะเปนกล่อง
แต่ไปตันแต๊กแต๊กแปลกทำนอง มีแต่ช่องแลตลอดลอดออกไป
ถึงห้องนอกซอกทางข้างหมู่พระ ถ้าเกะกะก็จะดอดลอดไปได้
เปนหมดสิ้นกันเท่านี้ไม่มีอะไร ช่องไศลท้ายคิรีมีอีกโพรง
เปนชวากไม่มากไปถึงไหน ดูข้างนอกเห็นข้างในได้ปรุโปร่ง
มีพระตั้งฤๅทิ้งกลิ้งเทงโทง เพราะถ้ำโถงถูกแดดแผดเผาลน
เสด็จกลับมาปะรำกินน้ำท่า แล้วกลับมาทางเดิมโดยสถล
ถึงพลับพลาพลบค่ำวายทำวล ประทานรางวัลคนที่ทำงาน
กรมการเจ้าของเมืองมาเนื่องนับ อิกทั้งผู้ที่กำกับเปนนายด้าน
ที่ได้อยู่ไตรตรวจสำรวจการ จมื่นราชานุบาลเปนผู้ใช้
มอญเขมรที่เกณฑ์มาใช้สอย ถึงห้าร้อยแปดสิบสามตามเรียกได้
ประทานคนละตำลึงให้ถึงใจ ด้วยทำในถิ่นฐานบ้านเมืองตัว
ครั้นจะว่าเรื่องพลับพลาในวันนี้ ยังไม่มีเวลาได้ไปเที่ยวทั่ว
พรุ่งนี้ยังเที่ยวได้ฉันไม่กลัว จะขอถัวเอาไปไว้ใช้ตอนเช้า
เสวยในเขาวงก์ทรงทำเครื่อง ไม่ยักเยื้องท่าทางคงอย่างเก่า
ขอสงบจบความตามข้อเค้า ไว้ค่อยเล่าต่อพรุ่งนี้มีเวลา ฯ

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ